"กว่าลูกจะได้ทุนเรียนฟรีจากมหาวิทยาลัยในอเมริกาทั้ง 3 คน" ตอนที่ 4 คิดไม่ออกเลือกเรียนคณะอะไรดี?

ขณะที่รถติดไฟแดงบนถนนสายหนึ่งกลางกรุงเอเธนส์ น้อง Sandy มองออกนอกกระจกรถ
พร้อมกับชี้ไปข้างหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจในขณะที่คุณพ่อกำลังทำหน้าที่โชเฟอร์
เพื่อให้ดูหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีน้ำเงิน ด้านหน้ามีป้ายสะท้อนแสงสีเหลือง
พร้อมตัวเลขสีดำติดอยู่บนหน้าอกเสื้อ พอคุณพ่อหันไปดูตามเสียงและนิ้วที่กำลังชี้ไปข้างหน้า
น้อง Sandy ซึ่งอายุประมาณ 4 ขวบตะโกนพูดด้วยเสียงดังลั่นรถว่า
"โตขึ้นน้อง Sandy อยากเป็นคนกวาดขยะแบบผู้หญิงคนนั้นค่ะคุณพ่อ!!"

คุณแม่ซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังกับน้อง Sandy รีบตอบแทนคุณพ่อว่า "ดีมากเลยค่ะหนู
คนกวาดขยะทำหน้าที่เป็นคนดีของสังคม เขาช่วยทำให้ถนนและบ้านเมืองสะอาดน่าอยู่
ถ้าหนูเป็นคนกวาดขยะก็จะเป็นคนดีที่ช่วยทำให้บ้านเมืองสะอาดและจะได้แต่งตัวเท่ห์ ๆ แบบนี้ด้วยนะคะ ^^"
คุณพ่อพูดเสริม "เก่งมากเลยครับหนู ^^"

สังเกตดูใบหน้าของน้อง Sandy ตอนนั้นมีดวงตาเป็นประกาย ยิ้มแก้มปริ หน้าบานเป็นกะโร่
เห็นชัดถึงความหวังและความภาคภูมิใจในตัวเองที่ความฝันของเธอได้รับการสนับสนุน
จากทั้งคุณพ่อและคุณแม่อย่างเต็มที่

น้อง Doctor ในวัย 2 ขวบกว่าที่กำลังนั่งบนตักคุณแม่ก็พยายามจะลุกขึ้นยืนเพื่อชะโงกหน้า
มองตามสิ่งที่พี่สาวชี้บ้างและได้แต่ยิ้มเห็นฟันน้ำนมเรียงเป็นระเบียบขาวสะอาดเหมือนอยาก
มีส่วนร่วมแต่ยังพูดไม่ได้ศัพท์ตามประสาเด็กผู้ชายที่มักจะพูดช้ากว่าเด็กผู้หญิง
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของพี่ทั้งสองทำให้น้อง Paul ที่อายุเกือบ 7 เดือนในครรภ์ของคุณแม่ดุ๊กดิ๊กไปมา
เหมือนกับจะส่งสัญญาณบอกว่าเขากำลังสนุกกับบรรยากาศความสุขที่กำลีงเกิดขึ้นในรถนั้นด้วย ^^

ตอนอายุ 6 ขวบเมื่อน้อง Sandy กลับถึงเมืองไทยได้เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือ รปภ.
อยู่ในชุดเครื่องแบบสีฟ้า ใส่หมวกและพกกระบองติดตัวก็เปลี่ยนความคิดที่อยากจะเป็นคนกวาดขยะ
แล้วบอกว่าอยากจะเป็น รปภ. แทนเพราะเห็นว่าแต่งตัวเท่ห์กว่าแถมยังมีอาวุธไว้จับคนร้ายได้อีกด้วย
คุณแม่ก็สนับสนุนเห็นดีเห็นงามไปกับน้อง Sandy เหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่ลูกบอกว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร

พออายุได้ประมาณ 7 ขวบเริ่มเห็นแววว่าน้อง Sandy เป็นเด็กที่เรียนรู้เร็วและสามารถทำคะแนนได้ดี
ตั้งแต่กลับมาเรียนต่อเกรด 1 ในเมืองไทย ทำให้คิดว่าหากสามารถมีผลการเรียนที่ดีแบบนี้
ไปจนโตก็คงจะมีโอกาสได้เรียนต่อเป็นหมอซึ่งเป็นอาชีพที่ใคร ๆ ก็ใฝ่ฝันได้เหมือนกัน

ด้วยเหตุผลที่เป็นแรงบันดาลใจต่อวิชาชีพหมอที่จะได้กล่าวต่อไป คุณแม่จึงมีการปลูกฝังให้น้อง Sandy
เลือกเดินสายวิชาชีพนี้มาตั้งแต่เริ่มเห็นแววและโชคดีที่เชียร์ติด เพราะตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบเป็นต้นมา
น้อง Sandy ไม่เคยพูดถึงอาชีพอื่นอีกเลยนอกจากอาชีพหมอ จึงได้เดินตามความฝันของตัวเอง
ตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันได้ทุนเรียนจนจบเตรียมแพทย์แล้ว และกำลังลุ้นผลสมัครเข้า Medical School
ซึ่งคาดว่าน่าจะทราบภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า


คุณพ่อคุณแม่ทุกคนก็คงจะเคยได้ยินลูก ๆ พูดถึงความฝันว่าโตขึ้นอยากมีอาชีพเป็นอะไรกันบ้างแล้ว
เด็กบางคนอาจจะอยากจะเป็นครู บางคนอยากเป็นตำรวจ บ้างอยากเป็นทหาร เป็นหมอ เป็นพยาบาล
เป็นนักบิน เป็นนักธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์  คอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ ดารา นักร้อง พ่อค้า แม่ค้า และอื่น ๆ

เวลาที่พวกเขาพูดถึงในสิ่งที่รักและอยากเป็น ใบหน้าของพวกเขาจะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
มีดวงตาสุกใสเป็นประกายเต็มไปด้วยความฝัน เราทุกคนก็เคยมีความฝันเช่นนั้นในวัยเด็กเหมือนกัน
และคงจะมีความสุขมากหากคุณพ่อคุณแม่ของเราส่งเสริมและสนับสนุนในสิ่งที่เราอยากจะได้อยากจะเป็น
การดับฝันของเด็ก ๆ จะทำให้พวกเขาหยุดที่จะฝัน เท่ากับเราไปหยุดความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ
ทำให้เด็ก ๆ เกิดความสับสน เป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่
คุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังอย่างมากในการพูดกับลูก ๆ เพื่อไม่ให้ไปหยุดความฝันของพวกเขา

ความฝันของเด็กเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพล
ต่อความคิดของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลที่มาจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์
ญาติพี่น้อง คนใกล้ชิด ดารา นักร้องที่เป็นไอดอลของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่สนิท

ดังนั้นผู้ปกครองไม่ควรที่จะเป็นกังวลเกินไปหากบุตรหลานของท่านยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่า
พวกเขาอยากเรียนสายอาชีพไหน หรือโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร

ตอนเด็กน้อง Doctor ชอบไดโนเสาเป็นพิเศษ มีความฝันอยากทำงานด้านธรณีวิทยาเพื่อค้นคว้าวิจัย
เกี่ยวกับโครงกระดูกของไดโนเสา ต่อมาอยากเป็นสัตวแพทย์เพื่อจะได้ทำงานกับสัตว์ต่าง ๆ ที่เขาชื่นชอบ

ระหว่างเรียนมัธยมปลายน้อง Doctor สนใจเกี่ยวกับสัตว์และได้รับโอกาสฝึกงานในสวนสัตว์แห่งหนึ่ง
ตอนนั้นคุณแม่แอบคาดหวังว่าเขาจะต่อยอดความสนใจด้วยการเลือกเรียนเป็นสัตวแพทย์

ครั้นไม่ได้เลือกเรียนสายวิชาสัตวแพทย์ก็ไม่ว่ากัน เพราะการได้เข้าร่วมชมรมนักพูดและการโต้วาที
ได้เข้าร่วมประชุมนานาชาติทั้งในและต่างประเทศในหลายโอกาส คุณแม่ก็แอบมีความหวังอีกว่า
หากลูกคนนี้จะเลือกเดินเส้นทางสายการทูตที่ได้พยายามปลูกฝีงให้เช่นกันก็คงจะดีไม่น้อย

แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นไปหลงใหลกับการอ่านชิ้นงานวรรณกรรมและโครงฉันท์กาพย์กลอนซะงั้น
ความชื่นชอบในวิชานี้เป็นพิเศษเป็นผลให้น้อง Doctor ได้รับทุนเรียน The Great Books ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
วรรณกรรมและปรัชญาแบบพลิกล็อคผิดคาด เมื่อพยายาม Convince หรือพูดโน้มน้าวให้เขา
เลือกเรียนในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ลูกตัดสินใจเลือก เพราะคิดว่าหากเขาได้เลือกเรียน
ในสิ่งที่รักแล้วก็น่าจะเรียนได้ดีกว่าการที่ต้องเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบเพียงเพื่อตามใจคุณแม่
เป็นความชอบของลูกที่คุณแม่ไม่ปลื้ม แต่ต้องตามใจลูก เพราะคนที่เรียนคือลูก ไม่ใช่คุณแม่!!

ตอนนี้คุณแม่ก็ยังอดที่จะแอบมีความหวังเล็ก ๆ ไม่ได้ว่าเมื่อเรียนจบระดับปริญญาตรีในอีก 2 ปีข้างหน้านี้แล้ว
ได้พบเจอประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ความคิดหรืออุดมการณ์ต่าง ๆ ที่เคยมีอาจจะเปลี่ยนไป
และน้อง Doctor อาจจะเลือกเรียนต่อในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวตนที่แท้จริงของเขาที่จะสามารถนำไป
ประกอบสัมมาชีพที่เป็นประโยชน์กับสังคมพร้อม ๆ กับการได้ทำในสิ่งที่เขารักได้ในที่สุด ^^


สำหรับน้อง Paul เคยใฝ่ฝันอยากเป็นนักบินอวกาศในวัยเด็ก ต่อมาตอนอยู่มัธยมต้น
ได้อ่านหนังสือ Harry Potter ทุกภาคและหนังสือในแนว Fantasy เล่มอื่น ๆ ต่อจากพี่สาวและพี่ชาย
ก็ฝันอยากจะเป็นนักเขียน แต่ระหว่างเรียนชั้นมัธยมปลายปีแรกได้ถามว่าอยากเรียนต่อ
ระดับมหาวิทยาลัยทางด้านไหน ได้รับคำตอบว่ายังไม่รู้ คุณแม่จึงพยายามปลูกฝัง
ให้เรียนสายการทูตแต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก...อุ๊บส์...

เมื่อน้อง Paul ยังไม่รู้ว่าจะเลือกเรียนต่อทางด้านไหน คุณแม่ได้ลองให้คำแนะนำให้เรียน
Political Sciences หรือคณะรัฐศาสตร์ แต่เมื่อยุไม่ขึ้นก็แนะนำให้เลือก International Relations
ซึ่งสามารถต่อยอดให้ทำงานสายการทูตหรือองค์กรสหประชาชาติได้ ตอนแรกดูเหมือนลูก
จะคล้อยตามจนคุณแม่แอบปลื้ม แต่ตอนใกล้สมัครขอทุนมหาวิทยาลัยกลับเปลี่ยนใจ
ไปเลือกเรียนคณะ Communications แทนซะงั้น

แล้วก็เป็นเหมือนพี่ชายที่คุณแม่ต้องปล่อยเลยตามเลยและตามใจให้น้อง Paul เลือกเรียนในวิชาที่รัก
เพราะคิดว่าการบังคับให้ลูกเรียนในสิ่งที่เขาไม่ชอบน่าจะส่งผลเสียมากกว่าดี
ซึ่งเขาจะทำได้ดีกว่ามากถ้าได้เรียนในสิ่งที่รักและสนใจอยากจะเรียนจริง ๆ

ดังนั้นหลังจากได้ทุนแล้วจึงเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยและได้ลงทะเบียนเรียนเรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม 2015 และเพื่อเป็นการเอาใจคุณแม่ น้อง Paul ได้เลือกเรียน
International Relations เป็นวิชาโทแถมด้วย แค่นี้ก็เป็นปลื้มมากเกินบรรยายแล้ว ^^

แต่ขณะที่คุณแม่กำลังเตรียมเรื่องเล่าตอนที่ 2 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วน้อง Paul ได้ส่งข้อความทางไลน์
มาบอกว่า หลังจากได้เรียนวิชาต่าง ๆ ในคณะ Communications แล้วพบว่าไม่ได้น่าสนใจ
อย่างที่คิดไว้แต่แรก จึงขอความเห็นจากคุณแม่ว่าหากจะเปลี่ยนจากคณะ Communications
มาเป็น Political Science จะดีไหม?

โอ้ววว...เข้าทางแบบนี้คุณแม่ได้รีบตอบตกลงเห็นด้วยแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักนิด ^^
ซึ่งนอกจากคุณแม่แล้วทุกคนทางบ้านก็ตื่นเต้นดีใจมากที่อยู่ ๆ ลูกก็ขอเปลี่ยนคณะที่เรียน
ทั้งที่ก่อนหน้านี้คุณแม่ได้พยายามที่จะปลูกฝังให้เขาเลือกเรียนสายอาชีพนี้ตั้งแต่ต้น
แต่ไม่เป็นผลด้วยข้ออ้างว่าได้ทุนมาเพื่อเรียนคณะนี้แล้วเปลี่ยนไม่ได้ แต่มาวันนี้เขาเปลี่ยนเอง
ทำให้คุณแม่เป็นปลื้มจนน้ำตาจิไหล ^^


จากเหตุการณ์ของน้อง Paul ที่สามารถเปลี่ยนคณะและวิชาที่เรียนได้นั้นทำให้มองเห็นข้อแตกต่าง
ระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและในอเมริกาในเรื่องความสามารถในการเปลี่ยนแปลง
คณะและวิชาที่จะเรียนได้แม้จะมีการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วก็ตาม โดยมหาวิทยาลัยในไทยนั้น
เมื่อเลือกเรียนคณะไหนแล้วก็ต้องอดทนเีรียนต่อจนจบ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
หรือถ้าเลือกไปแล้ว ทดลองเรียนแล้ว และพบว่าไม่ชอบจริง ๆ จะทำได้เพียงสถานเดียว
ก็คือจะต้องลาออกก่อนแล้วสอบเข้าคณะที่ต้องการใหม่เท่านั้น

แต่สำหรับมหาวิทยาลัยในอเมริกานั้นสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลาในช่วงปีแรกถึงเทอมแรกของปีที่ 2
หรือแม้แต่กรณีนักเรียนทุนอย่างน้อง Paul ซึ่งสามารถเปลี่ยนคณะที่เรียนจากคณะ Communications
ที่สมัครขอทุนและได้รับการตอบรับเพื่อเรียนคณะนี้ตั้งแต่ต้น แต่หลังจากเรียนได้เพียง 2 สัปดาห์
แล้วต้องการเปลี่ยนก็สามารถทำได้โดยง่าย โดยที่ยังคงเรียนในวิชาที่เลือกสำหรับเทอมแรกนี้ต่อจนจบ
แล้วเทอมหน้าจึงค่อยเรียนวิชาใหม่ที่เลือกไว้แล้วสำหรับคณะรัฐศาสตร์หรือ Political Sciences ได้เลย

ขอยกหนึ่งกรณีตัวอย่างจากเพื่อนหลานสาวที่สอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ได้
แต่เรียนได้ประมาณหนึ่งเทอมก็พบว่าไม่ใช่แนวทางที่ต้องการจึงหยุดเรียนเพื่อออกไปเตรียมตัวสอบ
เข้าคณะแพทย์ศาสตร์ตามที่ใฝ่ฝันไว้แต่ต้น การหยุดเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบใหม่เช่นนี้
ทำให้เสียเวลาเรียนไป 2 ปี ตอนนี้เธอเรียนจบได้เป็นหมอสมใจแล้ว
แต่จบช้ากว่าเพื่อน ๆ ที่เคยเรียนด้วยกันถึง 2 ปี

หากเธอเรียนมหาวิทยาลัยในอเมริกาที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงคณะได้ในเวลาที่กำหนด
ก็จะไม่ต้องเสียเวลาเรียนแบบกรณีนี้ ถ้าการเลือกคณะและวิชาที่จะเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
สามารถทำได้เหมือนในอเมริกาอย่างอิสระอย่างนี้ เด็กนักเรียนไทยอีกจำนวนมาก
ก็คงจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ได้โดยไม่ต้องทนเรียนวิชาที่ค้นพบภายหลังว่าไม่ใช่สิ่งที่ชอบ
และสามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ใช่เพื่อเรียนต่อได้โดยไม่ต้องหยุดกลางคัน หรือต้องเสียเวลาไปฟรี ๆ 2 ปี
แบบกรณีที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของหลานคนนี้เลย!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่