เรื่องราวของผม กับการครบรอบ 1 ปีของการเกษียณตัวเองจากงานประจำ ด้วยอายุ 36 ปี
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของผมที่อยากนำมาแชร์ให้เพื่อนๆทุกคนได้อ่าน ถือว่าเป็นการสะท้อนความรู้สึกจากมุมเล็กๆมุมหนึ่งของคนที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาด้วยความจำเป็นบางอย่าง หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
วันที่ 9 กันยายน 2014 คือวันทำงานวันสุดท้ายของผม หลังจากทำงานประจำมาเป็นระยะเวลา 14 ปีเต็ม ผมตัดสินใจลาออกไม่ใช่เพราะว่าผมมีปัญหาในที่ทำงาน หรือมีเงินเหลือใช้ แต่ผมลาออกเพราะว่ามีเหตุจำเป็นจริงๆ คือภรรยาของผมซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่ในจังหวัดเชียงรายได้ตั้งครรภ์ ตัวผมเองทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ปทุมธานี ก่อนที่จะตั้งครรภ์ปกติผมจะเดินทางไปหาภรรยาด้วยรถทัวร์ในช่วงเสาร์-อาทิตย์เดือนละ 2 ครั้ง ตอนนั้นผมเอารถให้ภรรยาไปใช้ขับไปทำงานที่เชียงราย ซึ่งถ้าภรรยาผมท้องแก่ขึ้นมาผมคงจะปล่อยให้ภรรยาขับรถเดินทางไปกลับที่ทำงานเองไม่ได้ ผมรู้เรื่องตั้งครรภ์ตั้งแต่ต้นปี 2014 และพยายามหาทางออกว่าจะทำอย่างไรดี ผมหรือภรรยาต้องมีคนใดคนหนึ่งลาออกเพื่อที่พวกเราจะมาอยู่ด้วยกัน ดูแลกันทุกวันได้ แต่ภรรยาผมเป็นนักเรียนทุน ต้องทำงานใช้ทุนเป็นระยะเวลาหลายปี หรือไม่ก็ต้องชดใช้ทุนเป็นเงินล้าน อีกทั้งญาติๆและ พ่อแม่ของเราไม่ใช่คนเชียงราย ไม่มีใครสะดวกมาช่วยดูแลได้ ที่สำคัญที่สุดคือพวกเราต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเราเอง ไม่ต้องการจ้างพี่เลี้ยงหรือให้ญาติๆมาเลี้ยงแทน เพราะผมคิดว่าไม่มีงานไหนที่สำคัญไปกว่าการสร้างชีวิตคนคนหนึ่งขึ้นมาให้เป็นคนดี เป็นคนที่จะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้ในอนาคต เป็นเกลือเป็นแสงสว่างให้กับโลกใบนี้ ในที่สุดผมจึงต้องเป็นคนลาออก และย้ายจากกรุงเทพไปใช้ชีวิตในเชียงราย
ผมตัดสินใจยื่นใบลาออกตั้งแต่เดือนมีนาคม 2014 เพื่อจะทำงานวันสุดท้ายถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม แต่ตอนนั้นทางบริษัทยังไม่สามารถหาคนมาแทนได้ และมีงานหลายๆอย่างที่เป็นงานต่อเนื่อง จึงได้ขอให้ผมยืดระยะเวลาออกไปทีละเดือน ซึ่งตอนนั้นภรรยาผมยังท้องไม่ใหญ่มากผมจึงตกลง ในระหว่างนี้ทางบริษัทจะออกค่าใช้จ่ายในการขึ้นเครื่องบินไปกลับกรุงเทพเชียงรายให้ผมทุกสัปดาห์ และให้ผมมาทำงานแค่เพียง 2 วันต่อสัปดาห์ คือวันจันทร์และวันอังคารผมจะได้มีเวลาดูแลภรรยาในวันอื่นๆของสัปดาห์ ผมถูกยืดเวลาลาออกไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงต้นเดือนกันยายน ผมตัดสินในไม่ยืดระยะเวลาลาออกอีกต่อไป วันที่ 9 กันยายน คือวันทำงานวันสุดท้ายของผม ภรรยาผมท้องใหญ่มากแล้ว กำหนดคลอดคือกลางเดือนตุลาคม
ในระหว่างที่ผมยื่นใบลาออกคือตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนกันยายน ผมได้พยายามสำรวจหางานในจังหวัดเชียงรายดู แต่ก็ไม่พบงานที่ตรงกับประสบการณ์การทำงานของตัวเองเลย งานทั่วๆไปนั้นค่าจ้างก็ต่ำมาก เงินเดือนตำแหน่งผู้จัดการในจังหวัดเชียงรายนั้นต่ำกว่าเงินเดือนวิศวกรจบใหม่ในกรุงเทพอีก นอกเหนือจากนั้นหากผมทำงานประจำ ผมคงจะไม่มีเวลาในการเลี้ยงและดูแลลูกที่กำลังจะคลอด ในช่วงแรกผมเครียดมากเพราะเงินที่ผมมีนั้นยังไม่มากพอที่ทำให้ผมมีอิสระทางการเงิน ลำพังเงินเดือนของภรรยาที่ทำงานเป็นอาจารย์นั้นก็ไม่เพียงพอสำหรับค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้านที่เพิ่งซื้ออยู่ในเชียงราย อีกทั้งยังมีเงินที่ทั้งผมและภรรยาส่งไปให้พ่อแม่ใช้ทุกๆเดือน ถึงแม้ว่าผมจะมีเงินในหุ้นอยู่บ้างแต่นั่นก็น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย ผมเคยสะสมเงินในหุ้นถึง 1 ล้านบาทครั้งแรกในปี 2010 (ตอนนั้นผมเคยโพสต์ตั้งกระทู้วันที่มีเงิน 1 ล้านบาทแรกไว้ในเวปแห่งหนึ่ง และตอนหลังมีคนคัดลอกกระทู้ของผมมาลงในพันทิปด้วยนะครับ) และค่อยๆงอกเงยขึ้นมาเรื่อยๆเกือบทุกปี เคยมีมากที่สุด 2 ล้านกว่าบาท แต่หลังจากนั้นหุ้นก็ตกลงมา บวกกับที่ผมดึงเงินไปใช้ในการจัดงานแต่งงาน ไปเที่ยวต่างประเทศ และดาวน์รถยนต์ ทำให้ในปลายปี 2013 เงินของผมลดลงเหลือเพียง 1 ล้านบาทต้นๆ เท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังนำเงินไปเซ้งโรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายเป็นเงิน 3.4 แสนบาท ซึ่งในที่สุดก็ไปไม่รอดต้องปิดกิจการลง สูญเงินไปหมดเลย อุปกรณ์จากโรงเรียนกวดวิชาก็เอาไปขายถูกๆบ้าง เอาไปให้ญาติบ้าง และเอามาใช้เองบ้าง หลังจากนั้นผมขายหุ้นที่ถืออยู่นำเงินอีกส่วนหนึ่งไปร่วมหุ้นกับน้องของผมทำโรงเรียนกวดวิชาในกรุงเทพ ผมลงทุนไป 4.5 แสน (ซึ่งขอบคุณพระเจ้าที่กิจการที่กรุงเทพนี้เป็นไปด้วยดี ได้รับเงินปันผลคืนมาเฉลี่ยปีละ 40% ตั้งแต่ต้นปี 2014 มาจนถึงทุกวันนี้) จนในที่สุดเงินเก็บผมลดลงไปมาก เดือนมีนาคมปี 2014 ในวันที่ผมยื่นใบลาออกผมมีเงินเหลือเพียงแค่ 3 แสนบาทเท่านั้น แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมจำเป็นต้องลาออกจากงาน อนาคตผมคงต้องฝากไว้กับพระเจ้า ผมได้แต่หวังว่าจะมีธุรกิจ หรืองานอะไรที่ผมพอจะทำได้ในเชียงรายหลังจากที่ผมย้ายไปอยู่ที่นั่นแล้ว
ในระหว่างที่กำลังจะออกจากงานนั้นผมก็ตั้งใจมากยิ่งขึ้นในการศึกษาหาบริษัทที่น่าลงทุนในตลาดหุ้น และขอบคุณพระเจ้าที่ในช่วงนั้นผมได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับพี่ๆเพื่อนๆนักลงทุนหลายคน ทำให้มีมุมมองกว้างขึ้นและสามารถคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่น่าสนใจเข้าลงทุนได้หลายๆบริษัท บวกกับที่ได้เงินมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตอนที่ลาออกมาอีกประมาณ 4 แสนบาท ทำให้เงินลงทุนของผมเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านกว่าบาทในวันที่ผมทำงานวันสุดท้าย ตอนนั้นผมบอกภรรยาว่า “ผลตอบแทนตรงนี้มันไม่แน่ไม่นอน ไม่รู้ว่าออกจากงานไปแล้วจะยังได้ผลตอบแทนดีขนาดนี้อยู่หรือไม่ ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเดือนๆหนึ่งก็ 5-6 หมื่นบาท ดังนั้นผมลาออกจากงานไปดูแลภรรยาและลูกอย่างน้อยสัก 1 ปี ขอแค่เมื่อครบ 1 ปีแล้ว เงินเก็บจะยังมีไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทผมก็ดีใจแล้ว หลังจากนั้นผมอาจจะกลับมาหางานทำในกรุงเทพใหม่” ภรรยาผมก็เข้าใจ และพวกเราก็เผื่อใจไว้แล้ว และในที่สุดผมก็ออกจากงาน ย้ายมาอยู่เชียงรายในเดือนกันยายน จนเมื่อสิ้นปี 2014 ที่ผ่านมา เงินของผมกลับเพิ่มมากขึ้นมาอยู่ที่ 3.3 ล้านบาท ด้วยผลกำไรในการลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 497% และขึ้นไปทำจุดสูงสุดในเดือนเมษายนปีนี้ที่ 8 ล้านกว่าบาท (ไม่รวมกับที่ขายหุ้นออกมาใช้จ่ายทุกๆเดือนเฉลี่ยเดือนละ 5-6 หมื่นบาท) แต่หลังจากนั้นมูลค่าพอร์ตของผมก็ลดลงเรื่อยๆตามสภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกที่ซบเซาลง ล่าสุดในวันที่เขียนนี้มูลค่าพอร์ตของผมเหลือประมาณ 6 ล้านบาท ซึ่งถึงแม้จะยังไม่มากพอจะมีอิสรภาพทางการเงิน (ผมตั้งเป้าไว้ว่าอย่างน้อย 20 ล้านจึงจะเรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงิน) แต่ผมก็รู้สึกว่าเงินที่มีอยู่ในตอนนี้มีมูลค่ามากเหลือเกินสำหรับคนที่เริ่มต้นจากศูนย์ บ้านไม่ได้รวย
ชีวิตของผมตลอด 1 ปีที่ผ่านมานั้นมีความสุขกว่าตอนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก ถึงแม้ผมจะเกษียณจากงานประจำที่เป็นลูกจ้าง แต่ผมก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ คือผมต้องดูแลภรรยา และเลี้ยงลูก อาบน้ำให้ลูก กล่อมลูกนอน เล่นกับลูก เล่านิทานให้ลูกฟัง เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก และอื่นๆอีกมาก บางครั้งรู้สึกเหนื่อยบ้างแต่ก็เป็นความรู้สึกเหนื่อยอย่างมีความสุข วิถีชีวิตโดยปกติคือ ตื่นเช้ามาผมหรือภรรยาคนใดคนหนึ่งจะทำอาหารเช้า อีกคนจะดูลูก หลังจากนั้นก็ทานอาหารเช้าด้วยกัน และผมจะขับรถไปส่งภรรยาที่ทำงาน ช่วงที่ภรรยาทำงานผมก็จะเป็นคนเลี้ยงลูก ป้อนข้าวลูก พาลูกไปเดินเที่ยว เมื่อเสร็จจากงาน ภรรยาผมก็จะมาให้นมลูก และช่วยดูแลลูก ก่อนนอนก็อาบน้ำ อ่านนิทานให้ลูกฟัง ส่วนเรื่องการลงทุนนั้นผมลงทุนถือหุ้นค่อนข้างนานอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ 3-4 เดือนหรือเป็นปี ไม่ได้ซื้อขายบ่อยๆ ใช้เวลาศึกษาหุ้นบ้างบางวัน หลังจากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ยาวเลย เวลาส่วนใหญ่จึงใช้ไปกับการดูแลลูกได้
มีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกแตกต่างจากตอนทำงานประจำคือ อิสรภาพในการใช้ชีวิต คือตอนนี้ไม่ต้องไปรูดบัตรเข้าทำงาน 8 โมงเช้าทุกวัน วันไหนอยากไปห้าง ไปเที่ยว หรือทานอาหารไกลๆก็ไปได้ แต่ข้อเสียคือสังคมเราจะน้อยลง ยกเว้นว่าเราจะไปเสาะแสวงหาทำความรู้จักคนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆมากขึ้น สำหรับผมแล้วผมก็ได้รู้จักคนใหม่ๆสังคมใหม่ๆบ้างพอสมควร เพื่อนๆที่ทำงานของภรรยา เพื่อนบ้านใหม่ และกลุ่มมิชชั่นนารีที่อยู่ในเชียงราย ซึ่งก็ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกเหงาเลย (จริงๆผมเป็นพวกรักสันโดษอยู่แล้ว คือแค่ได้อยู่กับลูกและภรรยาก็มีความสุขแล้ว) หลังจากนี้ไปผมไม่รู้ว่าผลตอบแทนการลงทุนของผมจะเป็นอย่างไร จะยังดีอยู่หรือไม่ ดังนั้นผมก็ยังบอกไม่ได้ว่าในอนาคตสักวันหนึ่งผมจะต้องกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกครั้งหรือไม่ จริงๆแล้วผมเองมีโครงการอีกหลายอย่างที่อยากจะทำ เช่นการทำธุรกิจออนไลน์ การลงทุนแบบอื่นๆ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้ตัวเอง รวมทั้งการตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือคนในสังคม แต่คงต้องรอให้ลูกโตขึ้นอีกหน่อยก่อน ช่วงเวลานี้ผมคิดว่าการใช้เวลาอยู่กับลูกเป็นเวลาที่มีค่าที่สุด ลูกคงอยากใช้เวลาอยู่กับเราอีกไม่นาน เมื่อเริ่มโตขึ้นมีเพื่อน เขาก็คงไม่ได้อยากใช้เวลากับพ่อแม่แล้ว
ผมมองไม่เห็นว่าผมจะอยู่รอดได้อย่างไรตั้งแต่วันแรกที่ออกจากงาน ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของลูกกับเงินเดือนที่หายไป จนผ่านมา 1 ปีทุกอย่างดูอัศจรรย์มากที่ผมมาอยู่ตรงนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ดูแลผมตลอดมา ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ผมก็เชื่อว่าพระเจ้าจะดูแลผมและครอบครัวต่อไป
ปล. ขอแก้ไขตัวเลขผลตอบแทนปี 2014 นะครับ เรื่องจากได้เอาตัวเลขมาคำนวณย้อนหลังทบทวนดูอีกครั้ง พบว่าคำนวณผิดครับ ปีก่อนจริงๆแล้วต้องกำไร 497% นะครับ ไม่ใช่ 270% ตอนแรกที่ได้ 270% เพราะดันไปคิดต้นทุนรวมเงินที่เติมเข้ามากลางๆปีชั่วคราวแค่ 1-2 เดือน แบบเต็มจำนวน ตอนหลังคิดใหม่ตามสัดส่วนของเวลาที่มาเติมก็ได้ผลตอบแทน 497% ครับ
เรื่องราวของผม กับการครบรอบ 1 ปีของการเกษียณตัวเองจากงานประจำ ด้วยอายุ 36 ปี
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของผมที่อยากนำมาแชร์ให้เพื่อนๆทุกคนได้อ่าน ถือว่าเป็นการสะท้อนความรู้สึกจากมุมเล็กๆมุมหนึ่งของคนที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาด้วยความจำเป็นบางอย่าง หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
วันที่ 9 กันยายน 2014 คือวันทำงานวันสุดท้ายของผม หลังจากทำงานประจำมาเป็นระยะเวลา 14 ปีเต็ม ผมตัดสินใจลาออกไม่ใช่เพราะว่าผมมีปัญหาในที่ทำงาน หรือมีเงินเหลือใช้ แต่ผมลาออกเพราะว่ามีเหตุจำเป็นจริงๆ คือภรรยาของผมซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่ในจังหวัดเชียงรายได้ตั้งครรภ์ ตัวผมเองทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ปทุมธานี ก่อนที่จะตั้งครรภ์ปกติผมจะเดินทางไปหาภรรยาด้วยรถทัวร์ในช่วงเสาร์-อาทิตย์เดือนละ 2 ครั้ง ตอนนั้นผมเอารถให้ภรรยาไปใช้ขับไปทำงานที่เชียงราย ซึ่งถ้าภรรยาผมท้องแก่ขึ้นมาผมคงจะปล่อยให้ภรรยาขับรถเดินทางไปกลับที่ทำงานเองไม่ได้ ผมรู้เรื่องตั้งครรภ์ตั้งแต่ต้นปี 2014 และพยายามหาทางออกว่าจะทำอย่างไรดี ผมหรือภรรยาต้องมีคนใดคนหนึ่งลาออกเพื่อที่พวกเราจะมาอยู่ด้วยกัน ดูแลกันทุกวันได้ แต่ภรรยาผมเป็นนักเรียนทุน ต้องทำงานใช้ทุนเป็นระยะเวลาหลายปี หรือไม่ก็ต้องชดใช้ทุนเป็นเงินล้าน อีกทั้งญาติๆและ พ่อแม่ของเราไม่ใช่คนเชียงราย ไม่มีใครสะดวกมาช่วยดูแลได้ ที่สำคัญที่สุดคือพวกเราต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเราเอง ไม่ต้องการจ้างพี่เลี้ยงหรือให้ญาติๆมาเลี้ยงแทน เพราะผมคิดว่าไม่มีงานไหนที่สำคัญไปกว่าการสร้างชีวิตคนคนหนึ่งขึ้นมาให้เป็นคนดี เป็นคนที่จะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้ในอนาคต เป็นเกลือเป็นแสงสว่างให้กับโลกใบนี้ ในที่สุดผมจึงต้องเป็นคนลาออก และย้ายจากกรุงเทพไปใช้ชีวิตในเชียงราย
ผมตัดสินใจยื่นใบลาออกตั้งแต่เดือนมีนาคม 2014 เพื่อจะทำงานวันสุดท้ายถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม แต่ตอนนั้นทางบริษัทยังไม่สามารถหาคนมาแทนได้ และมีงานหลายๆอย่างที่เป็นงานต่อเนื่อง จึงได้ขอให้ผมยืดระยะเวลาออกไปทีละเดือน ซึ่งตอนนั้นภรรยาผมยังท้องไม่ใหญ่มากผมจึงตกลง ในระหว่างนี้ทางบริษัทจะออกค่าใช้จ่ายในการขึ้นเครื่องบินไปกลับกรุงเทพเชียงรายให้ผมทุกสัปดาห์ และให้ผมมาทำงานแค่เพียง 2 วันต่อสัปดาห์ คือวันจันทร์และวันอังคารผมจะได้มีเวลาดูแลภรรยาในวันอื่นๆของสัปดาห์ ผมถูกยืดเวลาลาออกไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงต้นเดือนกันยายน ผมตัดสินในไม่ยืดระยะเวลาลาออกอีกต่อไป วันที่ 9 กันยายน คือวันทำงานวันสุดท้ายของผม ภรรยาผมท้องใหญ่มากแล้ว กำหนดคลอดคือกลางเดือนตุลาคม
ในระหว่างที่ผมยื่นใบลาออกคือตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนกันยายน ผมได้พยายามสำรวจหางานในจังหวัดเชียงรายดู แต่ก็ไม่พบงานที่ตรงกับประสบการณ์การทำงานของตัวเองเลย งานทั่วๆไปนั้นค่าจ้างก็ต่ำมาก เงินเดือนตำแหน่งผู้จัดการในจังหวัดเชียงรายนั้นต่ำกว่าเงินเดือนวิศวกรจบใหม่ในกรุงเทพอีก นอกเหนือจากนั้นหากผมทำงานประจำ ผมคงจะไม่มีเวลาในการเลี้ยงและดูแลลูกที่กำลังจะคลอด ในช่วงแรกผมเครียดมากเพราะเงินที่ผมมีนั้นยังไม่มากพอที่ทำให้ผมมีอิสระทางการเงิน ลำพังเงินเดือนของภรรยาที่ทำงานเป็นอาจารย์นั้นก็ไม่เพียงพอสำหรับค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้านที่เพิ่งซื้ออยู่ในเชียงราย อีกทั้งยังมีเงินที่ทั้งผมและภรรยาส่งไปให้พ่อแม่ใช้ทุกๆเดือน ถึงแม้ว่าผมจะมีเงินในหุ้นอยู่บ้างแต่นั่นก็น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย ผมเคยสะสมเงินในหุ้นถึง 1 ล้านบาทครั้งแรกในปี 2010 (ตอนนั้นผมเคยโพสต์ตั้งกระทู้วันที่มีเงิน 1 ล้านบาทแรกไว้ในเวปแห่งหนึ่ง และตอนหลังมีคนคัดลอกกระทู้ของผมมาลงในพันทิปด้วยนะครับ) และค่อยๆงอกเงยขึ้นมาเรื่อยๆเกือบทุกปี เคยมีมากที่สุด 2 ล้านกว่าบาท แต่หลังจากนั้นหุ้นก็ตกลงมา บวกกับที่ผมดึงเงินไปใช้ในการจัดงานแต่งงาน ไปเที่ยวต่างประเทศ และดาวน์รถยนต์ ทำให้ในปลายปี 2013 เงินของผมลดลงเหลือเพียง 1 ล้านบาทต้นๆ เท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังนำเงินไปเซ้งโรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายเป็นเงิน 3.4 แสนบาท ซึ่งในที่สุดก็ไปไม่รอดต้องปิดกิจการลง สูญเงินไปหมดเลย อุปกรณ์จากโรงเรียนกวดวิชาก็เอาไปขายถูกๆบ้าง เอาไปให้ญาติบ้าง และเอามาใช้เองบ้าง หลังจากนั้นผมขายหุ้นที่ถืออยู่นำเงินอีกส่วนหนึ่งไปร่วมหุ้นกับน้องของผมทำโรงเรียนกวดวิชาในกรุงเทพ ผมลงทุนไป 4.5 แสน (ซึ่งขอบคุณพระเจ้าที่กิจการที่กรุงเทพนี้เป็นไปด้วยดี ได้รับเงินปันผลคืนมาเฉลี่ยปีละ 40% ตั้งแต่ต้นปี 2014 มาจนถึงทุกวันนี้) จนในที่สุดเงินเก็บผมลดลงไปมาก เดือนมีนาคมปี 2014 ในวันที่ผมยื่นใบลาออกผมมีเงินเหลือเพียงแค่ 3 แสนบาทเท่านั้น แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมจำเป็นต้องลาออกจากงาน อนาคตผมคงต้องฝากไว้กับพระเจ้า ผมได้แต่หวังว่าจะมีธุรกิจ หรืองานอะไรที่ผมพอจะทำได้ในเชียงรายหลังจากที่ผมย้ายไปอยู่ที่นั่นแล้ว
ในระหว่างที่กำลังจะออกจากงานนั้นผมก็ตั้งใจมากยิ่งขึ้นในการศึกษาหาบริษัทที่น่าลงทุนในตลาดหุ้น และขอบคุณพระเจ้าที่ในช่วงนั้นผมได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับพี่ๆเพื่อนๆนักลงทุนหลายคน ทำให้มีมุมมองกว้างขึ้นและสามารถคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่น่าสนใจเข้าลงทุนได้หลายๆบริษัท บวกกับที่ได้เงินมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตอนที่ลาออกมาอีกประมาณ 4 แสนบาท ทำให้เงินลงทุนของผมเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านกว่าบาทในวันที่ผมทำงานวันสุดท้าย ตอนนั้นผมบอกภรรยาว่า “ผลตอบแทนตรงนี้มันไม่แน่ไม่นอน ไม่รู้ว่าออกจากงานไปแล้วจะยังได้ผลตอบแทนดีขนาดนี้อยู่หรือไม่ ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเดือนๆหนึ่งก็ 5-6 หมื่นบาท ดังนั้นผมลาออกจากงานไปดูแลภรรยาและลูกอย่างน้อยสัก 1 ปี ขอแค่เมื่อครบ 1 ปีแล้ว เงินเก็บจะยังมีไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทผมก็ดีใจแล้ว หลังจากนั้นผมอาจจะกลับมาหางานทำในกรุงเทพใหม่” ภรรยาผมก็เข้าใจ และพวกเราก็เผื่อใจไว้แล้ว และในที่สุดผมก็ออกจากงาน ย้ายมาอยู่เชียงรายในเดือนกันยายน จนเมื่อสิ้นปี 2014 ที่ผ่านมา เงินของผมกลับเพิ่มมากขึ้นมาอยู่ที่ 3.3 ล้านบาท ด้วยผลกำไรในการลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 497% และขึ้นไปทำจุดสูงสุดในเดือนเมษายนปีนี้ที่ 8 ล้านกว่าบาท (ไม่รวมกับที่ขายหุ้นออกมาใช้จ่ายทุกๆเดือนเฉลี่ยเดือนละ 5-6 หมื่นบาท) แต่หลังจากนั้นมูลค่าพอร์ตของผมก็ลดลงเรื่อยๆตามสภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกที่ซบเซาลง ล่าสุดในวันที่เขียนนี้มูลค่าพอร์ตของผมเหลือประมาณ 6 ล้านบาท ซึ่งถึงแม้จะยังไม่มากพอจะมีอิสรภาพทางการเงิน (ผมตั้งเป้าไว้ว่าอย่างน้อย 20 ล้านจึงจะเรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงิน) แต่ผมก็รู้สึกว่าเงินที่มีอยู่ในตอนนี้มีมูลค่ามากเหลือเกินสำหรับคนที่เริ่มต้นจากศูนย์ บ้านไม่ได้รวย
ชีวิตของผมตลอด 1 ปีที่ผ่านมานั้นมีความสุขกว่าตอนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก ถึงแม้ผมจะเกษียณจากงานประจำที่เป็นลูกจ้าง แต่ผมก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ คือผมต้องดูแลภรรยา และเลี้ยงลูก อาบน้ำให้ลูก กล่อมลูกนอน เล่นกับลูก เล่านิทานให้ลูกฟัง เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก และอื่นๆอีกมาก บางครั้งรู้สึกเหนื่อยบ้างแต่ก็เป็นความรู้สึกเหนื่อยอย่างมีความสุข วิถีชีวิตโดยปกติคือ ตื่นเช้ามาผมหรือภรรยาคนใดคนหนึ่งจะทำอาหารเช้า อีกคนจะดูลูก หลังจากนั้นก็ทานอาหารเช้าด้วยกัน และผมจะขับรถไปส่งภรรยาที่ทำงาน ช่วงที่ภรรยาทำงานผมก็จะเป็นคนเลี้ยงลูก ป้อนข้าวลูก พาลูกไปเดินเที่ยว เมื่อเสร็จจากงาน ภรรยาผมก็จะมาให้นมลูก และช่วยดูแลลูก ก่อนนอนก็อาบน้ำ อ่านนิทานให้ลูกฟัง ส่วนเรื่องการลงทุนนั้นผมลงทุนถือหุ้นค่อนข้างนานอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ 3-4 เดือนหรือเป็นปี ไม่ได้ซื้อขายบ่อยๆ ใช้เวลาศึกษาหุ้นบ้างบางวัน หลังจากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ยาวเลย เวลาส่วนใหญ่จึงใช้ไปกับการดูแลลูกได้
มีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกแตกต่างจากตอนทำงานประจำคือ อิสรภาพในการใช้ชีวิต คือตอนนี้ไม่ต้องไปรูดบัตรเข้าทำงาน 8 โมงเช้าทุกวัน วันไหนอยากไปห้าง ไปเที่ยว หรือทานอาหารไกลๆก็ไปได้ แต่ข้อเสียคือสังคมเราจะน้อยลง ยกเว้นว่าเราจะไปเสาะแสวงหาทำความรู้จักคนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆมากขึ้น สำหรับผมแล้วผมก็ได้รู้จักคนใหม่ๆสังคมใหม่ๆบ้างพอสมควร เพื่อนๆที่ทำงานของภรรยา เพื่อนบ้านใหม่ และกลุ่มมิชชั่นนารีที่อยู่ในเชียงราย ซึ่งก็ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกเหงาเลย (จริงๆผมเป็นพวกรักสันโดษอยู่แล้ว คือแค่ได้อยู่กับลูกและภรรยาก็มีความสุขแล้ว) หลังจากนี้ไปผมไม่รู้ว่าผลตอบแทนการลงทุนของผมจะเป็นอย่างไร จะยังดีอยู่หรือไม่ ดังนั้นผมก็ยังบอกไม่ได้ว่าในอนาคตสักวันหนึ่งผมจะต้องกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกครั้งหรือไม่ จริงๆแล้วผมเองมีโครงการอีกหลายอย่างที่อยากจะทำ เช่นการทำธุรกิจออนไลน์ การลงทุนแบบอื่นๆ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้ตัวเอง รวมทั้งการตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือคนในสังคม แต่คงต้องรอให้ลูกโตขึ้นอีกหน่อยก่อน ช่วงเวลานี้ผมคิดว่าการใช้เวลาอยู่กับลูกเป็นเวลาที่มีค่าที่สุด ลูกคงอยากใช้เวลาอยู่กับเราอีกไม่นาน เมื่อเริ่มโตขึ้นมีเพื่อน เขาก็คงไม่ได้อยากใช้เวลากับพ่อแม่แล้ว
ผมมองไม่เห็นว่าผมจะอยู่รอดได้อย่างไรตั้งแต่วันแรกที่ออกจากงาน ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของลูกกับเงินเดือนที่หายไป จนผ่านมา 1 ปีทุกอย่างดูอัศจรรย์มากที่ผมมาอยู่ตรงนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ดูแลผมตลอดมา ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ผมก็เชื่อว่าพระเจ้าจะดูแลผมและครอบครัวต่อไป
ปล. ขอแก้ไขตัวเลขผลตอบแทนปี 2014 นะครับ เรื่องจากได้เอาตัวเลขมาคำนวณย้อนหลังทบทวนดูอีกครั้ง พบว่าคำนวณผิดครับ ปีก่อนจริงๆแล้วต้องกำไร 497% นะครับ ไม่ใช่ 270% ตอนแรกที่ได้ 270% เพราะดันไปคิดต้นทุนรวมเงินที่เติมเข้ามากลางๆปีชั่วคราวแค่ 1-2 เดือน แบบเต็มจำนวน ตอนหลังคิดใหม่ตามสัดส่วนของเวลาที่มาเติมก็ได้ผลตอบแทน 497% ครับ