ตอนที่ยังไม่สูญเสียล็อคอินนามแฟง ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องหมุดประชาธิปไตยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่มาตอนนี้เมื่อผมเอาบทความที่เคยชิ้นนี้มาอ่านอีกที เห็นว่าสิ่งที่เคยเขียนลงไปในตอนนั้น ยังสื่อความหมายได้ไม่ตรงใจนัก จึงหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนเป็นบทความอีกครั้ง
เสาหมุดประชาธิปไตย ฝังปักลงอย่างตั้งใจบนจุดที่ พระยาพหลพลพยุหเสนา ตัวแทนคนสำคัญของคณะราษฎร อ่านคำประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 อาจเรียกสั้นๆ แบบคุ้นปากว่า หมุดประชาธิปไตย เป็น ศิลปกรรมชิ้นแรก ของยุคที่บุคคลต่างๆในคณะราษฎร ต่างผลัดกันขึ้นมีอำนาจตลอดช่วงเวลา 25 ปี (พ.ศ. 2475 – 2500)
เสาหมุดประชาธิปไตย หล่อด้วยทองเหลือง มีคำว่า “เวลาย่ำรุ่ง” อยู่ตรงกลางระหว่างกระจังสามเหลี่ยมด้านบนและล่าง ที่ลดทอนรายละเอียดจากแบบประเพณี จนเหลือให้เห็นเค้าลางภายใต้ขอบของสามเหลี่ยม มีคำว่า ”ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ” จะวนอยู่ตามขอบวงกลมโดยรอบ
เสาหมุดประชาธิปไตย คือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า “
อำนาจนั้นไม่ได้เป็นของใครหรือกลุ่มใด” หมุดนี้จึงเป็นเสมือนการฝังตรึงเจตนารมณ์ทางอุดมการณ์ประชาธิปไตย หรือ เจตนารมณ์ตามมาตรา 1 ของธรรมนูญการปกครองชั่วคราวที่บ่งบอกว่าชาติเรามีประชาธิปไตยครั้งแรก เขียนไว้ด้วยข้อความสั้นๆว่า
อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย ซึ่งนั้นบ่งบรรยายพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ต้องมีสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมบนผืนแผ่นดินไทยสยามแห่งนี้
หากหมุดประชาธิปไตยเป็นเมล็ดพันธุ์พืชอย่างหนึ่ง ระยะเวลา 80 กว่าปีที่ประเทศเรารับเอาและมีไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย ตามแบบอย่างชาตินานาอารยประเทศ ชาติตะวันตกที่เป็นต้นแบบของกลุ่มแกนนำแนวคิดของคณะราษฎร ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงและอภิวัฒน์สังคมบ้านเมืองของเรา เพื่อหวังจะเจริญรุดหน้าทางสังคม เศรษฐกิจ ตามแบบอย่างชาติต้นแบบที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยในเวลานั้น
คณะราษฎรซึ่งเป็นผู้หย่อนเมล็ดพันธุ์นี้บนแผ่นดินไทย จะรู้บ้างไหมว่าผลผลิตจากเจตจำนงของตัวเอง จะเจริญงอกงามมาผิดแปลกกว่าเจตจำนงในการก่อตั้งกลุ่มคณะราษฎร..? ผลดอกของต้นประชาธิปไตยที่งอกเงยมาด้วยเมล็ดพันธุ์นี้ ตกถึงมือประชาชนหรือไม่..? ซึ่งผมก็ขอเป็นผู้ตอบคำถามนี้แทนเองเลยว่า น่าจะรู้ตั้งแต่ในช่วงของการเริ่มเฝ้าดูเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยต้นนี้ เริ่มงอกเงยแต่แรกแล้วล่ะ เพราะผลดอกของมันไม่เคยตกถึงมือประชาชนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่อยเลย
ในปีที่ 15 แรกในช่วงที่กลุ่มบุคคลในคณะราษฎรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นครองอำนาจ เป็นเพียงเวลาสั้นๆที่เมล็ดพันธุ์จากหมุดประชาธิปไตยยังไม่เจริญเติบโตดีพอ ก็เกิดการชิงอำนาจโดยใช้วิธีนอกระบบขึ้น โดยคณะทหารแห่งชาติ (หัวหน้าคณะ: พลโท ผิน ชุณหะวัณ) ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจ และประกาศแต่งตั้ง พันตรี ควง อภัยวงศ์ (หลวงโกวิทอภัยวงศ์) ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ที่แตกแยกทางแนวความคิดกับ นายปรีดีพนมยงค์ ผู้นำแนวคิดและหัวหน้าคณะราษฎรชุดก่อตั้ง จนสุดท้าย
นายควง อภัยวงค์ แยกตัวออกไปตั้งพรรคการเมืองของตัวเองขึ้น ในนามพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นฝ่ายค้านในยุครัฐบาล นายปีรดี และรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์(หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์)อีกหนึ่งแกนนำคณะราษฎรสายทหารเรือ
จะด้วยเพราะรู้ว่าการต่อสู้ในระบบไม่สามารถเอาชัยคู่ต่อสู้ได้ หรือส้มหล่นใส่ที่ฝ่ายคณะทหารแห่งชาติ เลือกนายควง อภัยวงค์ผู้นี้เอง เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่2 แต่เป็นครั้งแรกที่มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากอำนาจการรัฐประหาร ถึงแม้นายควง อภัยวงค์ จะอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ไม่ถึงปี เพราะโดนกลุ่มคณะทหารเรียกอำนาจกลับคืน ด้วยการให้ลาออกภายใน 24 ชม. แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หรือผลสรุปสุดท้ายของนายควง เป็นเช่นไรล้วนไม่สำคัญ สำคัญว่าเหตุการณ์นั้น
ทำให้เมล็ดพันธุ์ในหมุดประชาธิปไตยที่ฝั่งไว้หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม กลายพันธ์ไปโดยปริยาย อำนาจที่แท้จริงมิได้เป็นของปวงชนชาวไทยอีกต่อไปแล้ว
จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในสมาชิก 7คนผู้ร่วมก่อตั้งคณะราษฎร ผู้ซึ่งผมเคยให้ทัศนะว่า เป็นผู้ที่ไม่ได้มีความเลื่อมใสศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย แต่เข้าร่วมคณะราษฎรเพื่อแสวงหาโอกาสและอำนาจ และรอคอยโอกาสจะแย่งชิงอำนาจจากนายปรีดีอีกคนหนึ่ง เป็นผู้ผลักนายควง อภัยวงค์ตกจากเก้าอี้ ขึ้นแทนที่กลับคืนสู่ตำแหน่งนายกรับมนตรีอีกครั้ง (ครั้งแรก 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 - 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487) ด้วยการควบคุมอำนาจทางทหาร ครองอำนาจยาวนานตลอดช่วงยุค
เผด็จการ เป็นระยะเวลา 9 ปี 4 เดือน 21 วัน (8 เมษายน พ.ศ. 2491 - 16 กันยายน พ.ศ. 2500)
และนั้นเหมือนเป็นจุดเริ่มให้ดอกผลของต้นประชาธิปไตย ถูกหนอนแมลงเจาะกินตักตวงผลประโยชน์ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อจอมพล ป.ในรอบสองนี้ ก็โดนเขี่ยไปจากเส้นทางการเมือง โดยวิธีเดียวกับที่ตัวเองเคยใช้ คือ รัฐประหาร จากลูกน้องของตัวเอง เมื่อถูก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เขี่ยลงจากเวที แล้วก็ผลัดกันครองอำนาจในยุค สฤษดิ์ ถนอม ประภาส (16 กันยายน พ.ศ. 2500 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516) ซึ่งจบลงด้วยเหตุการณ์นองเลือดสูญเสียชีวิตมากมายในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
และเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เรื่อยมาในประวัติศาสตร์การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของชาติเรา จนทำให้ผมสงสัยว่า เมล็ดพันธุ์ที่หย่อนลงไปครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
ได้หย่อนเจตนารมณ์ตามมาตรา 1 ของธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ที่เขียนไว้ด้วยข้อความสั้นๆว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย ลงไปด้วยหรือเปล่า
และได้เอาใจใส่รดน้ำพรรวนดินด้วยพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 7 ที่ประทานให้ไว้ในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ว่า“
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” ด้วยหรือไม่
ต้นประชาธิปไตยในบ้านเมืองเราจึงเติบโตมาอย่างกลายพันธุ์เช่นนี้ และผลดอกก็แทบมิเคยได้ตกถึงมือประชาชนผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้น ที่ได้ประโยชน์จากต้นไม้แห่งนี้
ป.ล.บทความต่อไปของผมจะหลบไปเขียนเรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงบ้าง เพื่อความปลอดภัยของล็อคอิน ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ท่านที่ชอบอ่านบทความของผมรอติดตามกันได้ครับ (จริงๆคือ หมดมุขครับ ไม่รู้จะเขียนเกี่ยวกับการเมืองเรื่องอะไร จึงขอหลบไปพักสมองด้วยการเขียนเรื่องอื่นๆแทนก่อน)
และวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ที่ผมอยากเชิญชวนปราชญ์ ผู้รู้ในห้องราชดำเนินแห่งนี้ มาร่วมกันทำให้ห้องราชดำเนินแห่งกลับสู่สภาพประเทืองความรู้ดั่งเช่นวันวานเถอะครับ อคติคอบงำห้องนี้ จนบดบังปัญญาไปหมดแล้ว และความกลัวก็ยังมาซ้ำเติมให้สิ่งดีๆที่มีเหลือน้อยในเวลานี้ หดหายไปอีก
และผมจะขอชักชวนท่านทั้งหลาย ด้วยบทโคลงที่ผมแต่งขึ้นเอง บทนี้นะครับ
ขีดแลเขียน บ่งแจ้ง...............อักษรา
มุ่งมั่นค้น เสาะหา..................แหล่งอ้าง
เพียรพากอ่าน ตำรา..............หวังล่วง รู้แฮ
เรียงร้อยถ้อย แต่งสร้าง..........สื่อชี้จำนง
ตัวทนง ใช่แล้ว....................บัณฑิต
หากมิแจ้ง ถูกผิด..................ย่อมแพ้
จึงเฝ้าค้น ครวญคิด...............เขียนร่าง คำเฮย
ให้สม ภาคภูมิแท้..................ก่อด้วยปัญญา
หนึ่งชายชาติ สืบเชื้อ..............ชาตรี
ความภูมิภาค ย่อมมี...............แน่แท้
ขีดปากกา เขียนที่..................ตนล่วง รู้เอย
มิเผิกเฉย ยอมพ้....................แค่นั้นความกลัว
นายพระรอง 14/09/58
ขอบคุณครับ
*แก้ไขคำผิด
(บทความ)หมุดประชาธิปไตย เมล็ดพันธุ์ที่งอกเงยแล้วกลายพันธุ์
ตอนที่ยังไม่สูญเสียล็อคอินนามแฟง ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องหมุดประชาธิปไตยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่มาตอนนี้เมื่อผมเอาบทความที่เคยชิ้นนี้มาอ่านอีกที เห็นว่าสิ่งที่เคยเขียนลงไปในตอนนั้น ยังสื่อความหมายได้ไม่ตรงใจนัก จึงหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนเป็นบทความอีกครั้ง
เสาหมุดประชาธิปไตย ฝังปักลงอย่างตั้งใจบนจุดที่ พระยาพหลพลพยุหเสนา ตัวแทนคนสำคัญของคณะราษฎร อ่านคำประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 อาจเรียกสั้นๆ แบบคุ้นปากว่า หมุดประชาธิปไตย เป็น ศิลปกรรมชิ้นแรก ของยุคที่บุคคลต่างๆในคณะราษฎร ต่างผลัดกันขึ้นมีอำนาจตลอดช่วงเวลา 25 ปี (พ.ศ. 2475 – 2500)
เสาหมุดประชาธิปไตย หล่อด้วยทองเหลือง มีคำว่า “เวลาย่ำรุ่ง” อยู่ตรงกลางระหว่างกระจังสามเหลี่ยมด้านบนและล่าง ที่ลดทอนรายละเอียดจากแบบประเพณี จนเหลือให้เห็นเค้าลางภายใต้ขอบของสามเหลี่ยม มีคำว่า ”ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ” จะวนอยู่ตามขอบวงกลมโดยรอบ
เสาหมุดประชาธิปไตย คือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า “อำนาจนั้นไม่ได้เป็นของใครหรือกลุ่มใด” หมุดนี้จึงเป็นเสมือนการฝังตรึงเจตนารมณ์ทางอุดมการณ์ประชาธิปไตย หรือ เจตนารมณ์ตามมาตรา 1 ของธรรมนูญการปกครองชั่วคราวที่บ่งบอกว่าชาติเรามีประชาธิปไตยครั้งแรก เขียนไว้ด้วยข้อความสั้นๆว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย ซึ่งนั้นบ่งบรรยายพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ต้องมีสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมบนผืนแผ่นดินไทยสยามแห่งนี้
หากหมุดประชาธิปไตยเป็นเมล็ดพันธุ์พืชอย่างหนึ่ง ระยะเวลา 80 กว่าปีที่ประเทศเรารับเอาและมีไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย ตามแบบอย่างชาตินานาอารยประเทศ ชาติตะวันตกที่เป็นต้นแบบของกลุ่มแกนนำแนวคิดของคณะราษฎร ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงและอภิวัฒน์สังคมบ้านเมืองของเรา เพื่อหวังจะเจริญรุดหน้าทางสังคม เศรษฐกิจ ตามแบบอย่างชาติต้นแบบที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยในเวลานั้น
คณะราษฎรซึ่งเป็นผู้หย่อนเมล็ดพันธุ์นี้บนแผ่นดินไทย จะรู้บ้างไหมว่าผลผลิตจากเจตจำนงของตัวเอง จะเจริญงอกงามมาผิดแปลกกว่าเจตจำนงในการก่อตั้งกลุ่มคณะราษฎร..? ผลดอกของต้นประชาธิปไตยที่งอกเงยมาด้วยเมล็ดพันธุ์นี้ ตกถึงมือประชาชนหรือไม่..? ซึ่งผมก็ขอเป็นผู้ตอบคำถามนี้แทนเองเลยว่า น่าจะรู้ตั้งแต่ในช่วงของการเริ่มเฝ้าดูเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยต้นนี้ เริ่มงอกเงยแต่แรกแล้วล่ะ เพราะผลดอกของมันไม่เคยตกถึงมือประชาชนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่อยเลย
ในปีที่ 15 แรกในช่วงที่กลุ่มบุคคลในคณะราษฎรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นครองอำนาจ เป็นเพียงเวลาสั้นๆที่เมล็ดพันธุ์จากหมุดประชาธิปไตยยังไม่เจริญเติบโตดีพอ ก็เกิดการชิงอำนาจโดยใช้วิธีนอกระบบขึ้น โดยคณะทหารแห่งชาติ (หัวหน้าคณะ: พลโท ผิน ชุณหะวัณ) ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจ และประกาศแต่งตั้ง พันตรี ควง อภัยวงศ์ (หลวงโกวิทอภัยวงศ์) ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ที่แตกแยกทางแนวความคิดกับ นายปรีดีพนมยงค์ ผู้นำแนวคิดและหัวหน้าคณะราษฎรชุดก่อตั้ง จนสุดท้าย นายควง อภัยวงค์ แยกตัวออกไปตั้งพรรคการเมืองของตัวเองขึ้น ในนามพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นฝ่ายค้านในยุครัฐบาล นายปีรดี และรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์(หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์)อีกหนึ่งแกนนำคณะราษฎรสายทหารเรือ
จะด้วยเพราะรู้ว่าการต่อสู้ในระบบไม่สามารถเอาชัยคู่ต่อสู้ได้ หรือส้มหล่นใส่ที่ฝ่ายคณะทหารแห่งชาติ เลือกนายควง อภัยวงค์ผู้นี้เอง เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่2 แต่เป็นครั้งแรกที่มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากอำนาจการรัฐประหาร ถึงแม้นายควง อภัยวงค์ จะอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ไม่ถึงปี เพราะโดนกลุ่มคณะทหารเรียกอำนาจกลับคืน ด้วยการให้ลาออกภายใน 24 ชม. แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หรือผลสรุปสุดท้ายของนายควง เป็นเช่นไรล้วนไม่สำคัญ สำคัญว่าเหตุการณ์นั้น ทำให้เมล็ดพันธุ์ในหมุดประชาธิปไตยที่ฝั่งไว้หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม กลายพันธ์ไปโดยปริยาย อำนาจที่แท้จริงมิได้เป็นของปวงชนชาวไทยอีกต่อไปแล้ว
จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในสมาชิก 7คนผู้ร่วมก่อตั้งคณะราษฎร ผู้ซึ่งผมเคยให้ทัศนะว่า เป็นผู้ที่ไม่ได้มีความเลื่อมใสศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย แต่เข้าร่วมคณะราษฎรเพื่อแสวงหาโอกาสและอำนาจ และรอคอยโอกาสจะแย่งชิงอำนาจจากนายปรีดีอีกคนหนึ่ง เป็นผู้ผลักนายควง อภัยวงค์ตกจากเก้าอี้ ขึ้นแทนที่กลับคืนสู่ตำแหน่งนายกรับมนตรีอีกครั้ง (ครั้งแรก 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 - 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487) ด้วยการควบคุมอำนาจทางทหาร ครองอำนาจยาวนานตลอดช่วงยุค เผด็จการ เป็นระยะเวลา 9 ปี 4 เดือน 21 วัน (8 เมษายน พ.ศ. 2491 - 16 กันยายน พ.ศ. 2500)
และนั้นเหมือนเป็นจุดเริ่มให้ดอกผลของต้นประชาธิปไตย ถูกหนอนแมลงเจาะกินตักตวงผลประโยชน์ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อจอมพล ป.ในรอบสองนี้ ก็โดนเขี่ยไปจากเส้นทางการเมือง โดยวิธีเดียวกับที่ตัวเองเคยใช้ คือ รัฐประหาร จากลูกน้องของตัวเอง เมื่อถูก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เขี่ยลงจากเวที แล้วก็ผลัดกันครองอำนาจในยุค สฤษดิ์ ถนอม ประภาส (16 กันยายน พ.ศ. 2500 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516) ซึ่งจบลงด้วยเหตุการณ์นองเลือดสูญเสียชีวิตมากมายในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
และเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เรื่อยมาในประวัติศาสตร์การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของชาติเรา จนทำให้ผมสงสัยว่า เมล็ดพันธุ์ที่หย่อนลงไปครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้หย่อนเจตนารมณ์ตามมาตรา 1 ของธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ที่เขียนไว้ด้วยข้อความสั้นๆว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย ลงไปด้วยหรือเปล่า
และได้เอาใจใส่รดน้ำพรรวนดินด้วยพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 7 ที่ประทานให้ไว้ในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ว่า“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” ด้วยหรือไม่
ต้นประชาธิปไตยในบ้านเมืองเราจึงเติบโตมาอย่างกลายพันธุ์เช่นนี้ และผลดอกก็แทบมิเคยได้ตกถึงมือประชาชนผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้น ที่ได้ประโยชน์จากต้นไม้แห่งนี้
ป.ล.บทความต่อไปของผมจะหลบไปเขียนเรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงบ้าง เพื่อความปลอดภัยของล็อคอิน ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ท่านที่ชอบอ่านบทความของผมรอติดตามกันได้ครับ (จริงๆคือ หมดมุขครับ ไม่รู้จะเขียนเกี่ยวกับการเมืองเรื่องอะไร จึงขอหลบไปพักสมองด้วยการเขียนเรื่องอื่นๆแทนก่อน)
และวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ที่ผมอยากเชิญชวนปราชญ์ ผู้รู้ในห้องราชดำเนินแห่งนี้ มาร่วมกันทำให้ห้องราชดำเนินแห่งกลับสู่สภาพประเทืองความรู้ดั่งเช่นวันวานเถอะครับ อคติคอบงำห้องนี้ จนบดบังปัญญาไปหมดแล้ว และความกลัวก็ยังมาซ้ำเติมให้สิ่งดีๆที่มีเหลือน้อยในเวลานี้ หดหายไปอีก
และผมจะขอชักชวนท่านทั้งหลาย ด้วยบทโคลงที่ผมแต่งขึ้นเอง บทนี้นะครับ
ขีดแลเขียน บ่งแจ้ง...............อักษรา
มุ่งมั่นค้น เสาะหา..................แหล่งอ้าง
เพียรพากอ่าน ตำรา..............หวังล่วง รู้แฮ
เรียงร้อยถ้อย แต่งสร้าง..........สื่อชี้จำนง
ตัวทนง ใช่แล้ว....................บัณฑิต
หากมิแจ้ง ถูกผิด..................ย่อมแพ้
จึงเฝ้าค้น ครวญคิด...............เขียนร่าง คำเฮย
ให้สม ภาคภูมิแท้..................ก่อด้วยปัญญา
หนึ่งชายชาติ สืบเชื้อ..............ชาตรี
ความภูมิภาค ย่อมมี...............แน่แท้
ขีดปากกา เขียนที่..................ตนล่วง รู้เอย
มิเผิกเฉย ยอมพ้....................แค่นั้นความกลัว
นายพระรอง 14/09/58
ขอบคุณครับ
*แก้ไขคำผิด