การที่ผู้ตัดสินทำงานผิดพลาดบ่อยๆและเคยโดนลงโทษแล้วซ้ำซากและไม่ได้รับความน่าเชื่อถืออีกแล้วทั้งจากแฟนบอลและสโมสรเกือบทั้งหมด กลับยังคงได้รับโอกาศตัดสินในลีคสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง บางทีก็ต้องตั้งคำถามเหมือนกันว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆนี้ คือ ความเฮงซวยส่วนบุคคล หรือ ความโสมมของระบบการบริหารจัดการ
ถ้ามองกันแค่ความเฮงซวยส่วนบุคคล ก็ดูจะเป็นแพะหรือเหตุผลคลาสสิคตลอดการได้ทุกกรณี แต่ถ้ามันเกิดขึ้นบ่อยและไม่เคยได้รับการแก้ใขอย่างจริงจัง ซึ่งอย่างน้อยที่สุดการลดบทบาทลงไปเป่าในลึคหรือดิวิชั่นที่ต่ำกว่าก็ควรจะเป็นมาตรการที่แย่น้อยที่สุดที่ควรทำ
เหมือนครั้งนึง ยูราย เรนนี่ ผู้ตัดสินผิวสีชาวอังกฤษถูกลงโทษให้ลงไปเป่าในดิวิชั่นที่ต่ำกว่าในช่วงปลายอาชีพที่เหลือ ก็ดูจะเป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นความพยายามแก้ไขปัญหาและยกระดับมาตรฐานผู้ตัดสินให้ดีขึ้นในระดับนึง
ปัญหาจึงอาจจะอยู่ที่ความโสมมของระบบการบริหารจัดการที่มีเหตุหรือแรงจูงใจจากการเมืองในองค์กรเป็นประเด็นขับเคลื่อนและดำรงคงอยู่ได้ซึ่งความ"ไม่สะอาด"และ ไม่ตรงไปตรงมา ดังที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆในแมทช์เมื่อคืนนี้
มองในแง่การเมืองภาพรวม หลายคนคงพอมองกันออกว่า แบ่งออกเป็น 2 ขั้วใหญ่ แม้อีกฝ่ายที่โดนกระทำจะไม่ได้มีความเป็นพันธมิตรที่จับมือกันเหนียวแน่นชัดเจนเหมือนกับอีกฝ่ายที่มีอำนาจชี้นำอยู่ในขณะนี้ด้วยแนวร่วมที่มากกว่าและปรองดองกันเหนียวแน่นกว่าด้วยการสมประโยชน์ร่วมกัน
จึงไม่แปลกถ้าจะมีการแสดงออกซึ่งนัยยะทางเมืองที่เสมือนการ รักษาแนวร่วมหรือการไม่หาศัตรูเพิ่ม โดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่ คือ นกหวีด เป่าเพื่อปลอบขวัญ (แก้ไข หรือ ให้รางวัล) หลังจาก ผบห คนงาม ออกมาให้ข่าวเชิงตัดพ้อถึงก่อนหน้า แต่ในขณะเดียวกัน นกหวีด ก็ยังทำหน้าที่สั่งสอน(ทำโทษ)กับพฤติกรรมไม่ศิโรราบ(หัวแข็ง)จาก แถลงการณ์ของผบห ของอีกฝ่ายที่ออกมาไม่เห็นด้วยหรือขัดแย้ง
สิ่งที่น่าสนใจและต้องเฝ้าดูกันต่อไปว่า นกหวีดอันเดิมจะยังคงอิทธิฤทธ์ต่อเนื่องถึงกลางสัปดาห์นี้หรือไม่ ในนัดที่เป็นการพบกันของทีมใหญ่ที่ถึงแม้จะไม่ได้มีอุดมการณ์หรือเป้าหมายเดียวกันซะทีเดียวแต่อย่างน้อยก็มีศัตรูหรือความเป็นอริต่อขั้วตรงข้ามเหมือนกัน
นกหวีด จึงอาจทำหน้าที่ชี้นำการแข่งขันในรูปแบบเดิมๆ คือ การเป่าจุดโทษคืนให้ เพื่อดึงกลับสมดุลกระแสแห่งความไม่พอใจของฝ่ายที่เสียผลประโยชน์ในนัดก่อนหน้า พร้อมๆไปกับการสบโอกาศทำโทษ "อริอีกฝ่าย" ที่เกลียดชังกันมากกว่าและที่สำคัญคือ กำลังขับเคี่ยวกันอย่างหนักทั้งในเรื่องของผลงานในสนามและกระแสนอกสนาม...
ก็แค่...นกหวีดปลอบขวัญและสั่งสอน
สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆนี้ คือ ความเฮงซวยส่วนบุคคล หรือ ความโสมมของระบบการบริหารจัดการ
ถ้ามองกันแค่ความเฮงซวยส่วนบุคคล ก็ดูจะเป็นแพะหรือเหตุผลคลาสสิคตลอดการได้ทุกกรณี แต่ถ้ามันเกิดขึ้นบ่อยและไม่เคยได้รับการแก้ใขอย่างจริงจัง ซึ่งอย่างน้อยที่สุดการลดบทบาทลงไปเป่าในลึคหรือดิวิชั่นที่ต่ำกว่าก็ควรจะเป็นมาตรการที่แย่น้อยที่สุดที่ควรทำ
เหมือนครั้งนึง ยูราย เรนนี่ ผู้ตัดสินผิวสีชาวอังกฤษถูกลงโทษให้ลงไปเป่าในดิวิชั่นที่ต่ำกว่าในช่วงปลายอาชีพที่เหลือ ก็ดูจะเป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นความพยายามแก้ไขปัญหาและยกระดับมาตรฐานผู้ตัดสินให้ดีขึ้นในระดับนึง
ปัญหาจึงอาจจะอยู่ที่ความโสมมของระบบการบริหารจัดการที่มีเหตุหรือแรงจูงใจจากการเมืองในองค์กรเป็นประเด็นขับเคลื่อนและดำรงคงอยู่ได้ซึ่งความ"ไม่สะอาด"และ ไม่ตรงไปตรงมา ดังที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆในแมทช์เมื่อคืนนี้
มองในแง่การเมืองภาพรวม หลายคนคงพอมองกันออกว่า แบ่งออกเป็น 2 ขั้วใหญ่ แม้อีกฝ่ายที่โดนกระทำจะไม่ได้มีความเป็นพันธมิตรที่จับมือกันเหนียวแน่นชัดเจนเหมือนกับอีกฝ่ายที่มีอำนาจชี้นำอยู่ในขณะนี้ด้วยแนวร่วมที่มากกว่าและปรองดองกันเหนียวแน่นกว่าด้วยการสมประโยชน์ร่วมกัน
จึงไม่แปลกถ้าจะมีการแสดงออกซึ่งนัยยะทางเมืองที่เสมือนการ รักษาแนวร่วมหรือการไม่หาศัตรูเพิ่ม โดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่ คือ นกหวีด เป่าเพื่อปลอบขวัญ (แก้ไข หรือ ให้รางวัล) หลังจาก ผบห คนงาม ออกมาให้ข่าวเชิงตัดพ้อถึงก่อนหน้า แต่ในขณะเดียวกัน นกหวีด ก็ยังทำหน้าที่สั่งสอน(ทำโทษ)กับพฤติกรรมไม่ศิโรราบ(หัวแข็ง)จาก แถลงการณ์ของผบห ของอีกฝ่ายที่ออกมาไม่เห็นด้วยหรือขัดแย้ง
สิ่งที่น่าสนใจและต้องเฝ้าดูกันต่อไปว่า นกหวีดอันเดิมจะยังคงอิทธิฤทธ์ต่อเนื่องถึงกลางสัปดาห์นี้หรือไม่ ในนัดที่เป็นการพบกันของทีมใหญ่ที่ถึงแม้จะไม่ได้มีอุดมการณ์หรือเป้าหมายเดียวกันซะทีเดียวแต่อย่างน้อยก็มีศัตรูหรือความเป็นอริต่อขั้วตรงข้ามเหมือนกัน
นกหวีด จึงอาจทำหน้าที่ชี้นำการแข่งขันในรูปแบบเดิมๆ คือ การเป่าจุดโทษคืนให้ เพื่อดึงกลับสมดุลกระแสแห่งความไม่พอใจของฝ่ายที่เสียผลประโยชน์ในนัดก่อนหน้า พร้อมๆไปกับการสบโอกาศทำโทษ "อริอีกฝ่าย" ที่เกลียดชังกันมากกว่าและที่สำคัญคือ กำลังขับเคี่ยวกันอย่างหนักทั้งในเรื่องของผลงานในสนามและกระแสนอกสนาม...