เรื่องเล่าถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เพื่อระลึกถึงใครคนหนึ่ง เผื่อว่าคนๆนั้นจะรับรู้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลแสนไกล (ขอระบาย)
ปกติในเฟสไม่ค่อยจะรับ add friend ใคร แต่มีอยู่ request หนึ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดและสะเทือนใจที่สุดเช่นกัน
วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา มีพี่คนหนึ่งได้ส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนมา เรามองดูแค่ชื่อขึ้นต้นภาษาอังกฤษได้ไม่กี่ตัวก็รู้เลยว่าใคร
รีบกดรับ add friend ทันที นี่ไงคือ add ที่รอคอย
พี่คนนี้เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกับเรามาได้ก็ประมาณ 10 ปีแล้ว ครั้งแรกที่ได้เจอกันคืองานแต่งงานของพี่เค้า ได้มีโอกาสไปช่วยงานทั้งเช้าและเย็น โดยที่ไม่ได้มีการพูดคุยกันเลย หลังจากนั้นอีกหลายปีเราก็ได้มีโอกาสเจอกันโดยบังเอิญแค่ครั้งเดียวแต่ก็ไม่ได้พูดกันอีก เรียกได้ว่าถึงเราจะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน บ้านเราก็ใกล้กันนิดเดียว แต่ 10 ปีที่ผ่านมา เราได้พูดกัน 0 คำบริบูรณ์ ถึงแม้ว่าเราจะแต่งงานหรือคลอดลูก ก็ไม่ปรากฏว่าพี่จะมาหรือแม้แต่คำยินดีใดๆจากพี่ก็ไม่มี
อาจเรียกได้ว่าเราเริ่มต้นรู้จักกันด้วยความไม่รู้จักกัน จะด้วยความเข้าใจผิด ความพูดไม่คิดของคนส่งสารหรือทัศนคติของคนกลางหรือของใครก็แล้วแต่ ทำให้พี่มองเราเป็นคนชั้น 2 เรารู้จักพี่ผ่านคำด่าที่พี่ส่งมาเป็นระยะๆ "ชั้นต่ำ สันดารไพร่ ฯลฯ" ช่วงแรกๆที่ได้รับคำเหล่านี้มาก็โกรธนะและงงด้วย คนไม่เคยพูดกันซักคำไม่เคยเจอหน้ากันเลย อยู่ๆมาด่าต่างๆนานา แต่หลังๆก็พยายามที่จะเข้าใจว่าทั้งหมดนี้ก็เพราะพี่ไม่เคยรู้จักเราเลยจริงๆ ถ้าพี่ได้มารู้จักเราแค่ครั้งเดียว พี่คงไม่พูดแบบนั้นออกมา อันที่จริงพี่ก็ด่าถูกนะว่าเราชั้นต่ำกว่าพี่ เพราะเราเป็นเด็กบ้านนอก ตอนนั้นเป็นบ้านนอกเพิ่งเข้ากรุงไม่นาน พ่อแม่ก็ตาสีตาสา เรียนม.รัฐธรรมดา หน้าที่การงานก็ลูกจ้างขั้นต่ำซึ่งเทียบอะไรกับพี่ไม่ได้เลยทั้งชาติตระกูล การศึกษา ตำแหน่งหน้าที่การงาน จริงๆเรามันคนธรรมดาจ๊อกๆคนนึง ไม่เห็นว่าพี่จะต้องเสียเวลามาใส่ใจด่าด้วยซ้ำไป
"บางทีการที่เราได้รับรู้เรื่องของคนๆหนึ่งผ่านปากของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าตัว มันอาจจะบั่นทอนจิตใจของเราเองหรือใครคนหนึ่งหรือใครหลายคนไปตลอดชีวิต"
หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้ข่าวของพี่เท่าไหร่ ได้ยินแค่ว่าหน้าที่การงานใหญ่โต เดินทางไปต่างประเทศบ่อยและยังไม่มีลูก เวลาผ่านมา 10 ปี จนถึงวันที่ 6 ส.ค..รับ add friend ในวันที่เราต้องแอดมิทผ่าตัดคอพอดี และเคยได้รู้ข่าวมาว่าช่วงนั้นพี่ก็มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับต่อมแถวๆคอเหมือนกัน เลยคิดว่าพี่คงอยากให้คำปรึกษาอะไรหรือเปล่า แต่ก็แปลกใจว่าพี่ได้ข่าวว่าเราอยู่รพ.ได้ไง หรือมันแค่บังเอิญ แต่เราก็ไม่กล้าทักไปเพราะกลัวว่าจะพูดอะไรไม่ถูกใจ จะกลายเป็นปัญหากันอีก
ไม่รู้จริงๆว่าตอนนั้นพี่คิดอะไร หลังจาก add มาก็มีแต่ความเงียบ จนผ่านไป 10 วัน เห็นพี่มากดไลค์รูปเด็กๆที่เราโพสต์ไป จนเราต้องกลับไปดูชื่อคนไลค์ว่าเป็นพี่จริงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นไลค์ที่เรารู้สึกถึงคำว่าไลค์จริงๆ ไลค์ที่คงจะทลายกำแพงทั้งหมดที่กั้นเราอยู่ ไลค์นี้ทำให้เราหวังว่าความสัมพันธ์ของเรามันคงดีขึ้นเรื่อยๆ เราพยายามเข้าไปส่องดูในเฟสพี่จึงได้รู้ว่า ในบรรดาครอบครัวเราทั้งหมด พี่แอดเราคนเดียว ในเฟสพี่ก็ม่ได้อัพเดทอะไรตั้งแต่ต้นปี เรื่องที่โพสต์ก็มีแต่แชร์กันมาอีกที รูปก็มีแต่รูปเก่าๆถ้าไปไลค์พี่คงรู้ว่ามาแอบส่อง 555 แต่ก็พยายามหา status จะจิ้มไลค์บ้าง แต่ในเฟสไม่มีอะไรให้เราไลค์ได้เลยจริงๆ ไม่ได้หยิ่งหรืออะไรนะพี่ น้องหาแล้วมันไม่มีจริงๆ
จนกระทั่งคืนวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา มีคนมาที่บ้าน แล้วก็กอดกันและพูดสั่นๆเหมือนจะร้องไห้ เราเห็นก็คิดแวบแรกว่าพี่คงจากเราไปแล้ว ไม่รู้อะไรทำให้คิดแบบนั้นทั้งที่มันไม่มีเหตุอะไรให้คิดไปทางนั้นได้เลย เลยรีบตัดความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว พยายามคิดให้เป็นเรื่องอื่น อาจจะมีใครโดนไล่ออกจากงาน หรือว่าเตียงหัก โดนไล่ออกจากบ้าน
จนเราได้รับการยืนยันว่าพี่ได้จากไปอย่างกะทันหันแล้วจริงๆ เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา ทุกคนช็อค ร้องไห้ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก มีแต่เราที่ยังยิ้มยังหัวเราะเล่นกับเด็กๆได้อยู่ เพราะอะไรเหรอ เพราะเรามาร้องไห้อีกวันหลังจากนั้น วันที่ได้ข่าวทุกคนบอกช็อค แต่กับเราคือมันเลยจุดช็อคมาแล้ว ในหัวมันเหมือนกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง มันคงเป็นกระบวนการทางสมองและอารมณ์ที่พยายามจะกลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองยังรับไม่ได้ สิ่งเดียวที่ดีใจคือได้รู้ว่าพี่ไปแบบนอนหลับไปเฉยๆ ไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลย
1 เดือนเต็มพอดีที่พี่ขอ add friend กับอีก 1 รูป ที่พี่มา Like หนูเข้าใจแล้วว่าพี่ต้องการจะสื่ออะไร ถ้าพระเจ้าเมตตาให้พี่มาอ่าน pantip หนูอยากจะบอกกับพี่ว่า สิ่งที่พี่ได้ยินคนอื่นพูดถึงหนูจนทำให้พี่รู้สึกเคืองใจ เพราะหนูอาจมาอยู่ในครอบครัวนี้หลังพี่ การที่มีคนพูดแล้วพี่รู้สึกว่าหนูข้ามหน้าข้ามตาพี่ไป สิ่งนั้นมันไม่จริงเลย คนที่พูดเค้าก็เป็นคนพูดไม่คิด เค้าไม่เคยจะรักษาน้ำใจใครอยู่แล้ว ที่สำคัญคือเค้าก็ไม่ได้เอ็นดูหนูด้วยซ้ำไป ทุกวันนี้ถ้าไม่มีเด็กๆหนูก็คงไม่มีความสุข หนูต้องอยู่บ้านนี้ด้วยความอดทนอย่างมากทุกวัน ทุกครั้งที่รู้สึกทนไม่ไหวก็ขอพระเจ้าประทานความอดทนให้มากขึ้นอีก หนูยังอิจฉาพี่เลยที่ได้แยกบ้านไปอยู่ ไม่ต้องมาทนกับคำพูดกับอารมณ์คนทุกวันแบบนี้ ก่อนวันที่พี่เสียไม่กี่วันเค้ายังเอาพี่มาพูดเสียๆหายๆ หนูยังด่าเค้าแทนพี่ในใจเลย ทัศนคติเค้าแย่มากถึงมากที่สุดพี่อย่าไปสนใจเลย พักผ่อนให้สบาย หนูรู้พี่ทำงานหนัก เหนื่อยมาพอแล้ว เราย้อนเวลากลับมาแก้ไขมันไม่ได้เลย แต่เมื่อเราเจอกันในแผ่นดินของพระเจ้าข้างบนนั้น หนูหวังว่าพี่จะเข้าใจและให้อภัยหนูและทุกคนกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ส่วนตัวหนูเลิกโกรธพี่มานานมากแล้วค่ะ^^
'Til we meet again.
Add friend ที่เซอร์ไพรส์และสะเทือนใจที่สุด
ปกติในเฟสไม่ค่อยจะรับ add friend ใคร แต่มีอยู่ request หนึ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดและสะเทือนใจที่สุดเช่นกัน
วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา มีพี่คนหนึ่งได้ส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนมา เรามองดูแค่ชื่อขึ้นต้นภาษาอังกฤษได้ไม่กี่ตัวก็รู้เลยว่าใคร
รีบกดรับ add friend ทันที นี่ไงคือ add ที่รอคอย
พี่คนนี้เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกับเรามาได้ก็ประมาณ 10 ปีแล้ว ครั้งแรกที่ได้เจอกันคืองานแต่งงานของพี่เค้า ได้มีโอกาสไปช่วยงานทั้งเช้าและเย็น โดยที่ไม่ได้มีการพูดคุยกันเลย หลังจากนั้นอีกหลายปีเราก็ได้มีโอกาสเจอกันโดยบังเอิญแค่ครั้งเดียวแต่ก็ไม่ได้พูดกันอีก เรียกได้ว่าถึงเราจะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน บ้านเราก็ใกล้กันนิดเดียว แต่ 10 ปีที่ผ่านมา เราได้พูดกัน 0 คำบริบูรณ์ ถึงแม้ว่าเราจะแต่งงานหรือคลอดลูก ก็ไม่ปรากฏว่าพี่จะมาหรือแม้แต่คำยินดีใดๆจากพี่ก็ไม่มี
อาจเรียกได้ว่าเราเริ่มต้นรู้จักกันด้วยความไม่รู้จักกัน จะด้วยความเข้าใจผิด ความพูดไม่คิดของคนส่งสารหรือทัศนคติของคนกลางหรือของใครก็แล้วแต่ ทำให้พี่มองเราเป็นคนชั้น 2 เรารู้จักพี่ผ่านคำด่าที่พี่ส่งมาเป็นระยะๆ "ชั้นต่ำ สันดารไพร่ ฯลฯ" ช่วงแรกๆที่ได้รับคำเหล่านี้มาก็โกรธนะและงงด้วย คนไม่เคยพูดกันซักคำไม่เคยเจอหน้ากันเลย อยู่ๆมาด่าต่างๆนานา แต่หลังๆก็พยายามที่จะเข้าใจว่าทั้งหมดนี้ก็เพราะพี่ไม่เคยรู้จักเราเลยจริงๆ ถ้าพี่ได้มารู้จักเราแค่ครั้งเดียว พี่คงไม่พูดแบบนั้นออกมา อันที่จริงพี่ก็ด่าถูกนะว่าเราชั้นต่ำกว่าพี่ เพราะเราเป็นเด็กบ้านนอก ตอนนั้นเป็นบ้านนอกเพิ่งเข้ากรุงไม่นาน พ่อแม่ก็ตาสีตาสา เรียนม.รัฐธรรมดา หน้าที่การงานก็ลูกจ้างขั้นต่ำซึ่งเทียบอะไรกับพี่ไม่ได้เลยทั้งชาติตระกูล การศึกษา ตำแหน่งหน้าที่การงาน จริงๆเรามันคนธรรมดาจ๊อกๆคนนึง ไม่เห็นว่าพี่จะต้องเสียเวลามาใส่ใจด่าด้วยซ้ำไป
"บางทีการที่เราได้รับรู้เรื่องของคนๆหนึ่งผ่านปากของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าตัว มันอาจจะบั่นทอนจิตใจของเราเองหรือใครคนหนึ่งหรือใครหลายคนไปตลอดชีวิต"
หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้ข่าวของพี่เท่าไหร่ ได้ยินแค่ว่าหน้าที่การงานใหญ่โต เดินทางไปต่างประเทศบ่อยและยังไม่มีลูก เวลาผ่านมา 10 ปี จนถึงวันที่ 6 ส.ค..รับ add friend ในวันที่เราต้องแอดมิทผ่าตัดคอพอดี และเคยได้รู้ข่าวมาว่าช่วงนั้นพี่ก็มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับต่อมแถวๆคอเหมือนกัน เลยคิดว่าพี่คงอยากให้คำปรึกษาอะไรหรือเปล่า แต่ก็แปลกใจว่าพี่ได้ข่าวว่าเราอยู่รพ.ได้ไง หรือมันแค่บังเอิญ แต่เราก็ไม่กล้าทักไปเพราะกลัวว่าจะพูดอะไรไม่ถูกใจ จะกลายเป็นปัญหากันอีก
ไม่รู้จริงๆว่าตอนนั้นพี่คิดอะไร หลังจาก add มาก็มีแต่ความเงียบ จนผ่านไป 10 วัน เห็นพี่มากดไลค์รูปเด็กๆที่เราโพสต์ไป จนเราต้องกลับไปดูชื่อคนไลค์ว่าเป็นพี่จริงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นไลค์ที่เรารู้สึกถึงคำว่าไลค์จริงๆ ไลค์ที่คงจะทลายกำแพงทั้งหมดที่กั้นเราอยู่ ไลค์นี้ทำให้เราหวังว่าความสัมพันธ์ของเรามันคงดีขึ้นเรื่อยๆ เราพยายามเข้าไปส่องดูในเฟสพี่จึงได้รู้ว่า ในบรรดาครอบครัวเราทั้งหมด พี่แอดเราคนเดียว ในเฟสพี่ก็ม่ได้อัพเดทอะไรตั้งแต่ต้นปี เรื่องที่โพสต์ก็มีแต่แชร์กันมาอีกที รูปก็มีแต่รูปเก่าๆถ้าไปไลค์พี่คงรู้ว่ามาแอบส่อง 555 แต่ก็พยายามหา status จะจิ้มไลค์บ้าง แต่ในเฟสไม่มีอะไรให้เราไลค์ได้เลยจริงๆ ไม่ได้หยิ่งหรืออะไรนะพี่ น้องหาแล้วมันไม่มีจริงๆ
จนกระทั่งคืนวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา มีคนมาที่บ้าน แล้วก็กอดกันและพูดสั่นๆเหมือนจะร้องไห้ เราเห็นก็คิดแวบแรกว่าพี่คงจากเราไปแล้ว ไม่รู้อะไรทำให้คิดแบบนั้นทั้งที่มันไม่มีเหตุอะไรให้คิดไปทางนั้นได้เลย เลยรีบตัดความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว พยายามคิดให้เป็นเรื่องอื่น อาจจะมีใครโดนไล่ออกจากงาน หรือว่าเตียงหัก โดนไล่ออกจากบ้าน
จนเราได้รับการยืนยันว่าพี่ได้จากไปอย่างกะทันหันแล้วจริงๆ เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา ทุกคนช็อค ร้องไห้ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก มีแต่เราที่ยังยิ้มยังหัวเราะเล่นกับเด็กๆได้อยู่ เพราะอะไรเหรอ เพราะเรามาร้องไห้อีกวันหลังจากนั้น วันที่ได้ข่าวทุกคนบอกช็อค แต่กับเราคือมันเลยจุดช็อคมาแล้ว ในหัวมันเหมือนกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง มันคงเป็นกระบวนการทางสมองและอารมณ์ที่พยายามจะกลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองยังรับไม่ได้ สิ่งเดียวที่ดีใจคือได้รู้ว่าพี่ไปแบบนอนหลับไปเฉยๆ ไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลย
1 เดือนเต็มพอดีที่พี่ขอ add friend กับอีก 1 รูป ที่พี่มา Like หนูเข้าใจแล้วว่าพี่ต้องการจะสื่ออะไร ถ้าพระเจ้าเมตตาให้พี่มาอ่าน pantip หนูอยากจะบอกกับพี่ว่า สิ่งที่พี่ได้ยินคนอื่นพูดถึงหนูจนทำให้พี่รู้สึกเคืองใจ เพราะหนูอาจมาอยู่ในครอบครัวนี้หลังพี่ การที่มีคนพูดแล้วพี่รู้สึกว่าหนูข้ามหน้าข้ามตาพี่ไป สิ่งนั้นมันไม่จริงเลย คนที่พูดเค้าก็เป็นคนพูดไม่คิด เค้าไม่เคยจะรักษาน้ำใจใครอยู่แล้ว ที่สำคัญคือเค้าก็ไม่ได้เอ็นดูหนูด้วยซ้ำไป ทุกวันนี้ถ้าไม่มีเด็กๆหนูก็คงไม่มีความสุข หนูต้องอยู่บ้านนี้ด้วยความอดทนอย่างมากทุกวัน ทุกครั้งที่รู้สึกทนไม่ไหวก็ขอพระเจ้าประทานความอดทนให้มากขึ้นอีก หนูยังอิจฉาพี่เลยที่ได้แยกบ้านไปอยู่ ไม่ต้องมาทนกับคำพูดกับอารมณ์คนทุกวันแบบนี้ ก่อนวันที่พี่เสียไม่กี่วันเค้ายังเอาพี่มาพูดเสียๆหายๆ หนูยังด่าเค้าแทนพี่ในใจเลย ทัศนคติเค้าแย่มากถึงมากที่สุดพี่อย่าไปสนใจเลย พักผ่อนให้สบาย หนูรู้พี่ทำงานหนัก เหนื่อยมาพอแล้ว เราย้อนเวลากลับมาแก้ไขมันไม่ได้เลย แต่เมื่อเราเจอกันในแผ่นดินของพระเจ้าข้างบนนั้น หนูหวังว่าพี่จะเข้าใจและให้อภัยหนูและทุกคนกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ส่วนตัวหนูเลิกโกรธพี่มานานมากแล้วค่ะ^^
'Til we meet again.