ช่วงนี้เราเกิดนึกคึกคะ เครื่องสำอางที่มีๆไว้วันนึงมันจะกลายเป็นขยะสารเคมีที่หมดอายุ
ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลยเอาไปปล่อยต่อในเฟสบุ๊คดีกว่า
แรกๆมันก็มีดีนะคะ เพราะเราขายของมือสองคือยังไงมันก็ขาดทุนอยู่แล้วละ แต่คิดซะเอามาเปลี่ยนเป็นตังดีกว่ารอวันหมดอายุ
บางออร์เดอร์ไม่ถึงร้อยก็มีคะ ก็ขายๆไป ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าแม่ค้าออนไลน์นี่สบายมากกก วันๆไม่ต้องทำอะไรเท่าไหร่
แต่พอเราได้มาขายเอง มันเป็นงานที่เหนื่อยกว่าที่คิดนะเนี่ย จำได้ตอนไปส่งของครั้งแรก ออร์เดอร์ของเรามีสามกล่อง
ซึ่งไปรษณีย์เนี่ยเขาจะมีช่องด่วนไว้สำหรับไม่เกินสองกล่องเท่านั้น เราซึ่งมีสามก็ต้องไปต่อเรียกคิวตามปกติ
ซึ่งคิวส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพคนละไม่ต่ำกว่า20-30กล่อง ครั้งนั้นเป็นการส่งของที่นานที่สุดในชีวิต ของสามกล่องกับเวลาประมาณ2ชั่วโมง
ออนไลน์ไม่มีหน้าร้าน แต่คุณก็ต้องเฝ้าร้านอยู่ดี 555555 คิดว่าแม่ค้าที่มีลูกค้าประจำเยอะๆคงไม่รู้สึกอะไร แต่แม่ค้ามือใหม่นี่ตื่นเต้นมากคอยเฝ้ารอว่าจะมีใครสนใจสินค้าเราไหม ถามอะไรตอบไว ออนเฟสตลอดเวลาเพื่อเช็คโพส
ลูกค้า ด้วยความที่ขายของออนไลน์มันไม่เห็นภาพตัวจริง ไม่ได้จับไม่ได้คลำเนอะ ลูกค้าย่อมต้องขอรายละเอียดมากเป็นธรรมดาแล้วยิ่งเราขายของมือสองด้วยคำถามยิ่งถี่ เข้าใจคะ แต่ แต่ แต่ บางคนมาถามกันเหมือนให้ความหวังเนอะแล้วก็เงียบหายไปกับสายลม ทิ้งให้เราช้ำใจพอดู เริ่มเข้าใจร้านบางร้านละที่แม่ค้าเค้าดุ๊ดุ ถามคำตอบคำ หายเงียบไม่แจ้งบล็อค พี่เค้าคงเจอแบบนี้มาเยอะ
ลูกค้าแบบจอมต่อ ต่อเก่ง ช่างติ แค่นี้ก็ขาดทุนแล้วคะ บางคนโอเคโอนเงินมาตามจำนวนแต่มาหักคอขอเอาอีเอ็มเอสตอนหลังจากโอนเงิน ของมันก็หนักจนค่าส่งปาไปเกือบร้อย ก็ขาดทุนอีกตามเคย
ลูกค้าบางคนก็มาแนวขายซะเอง ซื้อเรา1000นึง จะขายของเรา2000 ก็ขำๆดีคะชีวิต เราขายเค้าแต่ลงท้ายด้วยเขามาขายเราทั้งนั้น
แต่เราก็ส่งของเร็วเสมอคะ เพราะเราอยู่ในฐานะลูกค้ามาก่อน ความกระวนกระวายใจว่าจะจบลงทันที่ที่แม่ค้าแจ้งเลขพัสดุมาให้ เราขายแบบไม่มีหน้าร้านไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีอะไรเลย ลูกค้าที่มาซื้อเราเขาอาศัยความเชื่อใจล้วนๆ ก็พยายามเซอวิสเขาให้ดีที่สุด พูดแล้วก็เหมือนอวยตัวเองแต่เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ที่พูดๆมาก็แค่อยากระบายคะ กำลังเกิดความกลัว เพราะปีหน้าก็จะเรียนจบแล้วยังเหวาว้าอยู่เลย
เมื่อก่อนแม่พูดตังหายากก็ไม่เคยจะคิดจริงๆจังๆมาก่อน พอได้มาหาตังเอง (ขายสมบัติ) ต้องอ้อนลูกค้าแบบสุดๆ ลดแลกแจกแถม ไปส่งของแพ็คของ คือมันจิ๊บจ้อยมากแค่นี้เรายังรู้สึกเหนื่อยเลย ก็เลยเห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น มันดูเป็นเรื่องเดิมๆที่คนเราพยายามสอนกันนะคะ แต่มันคือเรื่องจริง
เป็นแม่ค้าออนไลน์ไม่สนุกเลย
ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลยเอาไปปล่อยต่อในเฟสบุ๊คดีกว่า
แรกๆมันก็มีดีนะคะ เพราะเราขายของมือสองคือยังไงมันก็ขาดทุนอยู่แล้วละ แต่คิดซะเอามาเปลี่ยนเป็นตังดีกว่ารอวันหมดอายุ
บางออร์เดอร์ไม่ถึงร้อยก็มีคะ ก็ขายๆไป ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าแม่ค้าออนไลน์นี่สบายมากกก วันๆไม่ต้องทำอะไรเท่าไหร่
แต่พอเราได้มาขายเอง มันเป็นงานที่เหนื่อยกว่าที่คิดนะเนี่ย จำได้ตอนไปส่งของครั้งแรก ออร์เดอร์ของเรามีสามกล่อง
ซึ่งไปรษณีย์เนี่ยเขาจะมีช่องด่วนไว้สำหรับไม่เกินสองกล่องเท่านั้น เราซึ่งมีสามก็ต้องไปต่อเรียกคิวตามปกติ
ซึ่งคิวส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพคนละไม่ต่ำกว่า20-30กล่อง ครั้งนั้นเป็นการส่งของที่นานที่สุดในชีวิต ของสามกล่องกับเวลาประมาณ2ชั่วโมง
ออนไลน์ไม่มีหน้าร้าน แต่คุณก็ต้องเฝ้าร้านอยู่ดี 555555 คิดว่าแม่ค้าที่มีลูกค้าประจำเยอะๆคงไม่รู้สึกอะไร แต่แม่ค้ามือใหม่นี่ตื่นเต้นมากคอยเฝ้ารอว่าจะมีใครสนใจสินค้าเราไหม ถามอะไรตอบไว ออนเฟสตลอดเวลาเพื่อเช็คโพส
ลูกค้า ด้วยความที่ขายของออนไลน์มันไม่เห็นภาพตัวจริง ไม่ได้จับไม่ได้คลำเนอะ ลูกค้าย่อมต้องขอรายละเอียดมากเป็นธรรมดาแล้วยิ่งเราขายของมือสองด้วยคำถามยิ่งถี่ เข้าใจคะ แต่ แต่ แต่ บางคนมาถามกันเหมือนให้ความหวังเนอะแล้วก็เงียบหายไปกับสายลม ทิ้งให้เราช้ำใจพอดู เริ่มเข้าใจร้านบางร้านละที่แม่ค้าเค้าดุ๊ดุ ถามคำตอบคำ หายเงียบไม่แจ้งบล็อค พี่เค้าคงเจอแบบนี้มาเยอะ
ลูกค้าแบบจอมต่อ ต่อเก่ง ช่างติ แค่นี้ก็ขาดทุนแล้วคะ บางคนโอเคโอนเงินมาตามจำนวนแต่มาหักคอขอเอาอีเอ็มเอสตอนหลังจากโอนเงิน ของมันก็หนักจนค่าส่งปาไปเกือบร้อย ก็ขาดทุนอีกตามเคย
ลูกค้าบางคนก็มาแนวขายซะเอง ซื้อเรา1000นึง จะขายของเรา2000 ก็ขำๆดีคะชีวิต เราขายเค้าแต่ลงท้ายด้วยเขามาขายเราทั้งนั้น
แต่เราก็ส่งของเร็วเสมอคะ เพราะเราอยู่ในฐานะลูกค้ามาก่อน ความกระวนกระวายใจว่าจะจบลงทันที่ที่แม่ค้าแจ้งเลขพัสดุมาให้ เราขายแบบไม่มีหน้าร้านไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีอะไรเลย ลูกค้าที่มาซื้อเราเขาอาศัยความเชื่อใจล้วนๆ ก็พยายามเซอวิสเขาให้ดีที่สุด พูดแล้วก็เหมือนอวยตัวเองแต่เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ที่พูดๆมาก็แค่อยากระบายคะ กำลังเกิดความกลัว เพราะปีหน้าก็จะเรียนจบแล้วยังเหวาว้าอยู่เลย
เมื่อก่อนแม่พูดตังหายากก็ไม่เคยจะคิดจริงๆจังๆมาก่อน พอได้มาหาตังเอง (ขายสมบัติ) ต้องอ้อนลูกค้าแบบสุดๆ ลดแลกแจกแถม ไปส่งของแพ็คของ คือมันจิ๊บจ้อยมากแค่นี้เรายังรู้สึกเหนื่อยเลย ก็เลยเห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น มันดูเป็นเรื่องเดิมๆที่คนเราพยายามสอนกันนะคะ แต่มันคือเรื่องจริง