เรื่องศาสนากับความรักที่ไปกันไม่ได้ ระหว่างครอบครัวกับที่รัก เลือกไม่ได้เพราะทั้งรักและผูกพันธ์ทั้งสอง U___U

ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้  เรื่องจริงต่อไปนี้เป็นเรื่องราวชีวิตของผู้ชายธรรมด๊า ธรรมดาคนหนึ่งที่ทำงานเป็นวิศวคอมดูแลระบบขององค์กร ขอเล่าและขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ในพันทิพแห่งนี้อยากฟังความเห็นนะครับ ซึ่งผมเองก็กลุ้มและไม่รู้จะทำยังไงดี.......(The First Topic of My Life) (ผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับถ้ามันยาวและไร้สาระสำหรับการตั้งคำถามและเล่าเรื่องราวของผม มือใหม่นะครับ) ผมขอเริ่มจากครั้งแรกที่ผมได้พบกับที่รักของผม แล้วเข้าสู่ปัญหาละกันนะครับ พาพันเศร้า

      พาพันยิ้ม เรื่องราวมีอยู่ว่า ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรพิเศษ ตื่นนอนตอนเช้าทุกๆวัน หกโมง แล้วปั่นจักรยานออกกำลังกาย พาพันปั่นจักรยาน และไปซ้อมมวย ยิมใกล้ๆบ้านพัก  และกลับมาบ้านพักเจ็ดโมงก็อาบน้ำแปรงฟันล้างหน้า แล้วไปทำงานนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูแลระบบเซิฟเวอร์และทำไปอย่างนั้นทุกวัน ทุกวัน และก็ทุกวัน และเลิกงาน ห้าโมง แต่ไม่ได้เลิกตามเวลาจริงๆเพราะเราต้องstand by 24/7 คือ สแตนบาย on call ตลอดเผื่เซิฟเวอร์ล่มมีปัญหาก็ต้องเปิดคอมแล้วรีโมทมาแก้ไขปัญหา ถ้ารีโมทแก้ไขไม่ได้ก็ต้องมาที่องค์กรมาแก้ไข เพราะฉะนั้นชีวิตมนุษย์เงินเดือนวิศวคอมของผมนั้นก็จะมีเวลาออกกำลังกายช่วงเช้าเท่านั้นละครับ อีกอย่างลืมบอกไปครับว่าที่นี่ไม่มีห้างสรรพสินค้า ไม่มียิมฟิสเนส ไม่มีร้านค้าไอที จะมีก็แต่ 7-11 แค่ 1 สาขาเท่านั้น เป็นเมืองเล็กๆที่เงียบสงบ เล็กแค่ไหนนะเหรอครับ ==>> ปั่นจักรยานใช้เวลา แค่ 15 นาทีก็สามารถปั่นครบรอบอำเภอแล้ว เย้ๆๆๆพาพันปั่นจักรยาน อากาศที่นี่ก็สดชื่นตลอดปี โอโซนระดับต้นๆของเมืองไทยก็ว่าได้ผมรู้สึกอย่างนั้น และผู้คนที่นี่เองก็หลับนอนกันตั้งแต่หัวค่ำ สองทุ่มแทบจะทุกบ้านปิดไฟนอนหลับกันหมดแล้ว เสียงเงียบสงัด มีก็แต่แสงไฟสลัวๆจากไฟกิ่งตามท้องถนน และเสียงลมแผ่วเบาเท่านั้น  (โอ้แม่เจ้า พระเจ้าช่วยกล้วยทอดครับพี่น้องครับ ตอนมาทำงานที่นี่ครั้งแรก ผมนึกในใจ ที่นี่มัน Unseen Thailand ชัดๆเลยนะพูดตรงๆ)  ที่ทำงานก็มีเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนๆพี่ๆน้องๆผู้ชาย และพี่ผู้หญิงก็ส่วนใหญ่อายุน้อยไปหมดแล้วครับ อิอิ ผู้สูงวัยทั้งน้านนน อมยิ้ม01 เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องจินตนาการก็พอนึกออกกันใช่ไหมครับว่า ชีวิตธรรมด๊า ธรรมดา เรื่อยๆและไม่มีชีวิตชีวามันเป็นยังไง 555+ (Very Slow Slow Slow Life ก็เป็นด้ายยย....)  เรื่องราวชีวิตที่เริ่มเปลี่ยนไปมันเริ่มจากตรงนี้ครับ  วันนี้เป็นวันที่องค์กรเริ่มเปิดรับสมัครตำแหน่งงานใหม่เพิ่ม คือ Public Health ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รับเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น และที่สำคัญครับ เป็นผู้หญิงที่นางฟ้าเรียกพี่เลยครับผม และก็เป็นวันที่พี่ๆเพื่อนๆน้องๆผู้ชายทุกคนในที่นี้ ตื่นเต้นๆ กันทั้งหมด แต่ผมเองก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมาย เพราะรู้ตัวเองดีครับว่าไม่หล่อและอัธยาศัยดีสู้คนอื่นๆไม่ได้ (เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเลย) ซึ่งผมเป็นอยู่โรคนึงนะครับ เป็นอะไรก็ไม่รู้ เวลาเจอผู้หญิงสวยๆมาคุยด้วยผมมักจะพูดไม่ออกและทำอะไรไม่ถูกมักจะไม่กล้าสบตาและหน้าเขา ซึ่งวันนั้นเองเป็นวันแรกครับที่ผมได้ไปเซ็ตระบบเมลที่โต๊ะทำงานของเธอ (นางฟ้าเรียกพี่ครับ) ผมยอมรับเลยว่าพอไปถึงที่โต๊ะทำงานของเธอ ผมทำตัวไม่ถูก ระบบสมองและร่างกายมันทำงานไม่ปติสัมพันธ์กันเลย ผมได้คุยกับเธอครั้งแรกและไม่กล้าจะสบหน้าเธอเท่าไหร่ ริมฝีปากผมมันรู้สึกกระด้างขึ้นมาทันที เมื่อเริ่มบทสนทนากับเธอดังนี้ครับ

ผม                              : หวัดๆ ดิดีๆ..ครับ  ผะ..ผม ขออ..นุญาติเซ็ตเมลให้นะครับ (ไม่กล้าสบตามองเธอ ...หลังจากพูดเสร็จผมก็นั่งคุกเข่าข้างๆเธอและจ้องแต่หน้าคอมทำอย่างเดียว)
เธอ (นางฟ้าเรียกพี่ครับ)   : ได้ค่ะ  (เธอเห็นผมคุกเข่าและทำงานได้ไม่สะดวก ทันใดนั้นเธอจึงบอกกับผมว่า) =>> นั่งเก้าอี้ไหมค่ะ
ผม                              : (เธอมีน้ำใจดีงามมาก ผมเกรงใจเธอนะครับเลยรีบตอบกลับโดยพลัน ว่า) ==>> ไม่ปะ...เป็นไรครับ เดี๊ยวเดียวก็เสร็จ แล้วครับผม
....................................................ผ่านไปค่อนข้างนาน ประมาณ 20 นาทีได้.................................................................
=============================<<มันเหมือนกับร่างกายและสมงสมองไม่ตอบสนองใดๆเลย เมื่อได้ยินเสียงเธอคุยกับผม เรื่องจริงครับสำหรับผม มันยากมากที่จะควบคุมตัวเองให้มีสติ ทั้งๆที่งานตัวเองที่ทำจนเชี่ยวชาญแท้ๆ และทุกครั้งที่ทำการเซ็ตเมลไม่ถึง 5 นาทีก็เสร็จ แต่ในครั้งนี้มันเปลี่ยนไป เหงื่อเริ่มแตก และทำอะไรไม่ถูกเลยครับ>>===================================================

และ ทันใดนั้นเองเสียงอันไพเราะจากเธอก็พูดกับผมอีกครั้ง
เธอ (นางฟ้าเรียกพี่ครับ)   : มานั่งเก้าอี้เค้าดีกว่านะ เดี๊ยวปุ้ยเองจะไปดื่มน้ำหน่อยหนะ
ผม                              : คะ....ครับ <<อยากจะบอกว่ามันน่าอายมากกกเลยยย มายยยก้อดดด ทุกทีไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่เคยทำอะไรช้าแบบนี้ ทำอะไรไม่ถูกไปหมด Facepalm>>  
===================================หลังจากที่เธอก้าวออกจากเก้าอี้ ไปดื่มน้ำ ผมเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ระบบร่างกายกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมแต่ยังไม่คล่องตัวนัก ผมเลยรีบเร่งเซ็ตอีเมลให้เธอเสร็จและเขียนอีเมลทิ้งไว้ที่ sticker note แปะไว้ให้เธอ ก่อนที่เธอจะกลับมา และผมก็รีบกลับเข้าห้องเซิฟเวอร์ พาพันรีบ==============================================================================


หลังจากนั้นผ่านไปเกือบๆ สามเดือน ผมไม่ได้เจอหน้าเธออีกเลย เป็นเพราะว่าเธอทำงาน On site ลงพื้นที่เกือบทุกวัน และผมเองก็หมกตัวอยู่อยู่แต่ในห้องเย็นเซิฟเวอร์วันแล้ววันเล่า ก็ถึงเวลาสัมนาวิชาการขององค์กรได้ไปสัมนากันที่ เชียงรายไปพักทั้งองค์กร 4 วัน 3 คืน ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน และผมก็ได้พบหน้าเธออีกครั้ง ความรู้สึกกับอาการเดิมกำเริบบบ.....เลยครับบ ไม่กล้าสบหน้าเธอจังๆได้แต่แอบมอง เวลาที่ทำกิจกรรมร่วมกันก็เกร็งทำอะไรไม่ถูกอีก 555+ จนวันนั้นกิจกรรมจบลง ต่างฝ่ายต่างพักผ่อน ผมก็ออกมาเดินเล่น และก็ได้เจอกับเธอ (นางฟ้าเรียกพี่อีกครั้ง) ครั้งนี้ผมหลบไม่ทันแล้วหว่าาา เธอเดินมุ่งตรงมาที่ผม ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาอีกแล้ว นึกในใจตายแล้วหว่าเขยิบหรือหลบหลีกไปไหนมะได้เลยย  เพราะบริเวณนั้นเป็นริมสระว่ายน้ำรีสอร์ทและข้างๆก็มีลานหญ้ากว้างมากๆ ถ้าจะทำได้ก็คงต้องหมุดลงไปดำน้ำ แต่ผมดันดำน้ำไม่เป็นอีก  (-  -  )" ละแล้วเธอก็มาถึงตรงหน้าผม แล้วทักผมและเริ่มพูดคุยกับผมก่อน ซึ่งผมก็ยังคงเกร็งๆอยู่ ตอบตะกุกตะกัก เธอก็บอกไม่ต้องกลัว ไม่กัดหรอก เธอก็ยังคงชวนผมคุยตลอดไม่หยุด ซึ่งผมไม่รู้สึกเบื่อเลยที่ได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากเธอ (คนอัลไลอว่าาา น่าร็อคนางฟ้าเรียกพี่ยังไม่พอ ยังอัธยาศัยดีและพูดเก่งอีก นึกในใจไม่แปลกเลยที่เธอมีคนมาจีบมากมายก่ายกอง ที่ผมรู้ได้คือ ผมแอบส่องเฟสเธอนะครับ แหะๆ นานาชอบ ผมคิดในใจว่าผมคงไม่ดีพอกับเธอ ยังไม่พร้อมอีกหลายๆอย่าง) แต่แล้วจุดพลิกที่ทำให้ผมกล้าที่จะเป็นฝ่ายรุกจีบเธอ คือ ผมได้ไปดลใจกับคำพูดที่ว่า ว่าชีวิตคนเรานั้นน้อยนักที่จะได้เจอคนที่เราชอบและรู้สึกดีกับเธอ โอกาสและจังหวะมันไม่ได้มีอยู่เสมอถ้าเราไม่กล้าลุกขึ้นที่จะไคว่คว้า เพราะโอกาสไม่เคยบอกให้ใครหรอกว่าพร้อมแล้วหรือยัง เพราะนิสัยที่ไม่ดีของ " โอกาส " คือ ไม่เคยถามใครว่า " พร้อมไหม " และ " ไม่เคยรอใครนาน " หลังจากนั้นที่กลับมาจากสัมนาวิชาการ ผมก็รุดหน้าจีบเธอสารพัด โดยไม่สนคู่แข่งของเธอ ผมใช้ความจริงใจกับเธอในการเข้าหาเธอและจีบเธอ ผมเป็นคนตรงๆซื่อๆ มีคนบอกผมว่าเหมือนหุ่นยนต์(เธอเองครับ อิอิ อมยิ้ม02 เธอบอกผมว่าเจอกันครั้งแรก ตอนที่ผมเซ็ตเมลที่โต๊ะเธอ ผมเกร็งๆเหมือนหุ่นยนต์ พูดจาเป็นเหมือนดิจิตอล 555+) เธอเป็นคนแรกที่ทำให้ผมเริ่มคุยกับผู้หญิงที่น่ารักและสวยๆได้โดยไม่เกร็ง เธอเป็นคนแรกที่ทำให้ผมคุยด้วยแล้วรู้สึกสนุกและอยากอยู่ใกล้กับเธอ เธอเป็นคนแรกที่ทำให้ผมหลงรักเลยครับ และเมื่อผมได้พูดคุยกับเธอมากขึ้นๆ เปิดใจกับเธอ พูดและบอกเรื่องราวที่เกี่ยวกับผมว่าชอบ หรือ ไม่ชอบอะไร รวมถึงเธอด้วยและแล้วผมก็มาถึงจุดที่ผมตัดสินใจขอเธอเป็นแฟน ซึ่งเป็นจุดที่น่าอายมากกกในชีวิตผมที่ได้จีบสาวซึ่งเป็นครั้งแรกและขอเธอเป็นแฟนนั่นก็คือ ผมเขียนบัตรเชิญขอเป็นแฟนนะครับ เป็นลักษณะแบบฟอร์มที่เป็นทางการและบอกเล่าความรู้ดีๆทั้งหมดของผมที่มีต่อเธอ และที่น่าอายยยมาก คือ ช่องกรอก เช็คถูกตอบรับว่าจะเป็นแฟนนั้น ผมเขียนเป็นภาษาอังกฤษ น่าอายยังไงนะเหรอครับไปดูข้อความกันครับ ===>>> Could i be your girl friend?  __Yes   __No  (ผมขอเธอเป็นแฟนสาวเธอได้ไหม? __ได้  __ไม่ได้)

<<<< แม่เจ้าผมเพิ่งมารู้ตอนที่เธอถ่ายรูปการ์ดของผมโดยเน้นที่ข้อความนี้และส่งมาทางไลน์ให้ดู เธอคงแอบงงว่าผมเป็นกระเทยหรือเปล่าก็ไม่รู้อะนะครับ ฮ่าๆๆๆ  ผมถึงกับ Fail สุดในชีวิตการขอสาวเป็นแฟนคนแรกของผม ผมนึกในใจว่าผมไม่เสียใจเลยถ้าเธอตอบ NO  เพราะผมมันตื่นเต้นน จนเขียนเลอะเลือนไปหมด และผมก็ไม่เสียดายที่ได้คุยและใกล้ชิดกับเธอที่ผ่านมา >>>> เธอก็พิมพ์บอกว่าตื่นเต้นอีกเช่นเคยนะ และส่งติ๊กเกอร์ Line ยิ้มกลับมา
โอ้ววว ผมใจชื้นขึ้นมาเลยคร้าบบบบ พี่น้องคร้าบบบ ผมยังมีความหวัง เธอก็บอกว่าจะเฉลยวันลอยกระทงละกันนะ ซึ่งอีก สัปดาห์นึงกว่าจะถึง.................

ไว้ผมมาต่อนะครับบ ชีวิตหลังจากเป็นแฟน และเจอปัญหาต่างๆนาๆ ไปทานข้าวเที่ยงก่อนนะครับ พอดีวันนี้ที่ออฟฟิสวันนี้ว่างนะครับ ....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่