ตั้งแต่ จา พนม เริ่มโก อินเตอร์ ก็รอดูหนังที่ จา จะได้แสดงมาตลอด จนได้ดู Fast 7 ที่ก็ถือว่าฟิน แม้บทจะไม่เด่นสุดๆ แต่ก็ถือว่า "ดีแล้ว" สำหรับจา
ต่อมากับเรื่อง Skin trade นี่ห่วยบรรลัยในทุกๆอย่างของหนัง จนเริ่มรู้สึกว่า จา พนม จะไปต่อไหวไหม ทั้งๆที่ส่วนตัวแล้วคิดมาตลอดว่า อย่าง จา พนม เนี่ย ถ้าได้มุมกล้องและการตัดต่อของต่างประเทศเข้าช่วย น่าจะทำให้สดใหม่และดุดันขึ้นเยอะแน่ และแล้วเรื่องสุดท้าย(เท่าที่ประกาศ) ก็เข้าฉายคือ SPL 2 (ภาคแรกทำไว้สนุกดี)
เรื่องย่อก็ประมาณว่า อู๋จิง(พระเอกฝั่งฮ่องกง)เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่โดนจับมาขังไว้ที่เรือนจำในประเทศไทย โดยที่มี ชัย (จา พนม) เป็นผู้คุมนักโทษ ซึ่ง จา มีปัญหาชีวิตตรงที่ ลูกสาว เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่รอรับบริจาคเลือด(โลกกลมนิดก็ตรงที่ อู๋จิง นั้นแหละคนที่ จา รอ) ความไม่ชอบมาพากลของพัสดีในเรือนจำ ทำให้ จา เริ่มสงสัย และจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ก็มาถึงจา เมื่อต้องเลือกระหว่าง ความถูกต้อง หรือชีวิตลูกสาว.... ที่เหลือไปดูกันเองนะจ้ะ
หนังใช้เวลาปูเรื่องไม่นานเท่าไร ใช้การเล่าสลับไปมาระหว่าง ไทย กับ ฮ่องกง ซึ่งก็เล่าได้น่าสนใจดี บทหนังถึงไม่แปลกใหม่อะไร แต่ก็ถือว่าใช้ได้เลย ดึงความสนใจไว้ได้ตลอดจนจบ ซึ่งตัวละครทุกตัวก็แสดงได้ดีตามบทบาทที่ได้รับ โดยเฉพาะ จา พนม ที่มีการแสดงที่หลากหลายกว่าเดิม ซึ่งก็บอกเลยว่า ฉากดราม่า ฉากตลก อะไรพวกนั้น จา ยังแสดงได้ไม่ดีเท่าไร(ค่อนข้างแข็งๆและดูตั้งใจมากไปนิด) ไ
ด้วยความเป็นหนังฮ่องกงหรือเปล่าไม่รู้ บทพูดไทย มันฟังดูแปลกๆ หลายคำที่จา พูดกับลูกสาว มันฟังแล้วจั๊กกะจี๊ ยังไงๆอยู่ คือคนปกติทั่วไปเค้าไม่ค่อยพูดแบบนี้เท่าไร แต่ก็พอถูไถไปได้อยู่ (พัสดี พูดไทยซะชัดเชียว 55+)
เอาล่ะ ส่วนอื่นช่างมันละ ขอพูดถึงฉากแอ๊คชั่นดีกว่า SPL ภาคแรก ดอนนี่ เยน เล่นเอาไว้ได้สะใจ มันพะยะค่ะ มากๆ แต่กับภาค 2 นี้ กลับ โคตรมันพะยะค่ะ ยิ่งกว่าเดิม ท่าต่อสู้นี้จัดเต็มมาก จา ใช้มวยไทยได้โดดเด่น ถึงแม้จะไม่มีโชว์ท่ายากมากนัก แต่ทุกท่าส่วนใหญ่เป็นท่าใช้ได้จริง ดูอันตราย และดุดันมาก ส่วน อู๋จิง ก็มวยกังฟูเลย รวดเร็ว ท่าสวย แต่บางท่าก็เหมือนติด จา พนม มานะ ฮ่าๆ
ตัวพัสดีเอง ก็โคตรจะเก่ง มีสลิงเป็นพวก ท่ายากเลยมา แลดูโกงมาก 555+ แต่เล่นได้เท่มากกกก กับตัวละครนี้ไม่ขอพูดมากดีกว่า เดี๋ยวสปอย
สิ่งที่ชอบมากที่สุดเลยคือ มุมกล้องของเรื่องนี้ ที่สวยมาก ถ่ายทอดอารมณ์แต่ละซีนได้ดี ถ่ายฉากแอ๊คชั่นได้มันจริงๆ เก็บรายละเอียดมาครบ หลายๆฉากเป็น ลองเทค (ถ่ายต่อเนื่องไม่ตัดต่อ) ที่เนียนกริ๊บ การวางเฟรมภาพ แสงเงาต่างๆ มันสวยจริงแฮะ การถ่ายทำ+เพลงประกอบ+ฉากต่อสู้ มันได้ความรู้สึกถึง The Raid บ้างเหมือนกัน
ถ้า The Raid 2 มีซีนห้องครัวเป็นที่สุด งั้น SPL 2 ก็ต้องมีฉากลองเทค ในเรือนจำนั้นแหละเข้าชิง ฉากนี้สุดยอดมากกกก เพอร์เฟคทุกอย่าง ตั้งแต่มุมกล้องที่เคลื่อนตามตัวละครตลอด ความชุลมุนของตัวแสดงเป็นร้อย ฉากต่อสู้ต่อเนื่องแบบไม่หยุด ดนตรีเร้าอารมณ์ โอ้โห ฉากนี้เอาไปเลยคะแนนเต็ม
สรุปเลยว่า ใครอยากหาหนังแอ๊คชั่นมันๆ ขอได้อย่าพลาดเชียว มาลองดู จา ในบทที่ผมคิดว่า เหมาะที่สุดและดีที่สุดของเค้ากันครับ ใครที่ผิดหวังกับ hitman กับ transporter ลองตีตั๋วไปดู SPL 2 ดูนะ ผมว่าไม่ผิดหวังแน่ๆละ
ปล. เด็กที่แสดงเป็นลูกสาว จา นี้ทั้งน่ารักและแสดงเก่งนะเนี่ย
[SR] SPL 2 = หนังที่ดีที่สุดของ จา พนม
ต่อมากับเรื่อง Skin trade นี่ห่วยบรรลัยในทุกๆอย่างของหนัง จนเริ่มรู้สึกว่า จา พนม จะไปต่อไหวไหม ทั้งๆที่ส่วนตัวแล้วคิดมาตลอดว่า อย่าง จา พนม เนี่ย ถ้าได้มุมกล้องและการตัดต่อของต่างประเทศเข้าช่วย น่าจะทำให้สดใหม่และดุดันขึ้นเยอะแน่ และแล้วเรื่องสุดท้าย(เท่าที่ประกาศ) ก็เข้าฉายคือ SPL 2 (ภาคแรกทำไว้สนุกดี)
เรื่องย่อก็ประมาณว่า อู๋จิง(พระเอกฝั่งฮ่องกง)เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่โดนจับมาขังไว้ที่เรือนจำในประเทศไทย โดยที่มี ชัย (จา พนม) เป็นผู้คุมนักโทษ ซึ่ง จา มีปัญหาชีวิตตรงที่ ลูกสาว เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่รอรับบริจาคเลือด(โลกกลมนิดก็ตรงที่ อู๋จิง นั้นแหละคนที่ จา รอ) ความไม่ชอบมาพากลของพัสดีในเรือนจำ ทำให้ จา เริ่มสงสัย และจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ก็มาถึงจา เมื่อต้องเลือกระหว่าง ความถูกต้อง หรือชีวิตลูกสาว.... ที่เหลือไปดูกันเองนะจ้ะ
หนังใช้เวลาปูเรื่องไม่นานเท่าไร ใช้การเล่าสลับไปมาระหว่าง ไทย กับ ฮ่องกง ซึ่งก็เล่าได้น่าสนใจดี บทหนังถึงไม่แปลกใหม่อะไร แต่ก็ถือว่าใช้ได้เลย ดึงความสนใจไว้ได้ตลอดจนจบ ซึ่งตัวละครทุกตัวก็แสดงได้ดีตามบทบาทที่ได้รับ โดยเฉพาะ จา พนม ที่มีการแสดงที่หลากหลายกว่าเดิม ซึ่งก็บอกเลยว่า ฉากดราม่า ฉากตลก อะไรพวกนั้น จา ยังแสดงได้ไม่ดีเท่าไร(ค่อนข้างแข็งๆและดูตั้งใจมากไปนิด) ไ
ด้วยความเป็นหนังฮ่องกงหรือเปล่าไม่รู้ บทพูดไทย มันฟังดูแปลกๆ หลายคำที่จา พูดกับลูกสาว มันฟังแล้วจั๊กกะจี๊ ยังไงๆอยู่ คือคนปกติทั่วไปเค้าไม่ค่อยพูดแบบนี้เท่าไร แต่ก็พอถูไถไปได้อยู่ (พัสดี พูดไทยซะชัดเชียว 55+)
เอาล่ะ ส่วนอื่นช่างมันละ ขอพูดถึงฉากแอ๊คชั่นดีกว่า SPL ภาคแรก ดอนนี่ เยน เล่นเอาไว้ได้สะใจ มันพะยะค่ะ มากๆ แต่กับภาค 2 นี้ กลับ โคตรมันพะยะค่ะ ยิ่งกว่าเดิม ท่าต่อสู้นี้จัดเต็มมาก จา ใช้มวยไทยได้โดดเด่น ถึงแม้จะไม่มีโชว์ท่ายากมากนัก แต่ทุกท่าส่วนใหญ่เป็นท่าใช้ได้จริง ดูอันตราย และดุดันมาก ส่วน อู๋จิง ก็มวยกังฟูเลย รวดเร็ว ท่าสวย แต่บางท่าก็เหมือนติด จา พนม มานะ ฮ่าๆ
ตัวพัสดีเอง ก็โคตรจะเก่ง มีสลิงเป็นพวก ท่ายากเลยมา แลดูโกงมาก 555+ แต่เล่นได้เท่มากกกก กับตัวละครนี้ไม่ขอพูดมากดีกว่า เดี๋ยวสปอย
สิ่งที่ชอบมากที่สุดเลยคือ มุมกล้องของเรื่องนี้ ที่สวยมาก ถ่ายทอดอารมณ์แต่ละซีนได้ดี ถ่ายฉากแอ๊คชั่นได้มันจริงๆ เก็บรายละเอียดมาครบ หลายๆฉากเป็น ลองเทค (ถ่ายต่อเนื่องไม่ตัดต่อ) ที่เนียนกริ๊บ การวางเฟรมภาพ แสงเงาต่างๆ มันสวยจริงแฮะ การถ่ายทำ+เพลงประกอบ+ฉากต่อสู้ มันได้ความรู้สึกถึง The Raid บ้างเหมือนกัน
ถ้า The Raid 2 มีซีนห้องครัวเป็นที่สุด งั้น SPL 2 ก็ต้องมีฉากลองเทค ในเรือนจำนั้นแหละเข้าชิง ฉากนี้สุดยอดมากกกก เพอร์เฟคทุกอย่าง ตั้งแต่มุมกล้องที่เคลื่อนตามตัวละครตลอด ความชุลมุนของตัวแสดงเป็นร้อย ฉากต่อสู้ต่อเนื่องแบบไม่หยุด ดนตรีเร้าอารมณ์ โอ้โห ฉากนี้เอาไปเลยคะแนนเต็ม
สรุปเลยว่า ใครอยากหาหนังแอ๊คชั่นมันๆ ขอได้อย่าพลาดเชียว มาลองดู จา ในบทที่ผมคิดว่า เหมาะที่สุดและดีที่สุดของเค้ากันครับ ใครที่ผิดหวังกับ hitman กับ transporter ลองตีตั๋วไปดู SPL 2 ดูนะ ผมว่าไม่ผิดหวังแน่ๆละ
ปล. เด็กที่แสดงเป็นลูกสาว จา นี้ทั้งน่ารักและแสดงเก่งนะเนี่ย