Review Zao Kitsune mura แบบละเอียด
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยค่ะว่าเป็นนักรีวิวมือใหม่ เกิดจากความคิดง่ายๆที่ว่าอยากแชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเองก็เท่านั้น
การไปเที่ยวของเราครั้งนี้ เป็นการไปคนเดียว (一人) โดดๆเดี่ยวๆสุดๆ เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจึงมีบางส่วนที่แพง (เพราะไม่สามารถแชร์กับใครได้) และบางส่วนที่ถูก (พยายามหาที่ถูกที่สุด) สามารถนำไปวางแผนปรับใช้กับการท่องเที่ยวของเพื่อนๆได้นะคะ
เราไปญี่ปุ่น 1 สัปดาห์ พอดีค่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับแล้วประมาณ 50,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายส่วนที่แพงของเราคือตั๋วเครื่องบิน (การบินไทย) ราคาค่อนข้างสูง หากไปสายการบินโลว์คอสเจ้าอื่นสามารถได้ราคาที่ถูกกว่านี้ค่ะ และอีกส่วนที่แพงคือค่ารถไฟ เนื่องจากเราออกนอกโตเกียวไปสองครั้ง (นั่งชินคันเซ็น) ราคาตั๋วจึงค่อนข้างสูงค่ะ ดังนั้น สำหรับการรีวิวนี้จะเป็นการเดินทางไป-กลับ โตเกียว-หมู่บ้านจิ้งจอก นะคะ
เราออกจากที่พักย่านอาสากุสะประมาณ ตีห้าครึ่งค่ะ เพื่อไปให้ทันชินคันเซ็นเที่ยวแรกที่ออกจากโตเกียวในเวลา 6 โมงตรง (ประมาณตี 4 บ้านเราค่ะ) โดยสถานีชินคันเซ็นในโตเกียวจะมีอยู่แค่ไม่กี่สถานีเท่านั้นค่ะ ครั้งนี้เราขึ้นจากสถานีอุเอโนะค่ะ
ราคาตั๋วของชินคันเซ็นจะมีสองราคา คือราคาตู้จองและตู้ไม่จองค่ะ เราไปตู้ไม่จอง (ไม่ฟิกที่นั่ง) เพราะราคาจะถูกกว่าเล็กน้อย แต่เบ็ดเสร็จแล้วค่ารถไฟก็ 8,870 เยน (ประมาณ 2,400กว่าบาท) ต่อ1 เที่ยว (ไปกลับก็ 17,740 เยน ตกราวๆ 4,900กว่าบาท)
มาว่ากันด้วยการเดินทาง ขอแนะนำสำหรับท่านที่ไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นติดตัวเลยนะคะ เมื่อออกนอกโตเกียวไปยังเมืองที่ไม่ใช่เมืองใหญ่ (อย่างฟุคุโอกะหรือเซนได) เขาจะไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลยค่ะ (ภาษาญี่ปุ่นเราก็ง่อยพอดู) และ... เราหลงชานชาลา เนื่องจากสถานีรถไฟของญี่ปุ่นจะรวมรถไฟหลายๆสายเข้าด้วยกัน (และไปกันคนละทาง) เราจึงต้องถามนายสถานีทุกครั้งที่ต้องเปลี่ยนรถไฟว่าไปคันนี้ถูกหรือไม่ (กันหลง) และประโยคคลาสสิกเลยที่ต้องถามก็คือ “.....(ชื่อสถานีที่จะไป) doko e ikimasu ka?” แต่ถ้าจะถามภาษาอังกฤษก็ถาม Where Platform ไปเลยก็ได้ค่ะ แต่เค้าจะตอบกลับมาเป็นญี่ปุ่นนะ ตรงนี้ให้มองมือเอาว่าเขาชี้ไปทางไหนนะ หรือถามหมายเลขชานชาลาก็ได้ค่ะ
เว็บอ้างอิงสำหรับเที่ยวรถไฟที่ใช้ คือ เว็บนี้ค่ะ
http://www.hyperdia.com/en/ มี ทั้งเวอร์ชั่น ENG และ JP เลยค่ะมีสำหรับโหลดใช้ในมือถือทั้งแอนดรอย์และไอโฟนค่ะ ออกเดินทางจากอุเอะโนไปถึงสถานี ฟุคุชิม่า จากนั้นต่อ JR โทโฮคุ ไปยังสถานี Shiroishi ในจังหวัดมิยางิค่ะ
จากนั้นข้างนอกสถานีรถไฟ จะมีแท็กซี่จอดรออยู่ ถ้าไปกันหลายคน จะสามารถหารค่าแท็กซี่ได้ค่อนข้างคุ้มค่ะ แต่เราไปคนเดียว ไม่มีตัวหารเลย ค่าแท็กซี่ของเราจึงตกประมาณ 3,770 เยน (1,000กว่าบาท) ต่อ1 เที่ยว (ไป-กลับ 7,540เยน หรือประมาณ 2,000บาท) ตรงนี้มีทางเลือกอีกนิดนึง แต่จะขอไปพูดตอนท้ายตรงคำแนะนำนะคะ มาว่ากันเรื่องเที่ยวก่อน
พอไปถึงเจ้าหน้าที่จะอธิบายกฎ และแจ้งค่าใช้จ่ายค่ะ เด็กๆอายุต่ำกว่า 12 ปีเข้าฟรี อายุ 13 ขึ้นไปเสียค่าเข้า 1000 เยนทุกคนค่ะ สามารถซื้ออาหารสำหรับน้องจิ้งจอกกับน้องกระต่ายที่นี่เลยค่ะ (ถุงละ100เยน) สำหรับชาวต่างชาติให้ขอใบอธิบายกฎเป็นภาษาอังกฤษได้นะคะ มีแล้วค่ะ
หมู่บ้านจิ้งจอกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกันค่ะ คือส่วนที่คล้ายสวนสัตว์ (สัตว์อยู่ในกรง) จะอยู่ด้านหน้า มีจิ้งจอกที่ล่ามโซ่มีที่กั้น ให้ถ่ายรูปชัดๆ มีครอบครัวจิ้งจอกแม่ลูกอยู่ในกรง น้องกระต่ายในกรง แพะ แกะ แล้วก็ม้า ด้านหน้าเป็นส่วนที่มีคอกและกรงกั้นไว้ชัดเจนค่ะ
ส่วนที่สองที่เดินเข้าไป เจ้าหน้าที่จะแนะนำก่อนว่าเป็นส่วนที่ปล่อยน้องๆวิ่งกันเองแบบไม่ได้ขัง น้องอาจจะกัดเราได้ถ้าแตะต้องโดยไม่ระวัง เพราะฉะนั้นจะมีกฎห้ามแตะตัวสัตว์โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้อยู่ด้วยค่ะ ถ้าอยากอุ้มน้องจิ้งถ่ายรูปให้ติดต่อเจ้าหน้าที่นะคะ
น้องกระโดดใส่ค่ะ //มือสั่นเลย
ด้านในมีศาลเจ้าอินาริ อยู่ด้วยค่ะ
มีจุดสำหรับให้อาหารโดยเฉพาะ ห้ามให้อาหารจากมือโดยตรงนะคะ น้องกัดค่ะ
พอได้ขนมน้องจะเดินตามเราเยอะมาก (ติดใจ)
เราไปฤดูร้อนพอดีค่ะ ช่วงเดือนมิถุนายน ถ้ามาเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม น้องๆจิ้งจอกอาจจะมีขนร่วงกันบ้างอย่าตกใจนะคะ น้องผลัดขนค่ะ ส่วนถ้ามาฤดูหนาวขนน้องๆจะฟูฟ่องเลยล่ะค่ะ
พอออกมาด้านหน้าอีกครั้งจะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ค่ะ มีให้เลือกเยอะแยะไปหมดเลยค่ะ
ในส่วนการกลับ ถ้าเรามาแท็กซี่ เขาจะถามว่าให้มารับไหม? ถ้าตกลงให้มารับเขาจะให้เขียนเวลาว่าจะให้มารับเมื่อไหร่ค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ตกลงไว้ก็สามารถให้เจ้าหน้าที่โทรเรียกแท็กซี่คันอื่นจากหน้าสถานีมาได้ค่ะ
ทางเลือกอีกหนึ่งทางที่อาจจะประหยัดกว่านะคะ ตอนนี้ที่หมู่บ้านมีรถบัสวันละสองรอบค่ะ วิ่งจากสถานี zao-shiroishi (คนละสถานีกับที่เราลงค่ะ เราลงshiroishi) ขึ้นมาที่หมู่บ้านเลย หรือถ้าใครไปเที่ยวเซนไดก่อน ก็จะมีรถรับส่งจากวัดshiraishiค่ะ สามารถตรวจสอบการเดินทางโดยวิธีต่างๆได้ในเว็บเลยค่ะ สำหรับชาวต่างชาติตอนนี้มีภาษาอังกฤษแล้วค่า!!
http://zao-fox-village.com/
ปล. ข้อแนะนำอย่างสุดท้าย ถ้าเดินทางโดยชินคันเซ็นจากโตเกียวจะไม่ทันรถบัสของหมู่บ้านรอบแรกค่ะ ดังนั้นถ้าอยากประหยัด แนะนำให้แวะเที่ยวเซนไดซักคืน แล้วค่อยมาหมู่บ้านจิ้งจอกนะคะ <3
ขอจบการรีวิวที่หมู่บ้านเพียงเท่านี้ค่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ลงเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงค่ะ ถ้าใครอยากได้ตัวเลขแบบเป๊ะๆ มาถามได้ที่หลังไมค์นะคะ ส่วนคราวหน้าจะมารีวิวพิพิธภัณฑ์แห่งชาติโตเกียวค่ะ
[CR] Review Zao Kitsune mura (Fox Village) แบบละเอียด
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยค่ะว่าเป็นนักรีวิวมือใหม่ เกิดจากความคิดง่ายๆที่ว่าอยากแชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเองก็เท่านั้น
การไปเที่ยวของเราครั้งนี้ เป็นการไปคนเดียว (一人) โดดๆเดี่ยวๆสุดๆ เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจึงมีบางส่วนที่แพง (เพราะไม่สามารถแชร์กับใครได้) และบางส่วนที่ถูก (พยายามหาที่ถูกที่สุด) สามารถนำไปวางแผนปรับใช้กับการท่องเที่ยวของเพื่อนๆได้นะคะ
เราไปญี่ปุ่น 1 สัปดาห์ พอดีค่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับแล้วประมาณ 50,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายส่วนที่แพงของเราคือตั๋วเครื่องบิน (การบินไทย) ราคาค่อนข้างสูง หากไปสายการบินโลว์คอสเจ้าอื่นสามารถได้ราคาที่ถูกกว่านี้ค่ะ และอีกส่วนที่แพงคือค่ารถไฟ เนื่องจากเราออกนอกโตเกียวไปสองครั้ง (นั่งชินคันเซ็น) ราคาตั๋วจึงค่อนข้างสูงค่ะ ดังนั้น สำหรับการรีวิวนี้จะเป็นการเดินทางไป-กลับ โตเกียว-หมู่บ้านจิ้งจอก นะคะ
เราออกจากที่พักย่านอาสากุสะประมาณ ตีห้าครึ่งค่ะ เพื่อไปให้ทันชินคันเซ็นเที่ยวแรกที่ออกจากโตเกียวในเวลา 6 โมงตรง (ประมาณตี 4 บ้านเราค่ะ) โดยสถานีชินคันเซ็นในโตเกียวจะมีอยู่แค่ไม่กี่สถานีเท่านั้นค่ะ ครั้งนี้เราขึ้นจากสถานีอุเอโนะค่ะ
ราคาตั๋วของชินคันเซ็นจะมีสองราคา คือราคาตู้จองและตู้ไม่จองค่ะ เราไปตู้ไม่จอง (ไม่ฟิกที่นั่ง) เพราะราคาจะถูกกว่าเล็กน้อย แต่เบ็ดเสร็จแล้วค่ารถไฟก็ 8,870 เยน (ประมาณ 2,400กว่าบาท) ต่อ1 เที่ยว (ไปกลับก็ 17,740 เยน ตกราวๆ 4,900กว่าบาท)
มาว่ากันด้วยการเดินทาง ขอแนะนำสำหรับท่านที่ไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นติดตัวเลยนะคะ เมื่อออกนอกโตเกียวไปยังเมืองที่ไม่ใช่เมืองใหญ่ (อย่างฟุคุโอกะหรือเซนได) เขาจะไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลยค่ะ (ภาษาญี่ปุ่นเราก็ง่อยพอดู) และ... เราหลงชานชาลา เนื่องจากสถานีรถไฟของญี่ปุ่นจะรวมรถไฟหลายๆสายเข้าด้วยกัน (และไปกันคนละทาง) เราจึงต้องถามนายสถานีทุกครั้งที่ต้องเปลี่ยนรถไฟว่าไปคันนี้ถูกหรือไม่ (กันหลง) และประโยคคลาสสิกเลยที่ต้องถามก็คือ “.....(ชื่อสถานีที่จะไป) doko e ikimasu ka?” แต่ถ้าจะถามภาษาอังกฤษก็ถาม Where Platform ไปเลยก็ได้ค่ะ แต่เค้าจะตอบกลับมาเป็นญี่ปุ่นนะ ตรงนี้ให้มองมือเอาว่าเขาชี้ไปทางไหนนะ หรือถามหมายเลขชานชาลาก็ได้ค่ะ
เว็บอ้างอิงสำหรับเที่ยวรถไฟที่ใช้ คือ เว็บนี้ค่ะ http://www.hyperdia.com/en/ มี ทั้งเวอร์ชั่น ENG และ JP เลยค่ะมีสำหรับโหลดใช้ในมือถือทั้งแอนดรอย์และไอโฟนค่ะ ออกเดินทางจากอุเอะโนไปถึงสถานี ฟุคุชิม่า จากนั้นต่อ JR โทโฮคุ ไปยังสถานี Shiroishi ในจังหวัดมิยางิค่ะ
จากนั้นข้างนอกสถานีรถไฟ จะมีแท็กซี่จอดรออยู่ ถ้าไปกันหลายคน จะสามารถหารค่าแท็กซี่ได้ค่อนข้างคุ้มค่ะ แต่เราไปคนเดียว ไม่มีตัวหารเลย ค่าแท็กซี่ของเราจึงตกประมาณ 3,770 เยน (1,000กว่าบาท) ต่อ1 เที่ยว (ไป-กลับ 7,540เยน หรือประมาณ 2,000บาท) ตรงนี้มีทางเลือกอีกนิดนึง แต่จะขอไปพูดตอนท้ายตรงคำแนะนำนะคะ มาว่ากันเรื่องเที่ยวก่อน
พอไปถึงเจ้าหน้าที่จะอธิบายกฎ และแจ้งค่าใช้จ่ายค่ะ เด็กๆอายุต่ำกว่า 12 ปีเข้าฟรี อายุ 13 ขึ้นไปเสียค่าเข้า 1000 เยนทุกคนค่ะ สามารถซื้ออาหารสำหรับน้องจิ้งจอกกับน้องกระต่ายที่นี่เลยค่ะ (ถุงละ100เยน) สำหรับชาวต่างชาติให้ขอใบอธิบายกฎเป็นภาษาอังกฤษได้นะคะ มีแล้วค่ะ
หมู่บ้านจิ้งจอกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกันค่ะ คือส่วนที่คล้ายสวนสัตว์ (สัตว์อยู่ในกรง) จะอยู่ด้านหน้า มีจิ้งจอกที่ล่ามโซ่มีที่กั้น ให้ถ่ายรูปชัดๆ มีครอบครัวจิ้งจอกแม่ลูกอยู่ในกรง น้องกระต่ายในกรง แพะ แกะ แล้วก็ม้า ด้านหน้าเป็นส่วนที่มีคอกและกรงกั้นไว้ชัดเจนค่ะ
ส่วนที่สองที่เดินเข้าไป เจ้าหน้าที่จะแนะนำก่อนว่าเป็นส่วนที่ปล่อยน้องๆวิ่งกันเองแบบไม่ได้ขัง น้องอาจจะกัดเราได้ถ้าแตะต้องโดยไม่ระวัง เพราะฉะนั้นจะมีกฎห้ามแตะตัวสัตว์โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้อยู่ด้วยค่ะ ถ้าอยากอุ้มน้องจิ้งถ่ายรูปให้ติดต่อเจ้าหน้าที่นะคะ
น้องกระโดดใส่ค่ะ //มือสั่นเลย
ด้านในมีศาลเจ้าอินาริ อยู่ด้วยค่ะ
มีจุดสำหรับให้อาหารโดยเฉพาะ ห้ามให้อาหารจากมือโดยตรงนะคะ น้องกัดค่ะ
พอได้ขนมน้องจะเดินตามเราเยอะมาก (ติดใจ)
เราไปฤดูร้อนพอดีค่ะ ช่วงเดือนมิถุนายน ถ้ามาเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม น้องๆจิ้งจอกอาจจะมีขนร่วงกันบ้างอย่าตกใจนะคะ น้องผลัดขนค่ะ ส่วนถ้ามาฤดูหนาวขนน้องๆจะฟูฟ่องเลยล่ะค่ะ
พอออกมาด้านหน้าอีกครั้งจะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ค่ะ มีให้เลือกเยอะแยะไปหมดเลยค่ะ
ในส่วนการกลับ ถ้าเรามาแท็กซี่ เขาจะถามว่าให้มารับไหม? ถ้าตกลงให้มารับเขาจะให้เขียนเวลาว่าจะให้มารับเมื่อไหร่ค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ตกลงไว้ก็สามารถให้เจ้าหน้าที่โทรเรียกแท็กซี่คันอื่นจากหน้าสถานีมาได้ค่ะ
ทางเลือกอีกหนึ่งทางที่อาจจะประหยัดกว่านะคะ ตอนนี้ที่หมู่บ้านมีรถบัสวันละสองรอบค่ะ วิ่งจากสถานี zao-shiroishi (คนละสถานีกับที่เราลงค่ะ เราลงshiroishi) ขึ้นมาที่หมู่บ้านเลย หรือถ้าใครไปเที่ยวเซนไดก่อน ก็จะมีรถรับส่งจากวัดshiraishiค่ะ สามารถตรวจสอบการเดินทางโดยวิธีต่างๆได้ในเว็บเลยค่ะ สำหรับชาวต่างชาติตอนนี้มีภาษาอังกฤษแล้วค่า!! http://zao-fox-village.com/
ปล. ข้อแนะนำอย่างสุดท้าย ถ้าเดินทางโดยชินคันเซ็นจากโตเกียวจะไม่ทันรถบัสของหมู่บ้านรอบแรกค่ะ ดังนั้นถ้าอยากประหยัด แนะนำให้แวะเที่ยวเซนไดซักคืน แล้วค่อยมาหมู่บ้านจิ้งจอกนะคะ <3
ขอจบการรีวิวที่หมู่บ้านเพียงเท่านี้ค่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ลงเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงค่ะ ถ้าใครอยากได้ตัวเลขแบบเป๊ะๆ มาถามได้ที่หลังไมค์นะคะ ส่วนคราวหน้าจะมารีวิวพิพิธภัณฑ์แห่งชาติโตเกียวค่ะ