แนวทางการลงทุนของเม่าน้อยท่านนึง

กระทู้สนทนา
เล่นมา 3 ปีแล้ว กำไรจึ่งนึงตามรูป อย่างไรก็ตามคิดว่า แนวทางการเล่นน่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้างสำหรับคนไม่รักความเสี่ยง



ต่อไปนี้เป็นวิธีลงทุนส่วนบุคคล ไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพสุด และไม่อาจใช้ได้ทุกสถานการณ์ ส่วนตัวเชื่อเสมอว่าแนวทางที่ดีที่สุดแต่ละคนต้องนำไปคำนึงกับสถานะส่วนบุคคล จำนวนเงิน สภาพตลาด ฯลฯ

กฎข้อที่ 1 ไม่ซื้อของแพงไม่ว่ากรณีใด
ของแพง ทั้งความเสี่ยงสูง และค่าธรรมเนียม transaction สูง แล้วเหตุใด เราต้องเล่นเวลาตลาดหุ้นขึ้นสูง?

ตลาดขึ้น ไม่ซื้อเลย ข้อนี้ดูง่าย แต่ต้องอาศัยประสบการณ์เพราะคำถามสำคัญอยู่ที่ว่า "อย่างไหนเรียกว่าตลาดขึ้นสูงไป" อย่างไหนเรียก "ตลาดลงหนักไปจนราคา undervalue" แต่ละช่วงเวลาย่อมวิเคราะห์แตกต่างกันไป แต่ง่ายๆเลย ข้อนี้ให้ดูพื้นฐานเศรษฐกิจ และวิกฤตทางการเมือง ส่วนซื้อในตลาดลงต่ำนั้นเยี่ยมอยู่แล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย ที่ขี้ตกใจมาก มีวิกฤตทีนี้ราคา undervalue กันหลายตัว เพราะตลาดบางเราตลาดเล็ก ต่างชาติโยกเงินที หุ้นลงเป็น 100 จุด

อย่าปรับพอร์ตในวาระตลาดขึ้นสูง ถ้าหุ้นคุณบางตัว under-performed ให้ปล่อยไป เน้นถือเป็นหลัก เหตุผลเพราะว่าในตลาดขึ้นสูงนั้น หุ้นส่วนใหญ่มักจะราคาแพงไปแล้ว ยิ่งหุ้นดียิ่งราคาแพงไป โอกาสที่คุณจะทำกำไรก็ต่ำลง อีกทั้งมึความเสี่ยงที่ราคาจะลงสูงด้วย ประกอบกับกลยุทธ์การปรับพอร์ตแบบนี้จะทำให้คุณเสียค่าธรรมเนียม transaction สูง จากการที่ต้องทำการซื้อขายอยู่เป็นประจำ ฉะนั้นไม่ควรปรับพอร์ตขายตัวที่ under-perform หรือถ้าส่วนตัวคุณมีแนว cut-loss คุณก็ cut ไป แต่ไม่ต้องซื้อ หาโอกาสซื้อตอนตลาด shock ดีกว่า นอกจากคุณจะได้ราคาถูกแล้ว ค่าธรรมเนียมยังถูกตามไปด้วย
แต่คนส่วนใหญ่ชอบเข้ามาเล่นหุ้นในตลาดกระทิง เพราะมันล่อใจ กำเงินไว้แน่นๆเถอะ เอาไปฝากประจำ ลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำสภาพคล่องสูงไปก่อน พอตลาดลงแล้วค่อยเอาเงินมาลงจริงจัง

อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าให้มือใหม่เล่นไปก่อน จำนวนเงินพอดีๆ อย่าน้อยไป ให้ได้ประสบการณ์เหงื่อตก เจอความเสี่ยงบ้าง จะได้ชิน มีประสบการณ์


กฎข้อที่ 2 ข้อมูลมีมากหมาย แต่ใช้แทบไม่ได้
คนหลายคนมักมีความเชื่อว่าในตลาดหุ้นนั้น สามารถนำข้อมูลบางอย่างมา predict ตลาดได้ เช่น อัตราการส่งออก สภาพเศรษฐกิจ ฯลฯ แต่ความเป็นจริงการอาศัยการคาดเดาเหล่านั้นมาใช้เพื่อวางแผนเล่นหุ้นเป็นหลักนั้น "ล้มเหลว" เพราะเหตุต่อไปนี้

เหตุกับผลไม่ได้เป็นผลต่อกันและกันจริง ข้อมูลเดียวที่ "จริง" และมีผลต่อราคาหุ้นคือ "ความต้องการซื้อหุ้นหนึ่งๆมีมากกว่าความต้องการขาย :]" หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า หากเกิด A ขึ้น B ต้องตามมาเสมอไป ซึ่งไม่จริง เหตุการณ์โลกทั้งใบ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี สงคราม การสู้รบ การเมือง พฤติกรรมผู้บริโภค ฯลฯเราอาจทราบ แต่เราไม่สามารถนำมาเชื่อมโยง เหตุ-ผล ได่อย่างแน่นอนดุจข้อสอบคณิตศาสตร์  เพราะข้อมูลเหล่านี้ในฐานะ "เหตุ" นั้นเชื่อมโยงกันหมด และไม่ได้ส่งผลต่อราคาหุ้นโดยตรง กลับกันมันส่งผลต่อ จิตวิทยาการซื้อขายมากกว่าต่างหาก

ข้อมูลนั้นได้มาช้าเร็วไม่เท่ากัน ข้อนี้ทำให้การนั่งซื้อขายโดยอิงกับข้อมูลเป็นหลักเป็นเรื่องที่ "ทำไม่ได้" เพราะกว่าเม่าๆอย่างเราจะรู้ข้อมูล ข้อมูลนั้นก็โดนรู้ไปโดยคนอื่นที่เร็วกว่าไปทั่วแล้ว ทำให้มีผลต่อราคาหุ้นไปแล้ว

นอกจากนี้ควรระวังว่า ข้อมูลที่นำมาใช้ แม้อาจสามารถคาดการณ์ได้ แต่ตัวคุณเองไม่มั่นใจจนไม่อาจนำมาใช้เพื่อตัดสินใจได้ อย่ามาทำเป็นพูดว่า "เป็นแบบที่เราคาดการณ์ไว้เลย โถ่ น่าจะซื้อ/ขายไปก่อนหน้านี้" อันนี้มนุษย์เกือบทุกคนเป็น คือ คุณอาจจะรู้ก็ได้ว่า ผลจะเป็นยังไง แต่การตัดสินใจไปตามที่คาดการณ์นั้น มันยากกว่าที่คิด ประเด็นนี้หลายคนมักมองข้าง เพราะการคาดการณ์ไม่ใช่การคำนวณทางคณิตศาสตร์ แม้แต่ตัวเราเองยังไม่มั่นใจ ถ้าสามารถรู้ข้อนี้ได้ การตัดสินใจจะผิดพลาดน้อยลง เราจะเผื่อเหลือเผื่อขาด และใจเย็นมากขึ้น หลายๆคนเมื่อพูดว่า "ถ้ารู้ว่าเป็นแบบที่คาดการณ์ไว้เลย โถ่ น่าจะซื้อ/ขายไปก่อนหน้าเยอะๆนี้" สิ่งที่ตามมา มักจะทำต่อไปด้วยการซื้อ/ขายตามความเชื่อนั้น ทั้งๆที่มันช้าไปเสียแล้ว...

ดังนั้นจากข้อสรุปเรื่องนี้ ผมจึงเอามาตั้งเป็นกฎว่า

ไม่ควรนำบทวิเคราะห์ใดๆมาใช้ตัดสินใจว่าจะซื้อ/ขายหุ้นใดๆ ไม่ต้องสนใจ ไม่จำเป็นต้องอ่าน อ่านได้ แต่ไม่ต้องเอามาใช้ตัดสินใจอะไร เพราะกว่าพวกพี่โบรกเกอร์จะออกบทวิเคราะห์เสร็จก็ช้าไปเสียแล้ว หุ้นขึ้นไปก่อนหมด อันไหนดีจริง จะขึ้นพรวดๆไปก่อนหน้าพี่โบรกแนะนำแล้ว ส่วนอันไหนไม่ดีจริง ก็จะไม่ขึ้นเลย เชียร์เข้าไป อาจขึ้นไปนิดหน่อย

ในหลายๆครั้ง random pick แบบคัดกรองหุ้นมาแล้วมีประสิทธิภาพกับการเลือกของเรามากกว่า เปิด siam chart และกรองหุ้นจากค่า P/E P/BV ROE ROA กรอง market cap แล้วเลือกส่วนหนึ่ง, random pick ส่วนหนึ่ง แนะนำว่า work ข้อนี้เคยมีวิจัยในประเทศอังกฤษแล้วว่า เอาให้เด็กแปดขวบเล่นหุ้นชนะนักลงทุนมาแล้ว สาเหตุหลักๆของประสิทธิภาพวิธีนี้คือ การ random pick จะลดประเด็นเรื่องการตัดสินใจช้าไปได้ เนื่องจากการตัดสินใจของเราไม่ได้อิงอยู่กับข้อมูลในตลาด


กฎข้อที่ 3 ข้อมูลจำนวนมาก มีแต่ตัวเลขนั้นสำคัญสุด

ตัวเลขทางงบการเงิน หลอกเราไม่ได้ ไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือมากเท่ากับข่าวลือ (แต่ควรจะมีความรู้ทางการบัญชีระดับหนึ่ง) แม้งบการเงินอาจช้าไปบ้าง แต่ถ้าเราวิเคราะห์เองได้ จะทำให้เราเร็วว่าคนอื่นในตลาดเล็กน้อย ก็ยังดี ดังนั้นจึงควรศึกษาความหมายของค่าพวกนี้ไว้บ้าง
P/E, P/BV, D/A, ROE, ROA, DIVIDEND YIELD, อัตรากำไรต่อรายได้ ฯลฯ และข้อนี้สอดคล้องกับข้อสอง ที่คุณควรจะต้องเลือกหุ้นด้วยตัวเอง

กฎข้อที่ 4 การเล่นหุ้นเป็นคำผิด ที่ถูกคือการลงทุน
คนเล่นหุ้นคือคนที่หวังจะรวยจากหุ้น ในลักษณะนี้การเล่นให้ชนะได้เงินเร็วๆ มีไม่กี่วิธี ไม่ว่าจะ ดวง อาศัย ข้อมูลวงใน เป็นต้น โดยส่วนใหญ่คนทั่วไปที่เล่นได้ มักจะได้ในลักษณะการพนันเสียมากกว่า ดังนั้น ถ้าจะลงทุนจริงๆ คนที่ลงทุน (ไม่ว่าจะเน้นทางเทคนิค หรือพื้นฐาน) ต้องรู้จักบริหารความเสี่ยง โดยมีพื้นฐานสิ่งที่ควรทำ ดังต่อไปนี้

กระจายความเสี่ยง ซื้อทั้งหุ้น พันธบัตร หรือหุ้นกู้ กระจายเงินออกเป็นหลายๆกลุ่มที่ค่าตอบแทนพอชนะเงินฝากได้
ถือเงินสดเสมอ สอดคล้องกับข้อ 1 เราต้องมีเงินสดไว้ซื้อหุ้นใหม่ๆตลอดเวลาที่ตลาดตกลง สำหรับสูตรของผมคือ หุ้น 50% เงินสด 30% พันธบัตรรัฐบาล 20% (ดอกเบี้ย 3.75% 5 ปี) แนะนำนำเงินก้อนนี้ไปฝาก TMB ME ได้ดอกเบี้ย 2-2.55% ต่อปี และมีสภาพคล่องดี เนื่องจากถอนเงินได้ในวันถัดไปจากคำสั่งถอน

แนวทางการจัดการ Port ในช่วงตลาดตกต่ำ

1. เมื่อตลาดเริ่มทำท่าจะลดลงหนัก ให้ศึกษาหุ้นใน port ที่ under-perform ทันทีว่า เหตุที่ under-perform คืออะไร ถ้าไม่น่าสนใจแล้วให้เตรียมขายในเวลาตลาดลงจริงๆ

2. ศึกษาหาหุ้นใหม่ๆที่ดูมีอนาคตเพื่อเก็บซื้อในช่วงลงหนักมาก ใช้เครื่องมือทั้งทางเทคนิค และพื้นฐานผสมกัน

3. ทำ watch list ที่น่าสนใจไว้ซัก 4-8 ตัว แล้วศึกษาเปรียบเทียบ โดยกระจายกลุ่มประเภทธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยง

4. เลือกมาจริงๆ แค่ 2-3 ตัวใช้เครื่องมือทั้งทางเทคนิค และพื้นฐานผสมกัน โดยขายตัวที่ under-perform หรือ loss ไป แล้วช้อนซื้อจากเงินที่ขายจากหุ้นดังกล่าวไปโดยพยายามอย่าเพิ่งใช้เงินสดส่วนที่เก็บซื้อ

5. รอดูผล ถ้าลงต่อก็รอแนวรับถัดไปให้ซื้ออีกรอบ ใช้จ่ายจากเงินสด

6. ซื้อเมื่อ ลง "หนัก" จริงๆ เช่นจาก 1600 -> 1300 หรือต่ำกว่า อย่างรอบล่าสุดผมจัดไปที่แนว 1300 ไม่หนักไม่ซื้อ

7. พอตลาดผ่อนคลายลง (rebound) ให้เริ่มทยอยขายหุ้นที่ซื้อมาเกินสัดส่วนทุนไป เช่นของผมสัดส่วน 50% ก็ทยอยขายจนเหลือ 50% เพื่อรักษาสัดส่วนการลงทุนเดิม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่