สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 38
อย่าเรียกว่าลำบากครับ เพราะมันคือรสชาติของยุค 90 ซึ่งโมเม้นการจีบสาวสมัยนั้นบอกเลยว่ามันมีหลายแบบ หลายวิธีมากเลยทีเดียวซึ่งผมเองก็ยังทำไม่ครบหรอก แต่ก็ขอมาแชร์ให้ฟังนะ
1. จดหมายสื่อรัก : ไอ่กระดาษแผ่นบางๆ ลายน่ารักมุ้งมิ้งลายมัดใจสาวอย่าง Sario นี่แหละคือสุดยอดแห่งกระดาษในแผ่นดินนี้ในการจีบสาว ต่อให้คุณแมร่งเขียนลายมือห่วยแตก หรือเน่าสนิทยังไง แต่ตราบใดที่กระดาษมีตัวการ์ตูน Sario ที่เธอชอบอยู่ เมื่อนั้นคุณก็ยังมีสิทธิ์พิชิตใจเธอนะ ยิ่งถ้าพับเป็นรูปหัวใจได้นี่ Epic เลยครับ หล่อสัสเลยคราวนี้ (ถ้าจะทำห้ามฝากเพื่อนไปให้ ไม่งั้นรู้ทั้งห้องเรียน ยันห้องปกครองแน่เอ้ยยย)
2.ออกสื่อสิรักจริง : การโทรไปขอเพลงตามคลื่นวิทยุที่เธอชอบฟังนั้นคือความหล่ออย่างหนึ่งเมื่อมีคำว่า "คุณหล่อ ได้ขอเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง ของ AB Normal ให้น้องกิ๊ก" แต่คุณจะหล่อขึ้นไปอีกเมื่อตอนที่ได้ออกหน้าไมค์แล้วเค้าถามว่าจะเพลงให้ใครเหรอคะ แล้วเราก็ได้ตอบไปว่า "ขอเพลงให้น้องกิ๊ก ห้อง ม.3/2 โรงเรียนชั้นนำ ครับ" เชื่อเถอะพรุ่งนี้ คนรู้กันทั้งโรงเรียน
3.เพจเจอร์ส่งตรง : หนึ่งในสิ่งที่คิดว่าทำแล้วต้องอาย (ซึ่งจริงๆ ครั้งแรกก็อายแหละ แต่หลังๆนี้ด้านละ ชิวเลยสบาย) นั่นคือการส่งคำหวานไปจีบสาวผ่าน Call Center สาวเสียงหวาน อย่างเช่น "รักน้องจุ๊กกรู้วว นะครับ แต่ไม่เจอกันไม่กี่วันพี่ก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ" คือพูดไปพูดมาเหมือนจะจีบเค้าเองยังไงก็ไม่รู้ 5555+
4.หูฟังสุดสวีท : อันนี้คือหวานมาก พีคมากจริงๆ กับการเอาหูฟังเสียบ Walkman แล้วแบ่งกันฟัง คือถึงแม้เดี๋ยวนี้จะมีเหมือนกัน แต่เชื่อเหอะมันคนละฟิล (นี่ลองมาหลายรอบละ แมร่งต่างจริง อะไรจริง)
5.โทรศัพท์บ้านงานระทึก : ในยุคที่โทรศัพท์มือถือยังอันเท่าสาก และราคาแพงสัส โทรศัพท์บ้านคือสื่อรักที่โคตรเสี่ยงจริงๆ เพราะการโทรแต่ละครั้งจะถ้าไม่นัดเวลากันไว้ล่วงหน้าให้ดี งานนี้คือสิ่งระทึกเพราะอย่างแรกเราไม่รู้ว่าโทรไปใครจะรับถ้าเจอพ่อ หรือพี่ชายนี่มีช็อคเปลี่ยนเสียงเป็นตุ๊ดแทบไม่ทัน อย่างที่สองเมื่อได้คุยแล้วจะมั่นใจได้ไงว่าคนที่บ้าน (ทั้งเราและเธอ) จะไม่ไปแอบฟังจากโทรศัพท์บ้านเครื่องอื่มอยู่เงียบๆ (แต่ถ้าช่ำชองแล้ว จะรู้ว่าเมื่อไรที่เสียงสนทนามันแอบเบาลง เมื่อนั้นแหละแสดงว่ามีคนยกหูจากเครื่องอื่น)
6.เมื่อไรจะออนไลน์ : ในยุคของเนต 46บิท ที่ต้องต่อผ่านเร้าท์เตอร์เสียงดังสนั่นลั่นบ้าน แถมความเร็วยังต้องบอกว่าเครปป้าเฉื่อยยังเร็วกว่านั้น ยังมีโปรแกรมมหาเทพแห่งการจีบสาวอยู่อย่าง Pirch MSN และ ICQ โปรแกรมแชทวัดดวงที่คุณเองก็ไม่รู้หรอกว่า เค้าจะมาออนไลน์เมื่อไร แต่ถ้ามาทีไรนะดีใจยิ่งกว่าถูกหวย จากนั้นก็ลากเม้าไปคลิกที่ชื่อทักทีพร้อมพิมพ์คำว่า "อ่าว... เพิ่งจะออนเหรอ เรากำลังจะไปพอดีเลย แต่เธอมาแบบนี้เดี๋ยวอยู่คุยเป็นเพื่อนก็ได้นะ"
7.รูปถ่ายระดับแรร์ : สมัยนั้นกล้องถ่ายรูปก็ยังไม่เฟื่องฟูเหมือนทุกวันนี้ ใครมีนี่ก็หรู ดังนั้นการที่จะมีรูปของตัวเองได้ถ้าไม่ไปถ่ายสติ๊กเกอร์ ก็ต้องไปเช่าสตูดิโอถ่ายรูป ซึ่งการที่เราจะได้รูปของคนที่แอบชอบมานั้นก็มีด้วยกันหลายวิธีทั้งแอบไปขอเพื่อนสนิทเธอที่เราพยายามตีสนิทไว้แล้วด้วยสินบน (ขนม และเพื่อนสุดหล่อ) อีกวิธีนึงที่เชื่อว่า ชายไทยหลายๆ คนเคยทำก็คือ "ขโมยเอาหน้าด้านๆจากบอร์ดในโรงเรียน" นี่แหละครับ ก่อนจะดึงต้องหันซ้ายขวา รอจังหวะแล้วเอื้อมมือไปดึงด้วยความไวปานสายฟ้าฟาด แล้วเดินจากไปแบบนิ่งๆ แต่ถ้ามีคนมาเห็นก็สวมวิญญาณยูเซียน โบลท์ กันอย่างแน่นอน
8.แผนการเด็กเรียน : นี่คือ 1 ในปฎิบัติการวัดใจที่ต้องอาศัยสกิลเนียน ด้วยการบุกไปที่บ้านแล้วบอกพ่อ-แม่ของเธอว่า มาขอยืมสมุดการบ้าน หรือ มาให้เธอช่วยติวหนังสือตรงนี้ให้หน่อย เพราะ เธอนั้นเทพธิดาเก่งสัสหมาเลยทีเดียว
ก็อะไรประมาณนี้แหละครับ ความมันส์ของเด็กยุค 90
1. จดหมายสื่อรัก : ไอ่กระดาษแผ่นบางๆ ลายน่ารักมุ้งมิ้งลายมัดใจสาวอย่าง Sario นี่แหละคือสุดยอดแห่งกระดาษในแผ่นดินนี้ในการจีบสาว ต่อให้คุณแมร่งเขียนลายมือห่วยแตก หรือเน่าสนิทยังไง แต่ตราบใดที่กระดาษมีตัวการ์ตูน Sario ที่เธอชอบอยู่ เมื่อนั้นคุณก็ยังมีสิทธิ์พิชิตใจเธอนะ ยิ่งถ้าพับเป็นรูปหัวใจได้นี่ Epic เลยครับ หล่อสัสเลยคราวนี้ (ถ้าจะทำห้ามฝากเพื่อนไปให้ ไม่งั้นรู้ทั้งห้องเรียน ยันห้องปกครองแน่เอ้ยยย)
2.ออกสื่อสิรักจริง : การโทรไปขอเพลงตามคลื่นวิทยุที่เธอชอบฟังนั้นคือความหล่ออย่างหนึ่งเมื่อมีคำว่า "คุณหล่อ ได้ขอเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง ของ AB Normal ให้น้องกิ๊ก" แต่คุณจะหล่อขึ้นไปอีกเมื่อตอนที่ได้ออกหน้าไมค์แล้วเค้าถามว่าจะเพลงให้ใครเหรอคะ แล้วเราก็ได้ตอบไปว่า "ขอเพลงให้น้องกิ๊ก ห้อง ม.3/2 โรงเรียนชั้นนำ ครับ" เชื่อเถอะพรุ่งนี้ คนรู้กันทั้งโรงเรียน
3.เพจเจอร์ส่งตรง : หนึ่งในสิ่งที่คิดว่าทำแล้วต้องอาย (ซึ่งจริงๆ ครั้งแรกก็อายแหละ แต่หลังๆนี้ด้านละ ชิวเลยสบาย) นั่นคือการส่งคำหวานไปจีบสาวผ่าน Call Center สาวเสียงหวาน อย่างเช่น "รักน้องจุ๊กกรู้วว นะครับ แต่ไม่เจอกันไม่กี่วันพี่ก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ" คือพูดไปพูดมาเหมือนจะจีบเค้าเองยังไงก็ไม่รู้ 5555+
4.หูฟังสุดสวีท : อันนี้คือหวานมาก พีคมากจริงๆ กับการเอาหูฟังเสียบ Walkman แล้วแบ่งกันฟัง คือถึงแม้เดี๋ยวนี้จะมีเหมือนกัน แต่เชื่อเหอะมันคนละฟิล (นี่ลองมาหลายรอบละ แมร่งต่างจริง อะไรจริง)
5.โทรศัพท์บ้านงานระทึก : ในยุคที่โทรศัพท์มือถือยังอันเท่าสาก และราคาแพงสัส โทรศัพท์บ้านคือสื่อรักที่โคตรเสี่ยงจริงๆ เพราะการโทรแต่ละครั้งจะถ้าไม่นัดเวลากันไว้ล่วงหน้าให้ดี งานนี้คือสิ่งระทึกเพราะอย่างแรกเราไม่รู้ว่าโทรไปใครจะรับถ้าเจอพ่อ หรือพี่ชายนี่มีช็อคเปลี่ยนเสียงเป็นตุ๊ดแทบไม่ทัน อย่างที่สองเมื่อได้คุยแล้วจะมั่นใจได้ไงว่าคนที่บ้าน (ทั้งเราและเธอ) จะไม่ไปแอบฟังจากโทรศัพท์บ้านเครื่องอื่มอยู่เงียบๆ (แต่ถ้าช่ำชองแล้ว จะรู้ว่าเมื่อไรที่เสียงสนทนามันแอบเบาลง เมื่อนั้นแหละแสดงว่ามีคนยกหูจากเครื่องอื่น)
6.เมื่อไรจะออนไลน์ : ในยุคของเนต 46บิท ที่ต้องต่อผ่านเร้าท์เตอร์เสียงดังสนั่นลั่นบ้าน แถมความเร็วยังต้องบอกว่าเครปป้าเฉื่อยยังเร็วกว่านั้น ยังมีโปรแกรมมหาเทพแห่งการจีบสาวอยู่อย่าง Pirch MSN และ ICQ โปรแกรมแชทวัดดวงที่คุณเองก็ไม่รู้หรอกว่า เค้าจะมาออนไลน์เมื่อไร แต่ถ้ามาทีไรนะดีใจยิ่งกว่าถูกหวย จากนั้นก็ลากเม้าไปคลิกที่ชื่อทักทีพร้อมพิมพ์คำว่า "อ่าว... เพิ่งจะออนเหรอ เรากำลังจะไปพอดีเลย แต่เธอมาแบบนี้เดี๋ยวอยู่คุยเป็นเพื่อนก็ได้นะ"
7.รูปถ่ายระดับแรร์ : สมัยนั้นกล้องถ่ายรูปก็ยังไม่เฟื่องฟูเหมือนทุกวันนี้ ใครมีนี่ก็หรู ดังนั้นการที่จะมีรูปของตัวเองได้ถ้าไม่ไปถ่ายสติ๊กเกอร์ ก็ต้องไปเช่าสตูดิโอถ่ายรูป ซึ่งการที่เราจะได้รูปของคนที่แอบชอบมานั้นก็มีด้วยกันหลายวิธีทั้งแอบไปขอเพื่อนสนิทเธอที่เราพยายามตีสนิทไว้แล้วด้วยสินบน (ขนม และเพื่อนสุดหล่อ) อีกวิธีนึงที่เชื่อว่า ชายไทยหลายๆ คนเคยทำก็คือ "ขโมยเอาหน้าด้านๆจากบอร์ดในโรงเรียน" นี่แหละครับ ก่อนจะดึงต้องหันซ้ายขวา รอจังหวะแล้วเอื้อมมือไปดึงด้วยความไวปานสายฟ้าฟาด แล้วเดินจากไปแบบนิ่งๆ แต่ถ้ามีคนมาเห็นก็สวมวิญญาณยูเซียน โบลท์ กันอย่างแน่นอน
8.แผนการเด็กเรียน : นี่คือ 1 ในปฎิบัติการวัดใจที่ต้องอาศัยสกิลเนียน ด้วยการบุกไปที่บ้านแล้วบอกพ่อ-แม่ของเธอว่า มาขอยืมสมุดการบ้าน หรือ มาให้เธอช่วยติวหนังสือตรงนี้ให้หน่อย เพราะ เธอนั้นเทพธิดาเก่งสัสหมาเลยทีเดียว
ก็อะไรประมาณนี้แหละครับ ความมันส์ของเด็กยุค 90
ความคิดเห็นที่ 12
สิบห้าปีที่แล้วได้มั้ยคะ ยังไม่ถึงยี่สิบปีอะ ><
เรียนมัธยมปลายคนละโรงเรียน ชายได้เบอร์บ้านไปจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน
โทรหาทุกคืนตอนสองทุ่ม วันละ 1 ชม.นี่คือเวลาปกติ วันไหนไม่โทรก็รอเก้อกันไป เข้านอนแบบงงๆ หงุดหงิดๆ
นัดเจอกันก็นานๆ ครั้ง ต่างคนต่างไปรอเจอกันที่ห้างตามเวลานัด ไปดูหนัง เดินเล่น นั่งกินแม็คโดนัล แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
กว่าจะได้จับมือ ปาไปเป็นหลายเดือน ช่วงนั้นเป็นความรักที่แบบ นึกย้อนไปยังยิ้มอยู่เลยค่ะ
มาเป็นแฟนกันจริงๆ ก็ตอนเข้ามหาลัยแล้ว
ปัจจุบันแต่งงานกับคนนี้มา 3 ปีกว่าๆ เดือนหน้ากำลังจะคลอดลูกสาวคนแรก ^^
เรียนมัธยมปลายคนละโรงเรียน ชายได้เบอร์บ้านไปจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน
โทรหาทุกคืนตอนสองทุ่ม วันละ 1 ชม.นี่คือเวลาปกติ วันไหนไม่โทรก็รอเก้อกันไป เข้านอนแบบงงๆ หงุดหงิดๆ
นัดเจอกันก็นานๆ ครั้ง ต่างคนต่างไปรอเจอกันที่ห้างตามเวลานัด ไปดูหนัง เดินเล่น นั่งกินแม็คโดนัล แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
กว่าจะได้จับมือ ปาไปเป็นหลายเดือน ช่วงนั้นเป็นความรักที่แบบ นึกย้อนไปยังยิ้มอยู่เลยค่ะ
มาเป็นแฟนกันจริงๆ ก็ตอนเข้ามหาลัยแล้ว
ปัจจุบันแต่งงานกับคนนี้มา 3 ปีกว่าๆ เดือนหน้ากำลังจะคลอดลูกสาวคนแรก ^^
ความคิดเห็นที่ 4
ผมบ้านอยู่ ตจว การที่จะได้เจอใครรักใครยากนัก
สมัยเรียน ม.ต้น และ ม.ปลาย ในยุคที่ไม่มีโชเชียลแบบทุกวันนี้ เราใช้ระบบจดหมายน้อย
ถ้าเป็นสาวต่างห้องเรียน ก็จะเขียนฝากเพื่อนไปให้คนที่ชอบ ที่เหลือก็ลุ้นล่ะครับว่าเค้าจะตอบ จม.เรามั้ย
ถ้าตอบนี่สวรรค์ครับ แต่ต้องดูเนื้อหาข้างในด้วยเค้าตอบแบบไหน เล่นด้วยกับเราหรือเปล่า
ส่วนตัวผมชอบเขียนใส่การ์ดในวันสำคัญ เขียน จม.บอกรัก แล้วรอเวลาเขาไม่อยู่ในห้องเรียนก็ย่องไปเปิดกระเป๋าของเค้าแล้วก็ใส่ลงไป
(เคสนี้ไม่เคยได้รับคำตอบใด ๆ ทำมาตลอด ม.1 2 3 เขาไม่ตอบ มารู้เอาตอนโตว่าปัจจุบันเขายังเก็บไว้อยู่)
ตอน ม.4 มีจดหมายน้อยจากรุ่นพี่ ม.5 ร่อนฝากคนรู้จักมา เปิดอ่านเป็นเนื้อเพลงทาทายัง ที่พึ่งจะเปิดอัลบั้มแรกแบบดังสุด "หากจะดูเป็นการรบกวน ก็อยากชวนเธอมารักกัน" โอว๊ๆๆๆๆ มันเป็นอะไรที่ฟินมาก
ตกเย็นก็นัดกันฟังวิทยุคลื่นวัยรุ่น ที่เด็กวัยรุ่นยุคนั้นเขาเขียน จม ไปขอเพลงกัน ดีเจ ก็จะอ่านให้แทบทุกฉบับเลย
"จากหนุ่มห้อง 5/4 TP โต๊ะหลังแถว 1 ขอเพลง มารักกันเถอะ มอบให้สาวห้อง 5/2 โต๊ะหน้า แถวสาม " แหม่...ถึงตรงนี้ล่ะกรี๊ดกันเลย...
ต่อมาเมื่อเขียนส่งกันได้ช่วงนึงก็คุยกัน รอหน้าโรงเรียนตอนเลิก คุยกันจนรถเที่ยวสุดท้ายค่อยแยกทางกัน
ตจว แถวบ้านผมนี่ถ้าใครมีโทรศัพท์บ้านนี่แสดงว่ารวยเลยล่ะ
ยุคของผมนี่มีวิขาภาษาไทย ที่คุณครูบังคับให้นักเรียนทำการเขียนจดหมายไปหาเพื่อนต่างโรงเรียนโดยที่เราไม่รู้ว่าที่เราส่งไปหานั้นเป็นหญิงหรือชาย ครูจะให้เลขห้องมาให้เราเขียนถึงคนในห้อง โดยระบุเลขที่ ให้เดาเอาน่ะครับ
ถ้าได้รับจดหมายตอบกลับนี่โคตรดีใจเพราะถือว่าผ่าน จดหมายในยุคผมนั้นสำคัญมาก
ช่วงปี 2540 - 43 ช่วงนั้นที่ฮิตสุดคือ แพคลิ้งค์ มันเป็นแฟชั่นพอๆ กับไอโฟนสมัยนี้เลยจริง พับผ่าสิ
ปี 43 ผมติดทหารเกณฑ์ ทร.43ผลัด 3 ปีที่เริ่มมีการใช้มือถือแล้ว ทั้ง nokia ericson และ motorolla กำลังเริ่มต่อสู้กัน
ผมก็ยังใช้ จม ส่งหาคนรัก ที่ส่งเท่าไรก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับ มีแต่รุ่นน้องที่เป็นหญิงเขียนมาให่กำลังใจ
จดหมายฉบับเดียวอ่านสิบเที่ยวก็ไม่เบื่อ อ่านไปยิ้มไป ส่วนคนที่รักไม่เคยที่จะตอบเล้ยยย จริงๆ
หนังสือที่ขายดีในค่ายทหาร "ศาลาคนเศร้า" ผมนี่เปิดหน้าหลังสุดเลย เพราะหลังสุดนั้นจะมีแต่คนเศร้าเหงา ขาดเพื่อน ฯลฯ
ผมเปิดดูเลือกดูคนเศร้าที่ลงรูปทิ้งที่อยู่ประกาศหาเพื่อนแก้เหงา คนนี้หน้าตาพอได้ สวย น่ารัก อยู่ใกล้ ไกล เบือกได้ก็บรรเลงจดหมายส่งไปหวังจีบ
ผลสุดท้ายคือไม่เคยได้รับการตอบรับใดๆ จากหมายเลขที่ท่านเลือก
ทั้งจดหมาย และไปรณียบัตร ผมใช้ส่งถึงเพื่อนๆ และคนที่เรารัก มันดูมีค่าจริงๆ แต่ส่วนมากกับคนที่เราชอบมักไม่ได่รับการตอบกลับ เศร้าจริงๆ
เริ่มยาวแระ รู้สึกตัวเองแก่เกินแระ แค่นี้แหละครับ มีอีกเยอะเลย รอท่านอื่นต่อ
สมัยเรียน ม.ต้น และ ม.ปลาย ในยุคที่ไม่มีโชเชียลแบบทุกวันนี้ เราใช้ระบบจดหมายน้อย
ถ้าเป็นสาวต่างห้องเรียน ก็จะเขียนฝากเพื่อนไปให้คนที่ชอบ ที่เหลือก็ลุ้นล่ะครับว่าเค้าจะตอบ จม.เรามั้ย
ถ้าตอบนี่สวรรค์ครับ แต่ต้องดูเนื้อหาข้างในด้วยเค้าตอบแบบไหน เล่นด้วยกับเราหรือเปล่า
ส่วนตัวผมชอบเขียนใส่การ์ดในวันสำคัญ เขียน จม.บอกรัก แล้วรอเวลาเขาไม่อยู่ในห้องเรียนก็ย่องไปเปิดกระเป๋าของเค้าแล้วก็ใส่ลงไป
(เคสนี้ไม่เคยได้รับคำตอบใด ๆ ทำมาตลอด ม.1 2 3 เขาไม่ตอบ มารู้เอาตอนโตว่าปัจจุบันเขายังเก็บไว้อยู่)
ตอน ม.4 มีจดหมายน้อยจากรุ่นพี่ ม.5 ร่อนฝากคนรู้จักมา เปิดอ่านเป็นเนื้อเพลงทาทายัง ที่พึ่งจะเปิดอัลบั้มแรกแบบดังสุด "หากจะดูเป็นการรบกวน ก็อยากชวนเธอมารักกัน" โอว๊ๆๆๆๆ มันเป็นอะไรที่ฟินมาก
ตกเย็นก็นัดกันฟังวิทยุคลื่นวัยรุ่น ที่เด็กวัยรุ่นยุคนั้นเขาเขียน จม ไปขอเพลงกัน ดีเจ ก็จะอ่านให้แทบทุกฉบับเลย
"จากหนุ่มห้อง 5/4 TP โต๊ะหลังแถว 1 ขอเพลง มารักกันเถอะ มอบให้สาวห้อง 5/2 โต๊ะหน้า แถวสาม " แหม่...ถึงตรงนี้ล่ะกรี๊ดกันเลย...
ต่อมาเมื่อเขียนส่งกันได้ช่วงนึงก็คุยกัน รอหน้าโรงเรียนตอนเลิก คุยกันจนรถเที่ยวสุดท้ายค่อยแยกทางกัน
ตจว แถวบ้านผมนี่ถ้าใครมีโทรศัพท์บ้านนี่แสดงว่ารวยเลยล่ะ
ยุคของผมนี่มีวิขาภาษาไทย ที่คุณครูบังคับให้นักเรียนทำการเขียนจดหมายไปหาเพื่อนต่างโรงเรียนโดยที่เราไม่รู้ว่าที่เราส่งไปหานั้นเป็นหญิงหรือชาย ครูจะให้เลขห้องมาให้เราเขียนถึงคนในห้อง โดยระบุเลขที่ ให้เดาเอาน่ะครับ
ถ้าได้รับจดหมายตอบกลับนี่โคตรดีใจเพราะถือว่าผ่าน จดหมายในยุคผมนั้นสำคัญมาก
ช่วงปี 2540 - 43 ช่วงนั้นที่ฮิตสุดคือ แพคลิ้งค์ มันเป็นแฟชั่นพอๆ กับไอโฟนสมัยนี้เลยจริง พับผ่าสิ
ปี 43 ผมติดทหารเกณฑ์ ทร.43ผลัด 3 ปีที่เริ่มมีการใช้มือถือแล้ว ทั้ง nokia ericson และ motorolla กำลังเริ่มต่อสู้กัน
ผมก็ยังใช้ จม ส่งหาคนรัก ที่ส่งเท่าไรก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับ มีแต่รุ่นน้องที่เป็นหญิงเขียนมาให่กำลังใจ
จดหมายฉบับเดียวอ่านสิบเที่ยวก็ไม่เบื่อ อ่านไปยิ้มไป ส่วนคนที่รักไม่เคยที่จะตอบเล้ยยย จริงๆ
หนังสือที่ขายดีในค่ายทหาร "ศาลาคนเศร้า" ผมนี่เปิดหน้าหลังสุดเลย เพราะหลังสุดนั้นจะมีแต่คนเศร้าเหงา ขาดเพื่อน ฯลฯ
ผมเปิดดูเลือกดูคนเศร้าที่ลงรูปทิ้งที่อยู่ประกาศหาเพื่อนแก้เหงา คนนี้หน้าตาพอได้ สวย น่ารัก อยู่ใกล้ ไกล เบือกได้ก็บรรเลงจดหมายส่งไปหวังจีบ
ผลสุดท้ายคือไม่เคยได้รับการตอบรับใดๆ จากหมายเลขที่ท่านเลือก
ทั้งจดหมาย และไปรณียบัตร ผมใช้ส่งถึงเพื่อนๆ และคนที่เรารัก มันดูมีค่าจริงๆ แต่ส่วนมากกับคนที่เราชอบมักไม่ได่รับการตอบกลับ เศร้าจริงๆ
เริ่มยาวแระ รู้สึกตัวเองแก่เกินแระ แค่นี้แหละครับ มีอีกเยอะเลย รอท่านอื่นต่อ
แสดงความคิดเห็น
สมัยก่อนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จะจีบสาวนี่ลำบากตรากตรำกันขนาดไหนครับ ใครทันมาเล่าให้ฟังบ้าง (จากเด็กรุ่นใหม่)