เรื่องสั้น
เมื่อผมเป็นครู (๒)
"เพทาย"
ผมมีอายุครบเกณฑ์ทหารตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ แต่ได้ร้องขอผ่อนผันเพื่อหาเลี้ยงมารดา ซึ่งป่วยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และมีลูกชายคนเดียว ได้รับการผ่อนผัน ๑ ปี เข้ารับการคัดเลือก พ.ศ.๒๔๙๖ ก็ได้ลาพักรอเข้ากองประจำการอีก ๑ ปี ได้เป็นทหารจริง พ.ศ.๒๔๙๗
เมื่อพบกับผู้บังคับหมู่ ซึ่งรู้ว่าผมเป็นนักเรียนวัดรุ่นพี่เขาแล้วทั้ง ๆ ที่เขาอายุแก่กว่าผม เขาไม่เคยสั่งลงโทษเดี่ยวกับผมเลย เว้นแต่ความผิดทั้งแถว ทั้งหมู่ หรือทั้งหมวด ผมจึงมีความสุขทางใจ ในการเป็นทหารมากขึ้น หนักแต่กายอย่างเดียว เพราะดันเป็นทหารราบ ต้องฝึกอยู่ในสนามทั้งปี
พอการฝึกเบื้องต้นแปดสัปดาห์จบลงแล้ว ก็ถึงคราวต้องฝึกเรื่องยิงปืน สมัยนั้นต้องไปที่สนามยิงปืนเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี ไปกางเต๊นท์อยู่บนเขาแถววัดเนินดินแดง กองบังคับการตั้งอยู่บนศาลาใหญ่ พวกลูกแถวต้องนอนในเต๊นท์บุคคล คู่กันหลังละสองคน เป็นการฝึกภาคสนามไปในตัว
ผมก็จับคู่กับเพื่อนชาวพระโขนงคนหนึ่ง นิสัยดีมาก พื้นที่แห่งนั้นเคยมีทหารหน่วยอื่น มาพักยิงปืนอยู่ก่อนแล้วหลายหน่วย พื้นดินจึงเต็มไปด้วย ร่องรอยของการขุดเป็นหลุมเป็นร่อง เราก็กางเต๊นท์ทับลงไปบนพื้นดินที่ขรุขระนั้น เอาผ้าใบปูรองนอนเอาเป้หนุนหัว ทนเจ็บหลังไหล่อยู่ครึ่งคืน
พอถึงกลางดึกฝนดันตกลงมาอย่างหนัก ทีแรกก็คิดว่าเย็นสบายดี สักพักก็รู้สึกว่ามีลูกคลื่นวิ่งผ่านใต้ผ้าปูที่นอน พอลุกขึ้นนั่ง น้ำก็บ่าเข้ามาในเต๊นท์เก็บข้าวของไม่ทัน เครื่องกระป๋องที่กักตุนเอาไว้ กลิ้งหลุน ๆ ตามน้ำไปหมด เหลือแต่เป้กับผ้ารองนอน ต้องวิ่งไปรวมกันอยู่ตามโคนต้นไม้ใหญ่ เอาผ้าปูนอนคลุมหัว ตกลงทหารทั้งหมดต่างก็วิ่งหนีฝนที่กระหน่ำลงมา จนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง พอฝนหายเป่านกหวีดเรียกรวมได้ครบแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหนดี เพราะพื้นดินเฉอะแฉะไปหมด ต้องนั่งสัปหงกจนถึงเช้า เลยยิงปืนไม่เข้าเป้าไปตาม ๆ กัน
กลับจากการฝึกยิงปืนครั้งนั้นแล้ว ผมกับเพื่อนชาวพระโขนงก็คบหาสนิทสนมกันมากขึ้น เวลากินข้าวซึ่งในสมัยนั้นหมวดสูทกรรมหุงข้าวให้อย่างเดียว กับข้าวต้องซื้อจากแม่ค้าที่ทำมาขาย ชาวพระโขนงที่เป็นอิสลาม มักจะไม่ค่อยซื้อกับข้าว แต่จะกินกับน้ำพริกซึ่งอัดใส่ขวดมาจากบ้านเป็นประจำ แต่เพื่อนของผมคนนี้ไม่ได้เป็นอิสลาม จึงซื้อกับข้าวคนละอย่างมากินรวมกันได้สบาย
หลังจากที่พ้นเกณฑ์ไปตั้งสามสิบกว่าปี ได้พบกันครั้งเดียวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เขายังเลี้ยงเบียร์ผมขวดหนึ่ง เพราะผมไม่มีเงินเลย และกด เอ.ที.เอ็ม.ไม่ได้เพราะเป็นวันเงินเดือนออก เงินหมดแทบทุกตู้ ผมยังจำได้ไม่เคยลืม
เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นชาวอำเภอสัมพันธวงศ์ มีเชื้อสายจีน เขาอ่านหนังสือไทยไม่ออกเลย ได้ความว่าเมื่อเด็ก ๆ เรียนโรงเรียนจีน แล้วก็ไม่สนใจภาษาไทย พอโตขึ้นก็ลืมหมด ผมต้องเป็นครูสอนให้เขาหัดอ่านหนังสือไทยในเวลาว่าง จนพอจะอ่านหนังสือพิมพ์ได้บ้าง ก็พอดีผมแยกไปเข้านักเรียนนายสิบ แล้วไม่เจอกันอีกเลย
ส่วนอีกคนหนึ่งนามสกุลใหญ่มาก และเป็นคนมีเงินมาก ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซึ่งตรงกันข้ามกับผม ซึ่งกินแต่เบี้ยเลี้ยงเงินเดือนที่ได้รับจ่าย อย่างกระเบียดกระเสียนเต็มที จนเมื่อเขาและผมได้รับการคัดเลือก ให้เป็นครูฝึกทหารใหม่รุ่นถัดไป จึงได้สนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อเวลาพักการฝึกประจำชั่วโมง ผมไม่มีเงินก็นั่งคุยอยู่กับทหารใหม่ในแถว กินแต่น้ำแช่น้ำแข็งที่เขาใส่ถังมาเลี้ยงทหาร
เพื่อนคนนี้ก็เข้าไปนั่งในเพิงขายกาแฟ ใกล้กับสนามฝึกในวังสวนสุนันทา เขาก็มักชวนผมไปกินกาแฟกับเขาเสมอ จนผมกระดาก แต่ก็ยอมให้เขาออกค่าโอเลี้ยงหลายครั้ง
ต่อมาเขาก็สมัครเข้าเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าเดียวกับผมรุ่นถัดไป ผมจึงกลับเป็นครูฝึกเขาอีก ช่วงหลังของการรับราชการนั้น เขาอยู่ทางกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้พบกันไม่กี่ครั้งก็เห็นกินเหล้ายังกับน้ำประปา แต่ถึงขณะนั้นเขาก็เป็นพันโท
แต่เมื่อเกษียณอายุราชการใรยศ พันเอก แล้ว ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย เพราะเขาเป็นรุ้นน้องไปเสียแล้ว
แต่ผมจำความเอิ้อเฟื้อที่เขามีต่อผมในยามยาก อยู่จนถึงบัดนี้.
###########
เมื่อผมเป็นครู (๒) ๑๒ ก.ย.๕๗
เมื่อผมเป็นครู (๒)
"เพทาย"
ผมมีอายุครบเกณฑ์ทหารตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ แต่ได้ร้องขอผ่อนผันเพื่อหาเลี้ยงมารดา ซึ่งป่วยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และมีลูกชายคนเดียว ได้รับการผ่อนผัน ๑ ปี เข้ารับการคัดเลือก พ.ศ.๒๔๙๖ ก็ได้ลาพักรอเข้ากองประจำการอีก ๑ ปี ได้เป็นทหารจริง พ.ศ.๒๔๙๗
เมื่อพบกับผู้บังคับหมู่ ซึ่งรู้ว่าผมเป็นนักเรียนวัดรุ่นพี่เขาแล้วทั้ง ๆ ที่เขาอายุแก่กว่าผม เขาไม่เคยสั่งลงโทษเดี่ยวกับผมเลย เว้นแต่ความผิดทั้งแถว ทั้งหมู่ หรือทั้งหมวด ผมจึงมีความสุขทางใจ ในการเป็นทหารมากขึ้น หนักแต่กายอย่างเดียว เพราะดันเป็นทหารราบ ต้องฝึกอยู่ในสนามทั้งปี
พอการฝึกเบื้องต้นแปดสัปดาห์จบลงแล้ว ก็ถึงคราวต้องฝึกเรื่องยิงปืน สมัยนั้นต้องไปที่สนามยิงปืนเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี ไปกางเต๊นท์อยู่บนเขาแถววัดเนินดินแดง กองบังคับการตั้งอยู่บนศาลาใหญ่ พวกลูกแถวต้องนอนในเต๊นท์บุคคล คู่กันหลังละสองคน เป็นการฝึกภาคสนามไปในตัว
ผมก็จับคู่กับเพื่อนชาวพระโขนงคนหนึ่ง นิสัยดีมาก พื้นที่แห่งนั้นเคยมีทหารหน่วยอื่น มาพักยิงปืนอยู่ก่อนแล้วหลายหน่วย พื้นดินจึงเต็มไปด้วย ร่องรอยของการขุดเป็นหลุมเป็นร่อง เราก็กางเต๊นท์ทับลงไปบนพื้นดินที่ขรุขระนั้น เอาผ้าใบปูรองนอนเอาเป้หนุนหัว ทนเจ็บหลังไหล่อยู่ครึ่งคืน
พอถึงกลางดึกฝนดันตกลงมาอย่างหนัก ทีแรกก็คิดว่าเย็นสบายดี สักพักก็รู้สึกว่ามีลูกคลื่นวิ่งผ่านใต้ผ้าปูที่นอน พอลุกขึ้นนั่ง น้ำก็บ่าเข้ามาในเต๊นท์เก็บข้าวของไม่ทัน เครื่องกระป๋องที่กักตุนเอาไว้ กลิ้งหลุน ๆ ตามน้ำไปหมด เหลือแต่เป้กับผ้ารองนอน ต้องวิ่งไปรวมกันอยู่ตามโคนต้นไม้ใหญ่ เอาผ้าปูนอนคลุมหัว ตกลงทหารทั้งหมดต่างก็วิ่งหนีฝนที่กระหน่ำลงมา จนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง พอฝนหายเป่านกหวีดเรียกรวมได้ครบแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหนดี เพราะพื้นดินเฉอะแฉะไปหมด ต้องนั่งสัปหงกจนถึงเช้า เลยยิงปืนไม่เข้าเป้าไปตาม ๆ กัน
กลับจากการฝึกยิงปืนครั้งนั้นแล้ว ผมกับเพื่อนชาวพระโขนงก็คบหาสนิทสนมกันมากขึ้น เวลากินข้าวซึ่งในสมัยนั้นหมวดสูทกรรมหุงข้าวให้อย่างเดียว กับข้าวต้องซื้อจากแม่ค้าที่ทำมาขาย ชาวพระโขนงที่เป็นอิสลาม มักจะไม่ค่อยซื้อกับข้าว แต่จะกินกับน้ำพริกซึ่งอัดใส่ขวดมาจากบ้านเป็นประจำ แต่เพื่อนของผมคนนี้ไม่ได้เป็นอิสลาม จึงซื้อกับข้าวคนละอย่างมากินรวมกันได้สบาย
หลังจากที่พ้นเกณฑ์ไปตั้งสามสิบกว่าปี ได้พบกันครั้งเดียวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เขายังเลี้ยงเบียร์ผมขวดหนึ่ง เพราะผมไม่มีเงินเลย และกด เอ.ที.เอ็ม.ไม่ได้เพราะเป็นวันเงินเดือนออก เงินหมดแทบทุกตู้ ผมยังจำได้ไม่เคยลืม
เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นชาวอำเภอสัมพันธวงศ์ มีเชื้อสายจีน เขาอ่านหนังสือไทยไม่ออกเลย ได้ความว่าเมื่อเด็ก ๆ เรียนโรงเรียนจีน แล้วก็ไม่สนใจภาษาไทย พอโตขึ้นก็ลืมหมด ผมต้องเป็นครูสอนให้เขาหัดอ่านหนังสือไทยในเวลาว่าง จนพอจะอ่านหนังสือพิมพ์ได้บ้าง ก็พอดีผมแยกไปเข้านักเรียนนายสิบ แล้วไม่เจอกันอีกเลย
ส่วนอีกคนหนึ่งนามสกุลใหญ่มาก และเป็นคนมีเงินมาก ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซึ่งตรงกันข้ามกับผม ซึ่งกินแต่เบี้ยเลี้ยงเงินเดือนที่ได้รับจ่าย อย่างกระเบียดกระเสียนเต็มที จนเมื่อเขาและผมได้รับการคัดเลือก ให้เป็นครูฝึกทหารใหม่รุ่นถัดไป จึงได้สนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อเวลาพักการฝึกประจำชั่วโมง ผมไม่มีเงินก็นั่งคุยอยู่กับทหารใหม่ในแถว กินแต่น้ำแช่น้ำแข็งที่เขาใส่ถังมาเลี้ยงทหาร
เพื่อนคนนี้ก็เข้าไปนั่งในเพิงขายกาแฟ ใกล้กับสนามฝึกในวังสวนสุนันทา เขาก็มักชวนผมไปกินกาแฟกับเขาเสมอ จนผมกระดาก แต่ก็ยอมให้เขาออกค่าโอเลี้ยงหลายครั้ง
ต่อมาเขาก็สมัครเข้าเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าเดียวกับผมรุ่นถัดไป ผมจึงกลับเป็นครูฝึกเขาอีก ช่วงหลังของการรับราชการนั้น เขาอยู่ทางกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้พบกันไม่กี่ครั้งก็เห็นกินเหล้ายังกับน้ำประปา แต่ถึงขณะนั้นเขาก็เป็นพันโท
แต่เมื่อเกษียณอายุราชการใรยศ พันเอก แล้ว ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย เพราะเขาเป็นรุ้นน้องไปเสียแล้ว
แต่ผมจำความเอิ้อเฟื้อที่เขามีต่อผมในยามยาก อยู่จนถึงบัดนี้.
###########