[CR] ท ริ ป ภู ส อ ย ด า ว.............จุดหมายปลายทางไม่สำคัญเท่าปากท้อง

เพราะเป็นทริปเดินทางที่เน้นอาหารเป็นสำคัญ
^______^



อย่าบอกว่าไม่มีเวลาไป เพราะอยากไปรีบไปเลย อย่าได้ช้า
อย่าบอกว่าเดินไม่ไหว เพราะเพื่อนเจ้าของกระทู้พาน้ำหนักร้อยกว่ากิโลกรัมเดินขึ้นไปถึงค่ะ
และพอขึ้นเขาอย่าห้าวเป้ง เพราะน้องผู้ชายที่ไปด้วยกันเกือบเป็นลมที่เนินปราบเซียนเพราะ
เดินเร็วเกินไปด้วยคิดว่าตัวเองแข็งแรง

....เราเริ่มเดินทางจากสถานีรถไฟบางเขนด้วยรถไฟขบวน 107 กรุงเทพฯ-เด่นชัย
รถไฟมาช้านิดหน่อย แต่เราไปสไตล์สบายๆ เที่ยวสโลว์ไลฟ์กับรถไฟไทย 555
เรานั่งรถไฟถึงพิษณุโลก 03.55 น. เป็นทริปที่ไปกัน 6 คน
ชาย 3 หญิง 2 ตุ๊ด 1 ว่าแล้วเราก็พร้อมตะลุย แต่ก่อนไป บขส อาหารการกินก็คงสำคัญอยู่ดี
เราจำเป็นต้องไปตุนเสบียงที่เซเว่นและตลาดใกล้ๆ ก่อนจะนั่งรถสามล้อตุ๊กๆคันเล็กไป บขส 1
เรานั่งรถบัสจากพิษณุโลก ไปลงที่ชาติตระการ ในราคา 87 บาท รถรอบแรกออก 05.00 น.
ถึงประมาณ 09 .00 น. จากนั้นจะมีลุงมาถามเพื่อไปส่งเราที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
ในราคา 1000 บาท แนะนำให้ไปเที่ยวกันหลายๆคนค่ะ เพื่อจะได้มีคนแชร์ค่ารถ
ลุงรักเล่ พาเราไปตลาดก่อนที่จะขึ้นเขา เพื่อซื้อเสบียง ไป 6 คน ค่ากับข้าวหมดไป 1300 บาท
โอ๊ะโอ แก๊งนี้บ้ากินค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

ตลาดใกล้ๆค่ะ ป้าขายดอกไม้

ถึงสถานีรถไฟค่ะ เกือบตีสี่


บรรยากาศเมื่อไปถึงค่ะ คือรถนักท่องเที่ยวเยอะมากค่ะ เพราะขึ้นลานสนกันช่วงวันศุกร์วันเสาร์เยอะมากค่ะ
เราเดินทางถึงภูสอยดาวเกือบสิบโมงเช้า แต่เรายังไม่รีบขึ้นเขาค่ะ เพราะอยากไปชิลล์ๆข้างล่าง
ก่อน พี่เจ้าหน้าที่อุทยานถึงกับอึ้งเพราะเรายืนยันว่าจะนอนที่ทำการให้ได้ เราไม่เอาบ้านพัก
ไม่เอาเต๊นท์อุทยาน เพราะเราเอาเต๊นท์ไปเองและเรามีเปลสนามกันด้วย

เราพักกันที่ศาลาเล็กค่ะ

เอาภาพเปลสนามบนลานสนมาอวดค่ะ ตอนข้างล่างไม่ได้ถ่ายรูปเพราะสนใจแต่เรื่องกินกัน 5555

เคลียร์ที่พักเรียบร้อยเราก็ก่อกองไฟทำกับข้าว บอกแล้วทริปนี้เราเน้นกิน จัดการกับอาหาร
เสร็จเรียบร้อยเราก็ไปเล่นน้ำตก ต้องบอกก่อนว่าที่ทำการจะมีสองที่นะคะ คือที่เจ้าของกระทู้
ไปพักกับตรงทางขึ้นลานสน น้ำตกตรงทางขึ้นสามารถเล่นได้ในบางจุด
หนุ่มๆกับเจ๊ตุ๊ดจะชอบเล่นน้ำกันเป็นพิเศษ แต่ชะนีอย่างเราขี้เกียจค่ะ ถ่ายรูปอย่างเดียวเลย
ตอนเย็นๆเราก็ทำกับข้าวกินกันเอง ใกล้ๆกันมีลำห้วยเล็กๆที่น้ำเย็นมาก ไปนั่งหย่อนเท้าก็ฟิน
แล้วค่ะ

ของกินสำคัญที่สุด ณ จุดนี้

หุงข้าวด้วยหม้อสนาม

ทุกคนสนุกกันใหญ่กับน้ำตก คืออากาศดีมาก

พอเริ่มมืดเราก็นั่งกินข้าวเย็น เผามัน คุยกันตามประสา จริงๆไม่ค่อยได้เจอกันเพราะ
เรียนจบแล้วต่างแยกย้ายกันทำงานโน่นนี่นั่น ทีนี้เลยเม้าท์กันสนุกสนานก่อนที่จะเดินสำรวจทั่ว
ที่ทำการกันเลยทีเดียว บอกได้คำเดียวอุทยานส่วนตัวจริงๆไม่มีนักท่องเที่ยวนอนข้างล่างเลย
เจอพวกแมลงกับกิ้งก่าที่น่ารักๆหลายตัวเลย แต่ข้างล่างอากาศก็หนามมากเช่นกัน

กิ้งก่าเขียวของเรา

กว่างห้าเขาค่ะ พบได้ทั่วไปบริเวณที่ทำการ

เช้าวันใหม่เราตื่นมาทำกับข้าวเช่นเคย แก๊งเรามาเพื่อกินจริงๆ
ทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อยก็สายๆแล้ว เก็บของไปเตรียมตัวขึ้นลานสนกัน ของบางส่วนจ้าง
ลูกหาบ บางส่วนเราก็แบกกันเอง แพลนเราคือไปนอนคืนเดียวเพราะต้องกลับมาทำหน้าที่
ตามปกติที่ กทม ในเช้าวันอังคาร เราจึงขึ้นภูเช้าวันอาทิตย์และลงเช้าวันจันทร์
จากที่ทำการที่เรานอนไปทางขึ้นลานสนระยะทาง 1.5 กม แต่มีรถทางอุทยานรับส่งฟรีนะคะ
แต่พี่ๆเขามีกล่องทริปให้หยอดตามความพอใจ บอกเลยคำเดียว ที่นี่บริการดีค่ะ ทุกคนน่ารัก

รถรับส่งของทางอุทยานค่ะ เป็นรถอีแต๊ก

เราก็เดินเรื่อยๆชิลล์ๆตามประสา ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย แต่วันอาทิตย์นักท่องเที่ยวลงจากภูเยอะ
เหมือนกัน ทุกคนยิ้มให้กันและทักทายกันตลอดทางค่ะ
เราเดินตามทางน้ำตกไปเรื่อยๆก่อนจะเริ่มตัดขึ้นเขา เนินแรกที่ต้องเจอคือ เนินส่งญาติ
เป็นเนินที่ตัดกำลังพอสมควรเลยทีเดียว แต่เราก็ผ่านมาได้ค่ะ
เนินต่อไปเป็นเนินปราบเซียน เรียกได้ว่างานนี้เซียนทั้งหลายแทบตายเลยค่ะ
จากนั้นก็เดินๆตามไหล่เขาไปเรื่อยๆ ผ่านป่าก่อที่ฟากซ้ายและขวามองเห็นสันเขาทั้งสองด้าน
หมอกลอยไปมาเอื่อยๆ คืออากาศดีม๊ากกกกกก ผ่านป่าก่อก็ไปเจอเนินเสือโคร่ง ได้ยินชื่อใคร
หลายๆคนอาจคิดถึงแมว 5555 จริงๆคือเป็นเนินของต้นกำลังเสือโคร่งค่ะ

น้ำตกตรงทางขึ้นค่ะ

ตอนที่ยังไม่หมดเเรง ยังไม่ถึงกิโลแรกค่ะ

สะพานเล็กๆข้ามห้วย

เมื่อผ่านเนินส่งญาติมาถึงเนินปราบเซียน สภาพก็เป็นอย่างที่เห็นค่ะ

จากนั้นเราจะเจอกับยอดเขาสูงชันที่เต็มไปด้วยหญ้าและไม่มีต้นไม้ ที่เรียกกันว่า “เนินมรณะ”
จริงๆเรียกว่าผามรณะจะถูกกว่าเพราะสูงชันมากๆ แต่ก็เป็นจุดที่มองวิวได้สวยมากๆเช่นกัน
เราไต่เนินมรณะจนขึ้นไปถึงยอดและเดินไปอีกหน่อยก็ถึงลานสน วันที่ขึ้นไปฝนตกระหว่างทาง
เล็กน้อยแต่ข้างบนฝนไม่ตก แต่หุบในเขาเสียงดังมากและเรามองไม่เห็นอะไรเลย คิดว่าน่าจะ
เป็นสายฝนที่ตกกระหน่ำในหุบเขา สายหมอกปกคลุมจนเหมือนอยู่ในแดนหมอกมรณะ
เราถึงลานสนในเวลาสี่โมงกว่าๆเกือบห้าโมงเย็น เราไปติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนจะเริ่มจัดการก็ที่
พักและอาหารเช่นเคย จากนั้นหมอกปกคลุมหนาแน่นมากก่อนจะจางหายไปและพระอาทิตย์
กำลังจะลาลับในเกือบทุ่ม เจ้าของกระทู้เป็นคนเดียวที่เดินไปถ่ายรูปในขณะที่เพื่อนๆสาละวน
อยู่กับเรื่องกับข้าวอีกเช่นเคย

เนินเขาที่เห็นไกลๆคือที่ที่เรากำลังจะไป



จริงๆเรียกผามรณะจะถูกกว่า คือชันมาก เป็นเนินที่แทบขาดใจ

จุดชมอาทิตย์อัสดง

ความสุขของการเดินทางคือการกินของอร่อยๆในที่สวยๆ

ตกดึกหลังกินข้าวเสร็จคนอื่นเขาถ่ายรูปดาว แต่เรานั่งเผามัน ย่างหมึก ย่างมาร์ชเมลโล่
ตอนเช้า ชาวบ้านหนีไปถ่ายรูปวิว ทะเลหมอกเราก็ไม่ไปกันค่ะ ช่วยกันทำกับข้าว ก่อนลงเขา
เราแวะไปจุดชมพระอาทิตย์อัสดงจากนั้นก็ลงจากลานสน
ถึงแม้ทริปนี้จะไม่ค่อยได้เดินไปถ่ายรูปที่ไหนเลย แต่ก็เป็นทริปที่ประทับใจมาก มันสนุกมากเวลาได้ไปกับเพื่อนและภูสอยดาวสวยงามจริงๆ ยังคงตราตรึงใจไม่หาย
มาถึงข้างล่างเราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งรถลุงรักเล่เข้าชาติตระการ แต่ที่เด็ดคือเรานั่งกิน
ข้าวบนหลังรถท่ามกลางสายฝนโปรยปราย คือ ฟินมากตื่นเต้นฝุดๆ
ก่อนจะนั่งรถรอบสุดท้ายจากชาติตระการเวลา 17.15 น. เข้าตัวเมืองพิษณุโลก
ถึงเวลา 19.45 น.โดยประมาณและขึ้นรถไฟรอบ 22.05 กลับ กทม ถึงสถานีรถไฟบางเขน
ในเวลาตีห้ากว่าๆด้วยความปลอดภัย

กางเต๊นท์ ผูกเปล ก่อกองไฟ

เหนือลานสนยังมีขุนเขาสูงใหญ่ เมฆหมอกปกคลุม และเปิดให้เดินขึ้นได้ในเดือน พฤศจิกายน

หงอนนาคกลางป่าสน




ดอกไม้ระหว่างทางเดิน
ชื่อสินค้า:   ท ริ ป ภู ส อ ย ด า ว....ไม่ไปไม่เหนื่อย..แต่ไปเหนื่อยแล้วคุ้มมากกกกก
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่