เรื่องเล่าของความเป็นพ่อ.......

กระทู้สนทนา
คืนนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้วเป็นคืนที่นอนไม่หลับ วิตกกังวล ตื่นแต้น กระวนกระวาย อะไรก็ไม่รู้ มีมาทุกอารมณ์
-ตี 4 ต้องตื่นทั้งที่นอนดึก แล้วก็นอนไม่หลับ เพื่อไปส่งภรรยาไปคลอดที่โรงพยาบาลสิริกิติ์ ห่างจากบ้านประมาณ 40 นาที เพราะถึงกำหนดคลอดแล้ว หมอที่ฝากครรภ์ให้ไปนอนรอคลอดตอนตี 5 ครึ่ง หมอสั่งเจ้าหน้าที่รอรับและเตรียมฉีดยาเร่งคลอดไว้ให้แล้ว ส่งแล้วก็กลับมารอที่บ้านได้เลย โดยให้เบอร์ห้องคลอดไว้ แล้วค่อยโทรมาถามหน้าห้องว่าคลอดรึยัง
-7 โมง กลับถึงบ้าน อาบน้ำเสร็จก็เตรียมของใช้ที่ภรรยาจัดไว้ขึ้นรถรอ..
-9 โมง นอนไม่หลับ รอ...........
-10 โมง โทรไปหน้าห้องคลอด พยาบาลแจ้งว่ายังไม่คลอด......รอ..........
-11 โมง โทรใหม่ คำตอบเหมือนเดิม.......รอ.........
-เที่ยง โทรใหม่ เหมือนเดิม ยังไม่มีวี่แวว........รอ........
-บ่ายโมง โทรอีก คราวนี้พยาบาลแจ้งว่า "ยังไม่ยอมคลอด ทั้งที่ฉีดยาเร่งคลอดให้ตั้งแต่เช้าแล้ว" ตอนนี้หมอรอไม่ไหวละ ตัดสินใจว่าจะผ่าก็แล้วกัน ให้พ่อมารอเลย
-บ่าย 2 ขับรถเต็มความเร็วที่มีและที่ถนนพอจะรับได้ ถึงโรงพยาบาล  วิ่งขึ้นไปหน้าห้องคลอดชั้นสอง ยืนรอไม่เกิน 5 นาที พยาบาลก็เข็นภรรยาออกมาในสภาพสลึมสลือเพราะยาสลบ เสียงพูดออกมาได้คำเดียวว่า "เจ็บ" แล้วเค้าก็เข็นต่อไปห้องรวมเพื่อสังเกตการณ์ก่อนจะแยกเข้าห้องเดี่ยว
-3 โมง ผมเดินไปเดินมาระหว่างห้องคลอดกับห้องผู้ป่วย ดูทั้งภรรยา ห่วงทั้งลูก
-4 โมง เหมือนเดิม เดินไปเดินมา คราวนี้เค้าย้ายภรรยาเข้าห้องเดี่ยว และก็หลับแล้ว
-โรงพยาบาลนี้ห้องคลอดกับห้องผู้ป่วยจะอยู่ไม่ไกลกัน จะมีทางเดินเชื่อมมีหลังคาคลุมถึงกัน ระหว่างทางจากห้องคลอดจะมีประตูหนึ่งซึ่งจะเป็นทางออกของเด็กที่คลอดแล้ว ผมก็จะวนเวียนๆอยู่ตรงนั้นแหละ หากเด็กออกมาสมบูรณ์ดี เค้าก็จะเข็นใส่ถาดพลาสติกไปยังตึกที่แม่อยู่เพื่ออบตัวเด็ก แต่ถ้าออกมาแล้วมีอาการ"เหลือง"ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เป็นอาการที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ของเด็ก เค้าก็จะเข็นไปห้องตรงข้ามกับห้องคลอด และถ้าเด็กเข้าห้องนี้ พ่อแม่อาจจะต้องกับบ้านก่อน เพราะเด็กต้องใช้เวลาให้หมอได้ดูแลประมาณ 7 วันหรือมากกว่านั้นถึงจะกลับบ้านได้
-ใจผมภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพทั้งหมด และไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ได้ที่มีทั้งหมด ขออย่าให้ลูกผมต้องเข้าห้องนั้นเลย
-ตั้งแต่ 3 โมงเป็นต้นมา ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะเข็นเด็กออกมาจากห้องคลอดกี่คน ผมก็จะถามเค้าว่าใช่เด็กหญิงจิรภัสหรือเปล่า (เพราะว่าเด็กที่เกิดใหม่เค้าจะใช้ชื่อแม่ก่อน)  
-4 โมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ที่เข็นเด็กเปลี่ยนกะ เป็นคนใหม่มาเข็นแทน ผมก็เหมือนเดิม ถามทุกคน
-5 โมง ออกอการเมื่อยครับ ลุ้นทุกเรื่องตั้งแต่เช้า ข้าวปลาไม่ได้กิน ดื่มแต่น้ำ อยู่กันแค่สองคนกับภรรยา พี่สาวที่จะมาช่วยจะมาพรุ่งนี้ เหนื่อยแล้วครับ คราวนี้ก็ใช้วิธีนั่งรอที่ทางเดินที่เค้าจะเข็นเด็กผ่าน แล้วชะโงกดู โดยไม่ถามแล้ว ไม่ใช่ไม่อยากรู้ แต่ผมว่าเจ้าหน้าที่เค้าคงจำผมได้ละ
-6 โมง ประมาณนี้ จนท.เข็นเด็กออกมาอีกคน ผมก็เหมือนเดิม ลุกขึ้นแล้วก็ชะโงกดู แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม คือผมไม่ปล่อยผ่าน ผมเดินตามดูหน้าเด็กสักระยะ มั่นใจละ "ลูกกูแน่ๆ" ก็เลยตัดสินใจถาม ว่า ดญ.จิรภัสใช่มั๊ย จนท.ตอบว่าใช่คะ ...........ครั้งแรกที่ได้เห็นรู้สึกพลุพล่านในใน "นี่ลูกผม" ดีใจ ปลื้มใจ เฮ (ก็ในใจครับ) ลูกผมไม่ต้องเข้าห้องเด็กเหลือง ถามว่าทำไมแค่เห็นหน้าถึงรู้ว่าเป็นของผม ......คำตอบง่ายๆครับ "ก็เพราะผมเป็นพ่อมัน มันก็เลยออกมาหน้าเหมือนผม".....กรรมของลูกสาวผมแท้ๆ....555555
-เสร็จแล้วเค้าก็พาเด็กไปยังตึกผู้ป่วย ไปอบที่ตึกผู้ป่วยต่อ โดยยังไม่พาไปหาแม่ จากนั้นผมก็เดินไปห้องผู้ป่วยเพื่อบอกภรรยาว่า เค้าพาลูกออกมาแล้ว
-คราวนี้จะพามายังห้องอบ เป็นห้องนึงในส่วนห้องผู้ป่วยที่เพิ่งคลอด เป็นห้องกระจกอลูมิเนียม ติดม่านภายในและปิดม่านสนิททุกบาน ประตูเป็นบานเลื่อน มีเฉพาะ จนท.และญาติเด็กบางคน(ที่ จนท.เรียก)เท่านั้นที่อนุญาตให้เขาออกได้ ภายในห้องจะมีตู้อบเป็นสิบตู้ มีเด็กทุกตู้ นอกตู้ก็จะมีเด็กอยู่ในถาดพลาสติกอีกหลายคน ผมก็อาศัยยืนหน้าห้อง คอยชะเง้อตามองเข้าไปหาลูก ตอนที่มีคนผ่านเข้าออกเท่านั้น
-2 ทุ่มกว่าๆ พยาบาลคนนึ่ง เค้าคงรำคาญผม เพราะนอกจากจะยืนชะเง้อแล้ว ในจังหวะที่คนเข้าคนออก เนื่องจากประตูเป็นบานเลื่อน ผมก็จะใช้วิธีเอานิ้วก้อยแหย่กันไม่ให้ประตูปิดสนิท เพื่อที่จะได้มองเข้าไปเห็นในห้อง  พยาบาลคนนั้นถามว่าลูกผมชื่ออะไร ผมก็ตอบไป เค้าหายเข้าไปในห้องสักพัก แล้วก็เปิดประตูมาเรียกผมให้มารับลูก(ของมะรึง...555)ไปได้แล้ว ผมดีใจมาก มากที่สุดในชีวิต ได้ลูกมาสู่อ้อมกอดแล้ว อยากเข็นกลับบ้านเลย แต่ติดว่าแม่มันยังนอนอยู่ที่นี่ ก็เลยต้องเอาไปนอนคู่กับแม่มันก่อน
-พอพาลูกมาให้แม่มัน.....ช่วงนี้ไม่ต้องบรรยายก็ได้ เป็นครั้งแรกที่แม่จะได้เห็นลูก บรรยายไมถูกครับ ไปนึกเอาเอง
-3 ทุ่มกว่าๆ พยาบาลมาตามให้พาเด็กไปดื่มนม ก็ต้องเข็นลูกไปห้องอบเดิม คราวนี้ผมก็เป็นคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องได้เหมือนคนอื่นแล้วครับ การให้นมพ่อต้องอุ้มในซอกแขน อันนี้ผมเคยอุ้มเด็กมาเยอะก็เลยไม่เป็นปัญหาครับ แล้วพยาบาลก็จะเทนมใส่บิกเกอร์ประมาณออนซ์กว่าๆมาให้ แล้วบอกว่าให้ค่อยๆป้อน โดยเอาไปจ่อที่ปาก ตอนแรกผมก็สงสัยว่าลูกมันไม่เห็นมีการขยับปากอะไรเลย แล้วน้ำนมมันจะเข้าไปเหร้อ สักพักก็สังเกตที่บิกเกอร์ น้ำนมมันลดลงไปเกือบครึ่งแล้ว และก็ไม่ได้หกตรงไหนด้วย นั่นก็แสดงว่าลูกได้กินจริงๆ น้ำตาจะไหล "เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ป้อนอาหารให้ลูก"
-4 ทุ่มกว่าๆ ก็พากลับมาที่ห้องแม่ คงจะได้เวลาที่เราจะได้พักบ้างหละสิ ลูกก็หลับแล้ว แม่มันก็หลับแล้ว   นอกจากได้ดื่มแต่น้ำมาทั้งวัน แล้วก็ดันอาบน้ำเฉพาะตอนเช้าด้วยสิ คงต้องนอนแบบซักแห้งแล้วหละเรา
-ตี 1 กว่าๆ จากที่นอนหลับไม่สนิทอยู่แล้ว ต้องตื่นเพราะลูกร้อง ไม่รู้ทำไงดี ภรรยาบออกว่าลูกอาจจะดื่มนมแล้วยังไม่เรอ จึงอาจจะแน่นท้อง ให้อุ้มพาดบ่า ผมก็จัดให้เลยครับ อุ้มพาดบ่า เคาะหลังเบาๆ แถมร้องเพลงกล่อม.....ได้ผลครับ สักพักก็ดีขึ้นแล้วก็ได้นอนต่อ ช่วงนี้แม่มันยังมีอารมณ์ถ่ายรูปตอนอุ้มพาดบ่า แต่ก็ดีครับ ถึงภาพออกมาไม่ดี แต่ก็มีเรื่องราวแฝงอยู่ภายใน
-ตี 5 จนท.มาปลุก เปลี่ยนผ้าปูที่นอน จากนั้นพยาบาลก็เข้ามาสอนท่าทางวิธีการให้นมลูกแก่แม่ ว่าต้องทำท่าทางยังไง พยายามสักพัก และอีกสักสองสามพัก ก็ได้กินนมจากเต้าเป็นครั้งแรกครับ เห็นแม่มันแล้วก็บอกอารมณ์ไม่ถูก แม่ให้นมจากอกแก่ลูกเป็นครั้งแรก
-7 โมงกว่าๆ ได้เวลาเผชิญชะตากรรมของพ่อเป็นครั้งแรกแล้วครับ "ลูกอึ" ใครมีลูกต้องรู้ เค้าเรียกว่าอึขี้เฒ่าครับ คนชอบพูดว่าเอาขี้เฒ่ายัดปาก ก็คืออึครั้งแรกของเด็กนี่แหละครับ สีจะเหมือนขี้เฒ่า แต่จะเหนียวมาก ติดผ้าอ้อมหนึบหนับ ประมาณยางมะตอยหละครับ ไม่มีใครอยู่ ทำไงหละครับ เช็ดสิครับ เช็ดยากมาก แม่มันก็คอยบอกวิธีเช็ด เช็ดเสร็จก็เอาผ้าอ้อมไปซัก โอ้....นึกๆว่าถ้าเป็นยางมะตอยคงเอาน้ำมันเบนซิลล้างแล้วหละ
-8 โมงกว่า พี่สาวมาแล้วสองคน รอดแล้วคืนนรกแตก ได้แวะกินข้าวก่อนกลับบ้าน ได้อาบน้ำ ได้นอนงีบนึง ตื่นมาอีกทีรู้สึกดีที่สุดในชีวิต
......
"เพราะว่า......วันนี้ผมมีลูกแล้ว"
......
เป็นลูกสาวหน้าตาขี้เหล่ ผมตั้งชื่อให้ว่า "ปักกิ่ง" หลายๆคนถามว่ามาจากเมืองจีนหรือไม่ก็ชื่อขนมเหรอ...
ผมบอกไม่ใช่ "ผมเอาชื่อมาจากสายพันธ์หมาครับ"....."หมาปักกิ่งหนะครับ เคยเห็นมั๊ย"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่