ที่มาตั้งกะทู้ชักชวนก็เพราะว่า กะทู้ลักษณะบทความ เริ่มจะหายลดน้อยลงไปจากห้องการเมืองทุกที ซึ่งก็เข้าใจว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน ไม่เว้นแม้แต่การแสดงความเห็นทางการเมือง ซึ่งกลายเป็นรูปแบบสำเร็จรูป ประเภทเปิดกะทู้มาก็ด่า ด่า ด่า แล้วก็จบ ถามว่ากะทู้แบบนี้ให้อะไรกับสังคมบ้าง คำตอบคือ ไม่เลย แค่เป็นการสนองอารมณ์ของตนเองเพียงเท่านั้น มิได้เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแต่อย่างใด อาจจะมีฝ่ายตรงข้าม เข้ามา ด่า ด่า ด่า ตอบโต้บ้าง หรือมีฝ่ายเดียวกัน ช่วยมาอวยเจ้าของกะทู้ แล้วก็ ด่า ด่า ด่า ตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามกลับไป และก็กลายเป็นกะทู้ที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรต่อผู้เข้ามาอ่านเลย นอกจากสนองอารมณ์ของตัวเอง
หลายๆคนอาจจะคิดว่าไม่เอาอ่ะ ไม่เคยเขียน ยาก เสียเวลา ซึ่งผมในฐานะที่เขียนบทความมาก่อนก็จะขออนุญาตแนะนำเพื่อนพ้องน้องพี่ ท่านที่สนใจได้ใช้เป็นแนวทางในการเขียนบทความของตัวเองกันนะครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเคร่งเครียดจนเกินไป ผมขอแนะนำในรูปแบบของผมคือสนุกสนานนะครับ
ผมจะแบ่งเป็นสองขั้นตอนนะครับ คือก่อนอแสดงความเห็น และแสดงความเห็นในรูปของบทความอย่างไรให้เป็นที่นิยม
ปฐมบทการเขียนบทความ
ทุกการเดินทางต้องมีการเตรียมตัว
ไม่เว้นแม้แต่การหาหอยในดอยกว้าง........ซึ่งไม่เกี่ยว..เตี้ย..อะไรกับการเขียนบทความเลย ผมแค่อยากเขียนขึ้นมาเฉยๆ เพราะชอบคำว่า
หาหอยในดอยกว้าง เป็นพิเศษ ไม่รู้ใครคิดคำนี้ขึ้นมา หัวสมองมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
ในการแสดงความเห็นในที่สาธารณะนั้น ผุ้รักประชาธิปไตยมือใหม่ต้องเตรียมตัวก่อนครับ
ด้วยการ
1. วางโครงสร้างของบทความทั้งหมดเอาไว้ว่ามีขอบเขตแค่ไหน มีกี่ภาค
บางคนจินตนาการบรรเจิดเลิศภพจบแดนมาก
แต่คิดฟุ้งซ่านขาดการวางแผน ไม่มีการขึ้นโครงเป็นกิจจะลักษณะ
ก็จะทำให้พลาดในการออกภาคต่อได้ เพราะปลิวไปซะก่อน
2. จำกัดความยาวของเรื่องให้ดี
ยุคนี้คนไทยสมาธิสั้น บทความยาว ๆ หาคนอ่านยากยากถ้าไม่รักจริง
เค้าให้สูตรมาครับว่ามาตรฐานคนไทย 7 บรรทัด
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่ารู้ตามนี้แล้วจะไปเขียนแต่คำด่าตั้งแต่บรรทัดที่ 1 ถึงบรรทัดที่ 7 นะครับ เรายังไม่ต้องโชว์ความฉลาดถึงขั้นนั้น และผมก็คงไม่ต้องใส่วงเล็บแล้วพิมพ์ว่า ข้าพเจ้าประชด ก็หวังว่าคงจะเข้าใจกันได้ไม่ยากนะครับ
ส่วนเนื้อหาในกะทู้ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะต้องการสื่อสารให้กับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยแล้วอยากเขียนบทความได้อ่านกันอย่างละเอียด (ตอบตรงๆ ว่าตัวเองก็เขียนไม่ได้เหมือนกันครับ แค่ 7 บรรทัดเอง จนอยากจะคร่ำครวญออกมาว่า บทความนะโว้ย ไม่ใช่เขียนด่าพ่อใครในห้องน้ำ จะได้สั้นๆเข้าใจง่าย) ได้ระบายไปหน่อยแล้ว ก็กลับมาคุยกันต่อ
เพราะบางคนเวิ่นเว้อครับ บรรยายซ้ำซ้อน ไดอะล็อกซ้ำซาก
ส่วนไหนไม่จำเป็นก็ปล่อยฟุ้ง ทีส่วนสำคัญละเขียนมานิดเดียว
ให้ความสำคัญผิดจุด ดังนั้นการเขียนบทความให้จบ แล้วตลบกลับมาอ่านใหม่อีกรอบ
จะเห็นว่า เ.ตี้ย!! ข้าพเจ้า(นึกถึงภาษาไทยพ่อขุนกันเอาเองนะครับ)ทำอะไรลงไปครับเนี่ยคุณพระรอง!!!
ดังนั้นกำหนดทิศทางของบทความให้ดี เขียนให้กระชับที่สุด
และเมื่อเขียนจนจบแล้ว ก่อนจะโพสต์ ก็ตั้งภาวนาอธิฐานจิตระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ พระคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ท่องนะโม3จบแล้วก็โพสต์ลงไป ซึ่งจะผ่านหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่แต่กรรมที่สั่งสมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนของแต่ล่ะคน สำหรับตัวผู้เขียนเอง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นคนบาปหนาติดตัวมาจากชาติปางก่อนอยู่มั้ง โพสต์ทีไร ก็ผิดศีลธรรม อันดี อยู่บ่อยครั้ง
แต่เมื่อโพสต์บทความสำเร็จแล้ว บางทีกลับไม่ได้รับความนิยมหรือสนใจจากผู้อ่านเลย ก็ขอแนะนำว่าให้ลองไปดูกะทู้ที่ได้รับความสนใจที่โพสต์โดยคนบางกลุ่ม ว่าเขาทำกันอย่างไร
ซึ่งมีหลักการของพวกเขาก็ง่ายๆไม่กี่อย่างให้จำไปใช้กัน
1.ด่าแม้ว เกลียดปู ชูมาร์ค หรือเขียนบุคคลสาธารณะที่เป็นที่นิยมของคนหมู่มาก เพราะคนเหล่านี้อาสาเป็นตัวแทนประชาชน จะดีจะชั่ว เราสามารถชมด่าได้อย่างเต็มที่ (ถึงดีแค่ไหนแต่ก็จะด่า) และกะทู้ของเราก็จะได้รับความสนใจ เพราะใครๆก็อยากแสดงความรู้สึกที่มีของตัวเองเกี่ยวกับตัวแทนของเขา
ข้อความที่พิมพ์ลงไปก็ไม่ต้องใช้สติปัญญามากนัก หรือคนเขียนกะทู้เหล่านั้นตั้งใจใช้สมองเต็มที่แล้ว แต่มันได้แค่นั้นจริงๆก็ไม่รู้นะครับ
ส่วนบุคคลที่ไม่ได้อาสามาเป็นตัวแทน แต่เข้าเพราะจิตสำหนึกรักชาติมากกว่าใครๆ หากว่าลิ้นคุณไม่แข็งแรงพอจะก้มลงไปเลียเท้าใคร ก็อย่าได้ไปพยายามเอ่ยถึง ให้บทความของเรานำเอาเสนียดราคีไป เปรอะเปื้อนท่านเหล่านั้นเลย ซึ่งเป็นข้อห้ามพึงระวัง หากต้องการให้กะทู้และล็อคอินอยู่รอดปลอดภัย
2.คือตั้งกะทู้ในลักษณะแบบข้อ 1 วนเวียนซ้ำๆไปเรื่อยๆ ทำตัวเป็นพวกโรคจิต ต้องการให้คนด่าเพื่อเป็นการบำบัดอาการตัวเอง
จดจำไว้แค่นี้แหละครับ กะทู้ของเราจะได้เป็นที่นิยม
แต่ถ้าท่านตะขิดตะขวงใจที่จะทำเช่นนั้น ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมเองก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้นเช่นกัน เพราะมันเป็นการกระทำของคนบ้า ที่เอามาบอกเล่า ก็เพื่อจะได้เตือนกันไว้ ว่าอย่าได้ไปใส่ใจกับกะทุ้ไร้ราคาเช่นนี้เลย ส่วนรูปแบบการเขียนบทความนั้นไม่มีหลักตายตัว ขอเพียงแค่สื่อความหมายของเจตนาผู้เขียนออกมาให้ได้ในข้อความที่เขียนลงไปแค่นั้นก็พอแล้ว
*เนื้อหาข้างบนมิใช่สาระสำคัญใดๆ สาระที่แท้จริงของกะทู้นี้ มีแค่ 7 บรรทัดบนสุดนั้นแหละ ที่แค่อยากชักชวนปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย มาร่วมกันเขียนบทความที่น่าอ่านกันอีกครั้งเถอะครับ เชื่อว่ายังมีหลายๆคนรออ่านบทความดีๆที่ตั้งใจเขียนมาให้อ่านกันอยู่ ผมเองก็จะกลับมาเริ่มเขียนใหม่อีกครั้ง แม้จะมีคนอ่านน้อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงอย่างน้อยก็ได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ได้กระทำเรื่องดีๆให้สมกับความรู้และสติปัญญาของตนเอง
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
ผมเขียนของผมจบแล้ว กำลังตั้งนะโม 3 จบ เพื่อหวังว่า ข้อความของผมจะสามารถส่งผ่านไปให้คนที่ต้องการเขียนบทความได้อ่านกันนะครับ เพี้ยง..........
ชักชวนพี่น้องเพื่อนพ้อง แสดงความเห็นดีๆผ่านรูปแบบบทความ
หลายๆคนอาจจะคิดว่าไม่เอาอ่ะ ไม่เคยเขียน ยาก เสียเวลา ซึ่งผมในฐานะที่เขียนบทความมาก่อนก็จะขออนุญาตแนะนำเพื่อนพ้องน้องพี่ ท่านที่สนใจได้ใช้เป็นแนวทางในการเขียนบทความของตัวเองกันนะครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเคร่งเครียดจนเกินไป ผมขอแนะนำในรูปแบบของผมคือสนุกสนานนะครับ
ผมจะแบ่งเป็นสองขั้นตอนนะครับ คือก่อนอแสดงความเห็น และแสดงความเห็นในรูปของบทความอย่างไรให้เป็นที่นิยม
ปฐมบทการเขียนบทความ
ทุกการเดินทางต้องมีการเตรียมตัว
ไม่เว้นแม้แต่การหาหอยในดอยกว้าง........ซึ่งไม่เกี่ยว..เตี้ย..อะไรกับการเขียนบทความเลย ผมแค่อยากเขียนขึ้นมาเฉยๆ เพราะชอบคำว่า หาหอยในดอยกว้าง เป็นพิเศษ ไม่รู้ใครคิดคำนี้ขึ้นมา หัวสมองมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
ในการแสดงความเห็นในที่สาธารณะนั้น ผุ้รักประชาธิปไตยมือใหม่ต้องเตรียมตัวก่อนครับ
ด้วยการ
1. วางโครงสร้างของบทความทั้งหมดเอาไว้ว่ามีขอบเขตแค่ไหน มีกี่ภาค
บางคนจินตนาการบรรเจิดเลิศภพจบแดนมาก
แต่คิดฟุ้งซ่านขาดการวางแผน ไม่มีการขึ้นโครงเป็นกิจจะลักษณะ
ก็จะทำให้พลาดในการออกภาคต่อได้ เพราะปลิวไปซะก่อน
2. จำกัดความยาวของเรื่องให้ดี
ยุคนี้คนไทยสมาธิสั้น บทความยาว ๆ หาคนอ่านยากยากถ้าไม่รักจริง
เค้าให้สูตรมาครับว่ามาตรฐานคนไทย 7 บรรทัด
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่ารู้ตามนี้แล้วจะไปเขียนแต่คำด่าตั้งแต่บรรทัดที่ 1 ถึงบรรทัดที่ 7 นะครับ เรายังไม่ต้องโชว์ความฉลาดถึงขั้นนั้น และผมก็คงไม่ต้องใส่วงเล็บแล้วพิมพ์ว่า ข้าพเจ้าประชด ก็หวังว่าคงจะเข้าใจกันได้ไม่ยากนะครับ
ส่วนเนื้อหาในกะทู้ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะต้องการสื่อสารให้กับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยแล้วอยากเขียนบทความได้อ่านกันอย่างละเอียด (ตอบตรงๆ ว่าตัวเองก็เขียนไม่ได้เหมือนกันครับ แค่ 7 บรรทัดเอง จนอยากจะคร่ำครวญออกมาว่า บทความนะโว้ย ไม่ใช่เขียนด่าพ่อใครในห้องน้ำ จะได้สั้นๆเข้าใจง่าย) ได้ระบายไปหน่อยแล้ว ก็กลับมาคุยกันต่อ
เพราะบางคนเวิ่นเว้อครับ บรรยายซ้ำซ้อน ไดอะล็อกซ้ำซาก
ส่วนไหนไม่จำเป็นก็ปล่อยฟุ้ง ทีส่วนสำคัญละเขียนมานิดเดียว
ให้ความสำคัญผิดจุด ดังนั้นการเขียนบทความให้จบ แล้วตลบกลับมาอ่านใหม่อีกรอบ
จะเห็นว่า เ.ตี้ย!! ข้าพเจ้า(นึกถึงภาษาไทยพ่อขุนกันเอาเองนะครับ)ทำอะไรลงไปครับเนี่ยคุณพระรอง!!!
ดังนั้นกำหนดทิศทางของบทความให้ดี เขียนให้กระชับที่สุด
และเมื่อเขียนจนจบแล้ว ก่อนจะโพสต์ ก็ตั้งภาวนาอธิฐานจิตระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ พระคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ท่องนะโม3จบแล้วก็โพสต์ลงไป ซึ่งจะผ่านหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่แต่กรรมที่สั่งสมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนของแต่ล่ะคน สำหรับตัวผู้เขียนเอง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นคนบาปหนาติดตัวมาจากชาติปางก่อนอยู่มั้ง โพสต์ทีไร ก็ผิดศีลธรรม อันดี อยู่บ่อยครั้ง
แต่เมื่อโพสต์บทความสำเร็จแล้ว บางทีกลับไม่ได้รับความนิยมหรือสนใจจากผู้อ่านเลย ก็ขอแนะนำว่าให้ลองไปดูกะทู้ที่ได้รับความสนใจที่โพสต์โดยคนบางกลุ่ม ว่าเขาทำกันอย่างไร
ซึ่งมีหลักการของพวกเขาก็ง่ายๆไม่กี่อย่างให้จำไปใช้กัน
1.ด่าแม้ว เกลียดปู ชูมาร์ค หรือเขียนบุคคลสาธารณะที่เป็นที่นิยมของคนหมู่มาก เพราะคนเหล่านี้อาสาเป็นตัวแทนประชาชน จะดีจะชั่ว เราสามารถชมด่าได้อย่างเต็มที่ (ถึงดีแค่ไหนแต่ก็จะด่า) และกะทู้ของเราก็จะได้รับความสนใจ เพราะใครๆก็อยากแสดงความรู้สึกที่มีของตัวเองเกี่ยวกับตัวแทนของเขา
ข้อความที่พิมพ์ลงไปก็ไม่ต้องใช้สติปัญญามากนัก หรือคนเขียนกะทู้เหล่านั้นตั้งใจใช้สมองเต็มที่แล้ว แต่มันได้แค่นั้นจริงๆก็ไม่รู้นะครับ
ส่วนบุคคลที่ไม่ได้อาสามาเป็นตัวแทน แต่เข้าเพราะจิตสำหนึกรักชาติมากกว่าใครๆ หากว่าลิ้นคุณไม่แข็งแรงพอจะก้มลงไปเลียเท้าใคร ก็อย่าได้ไปพยายามเอ่ยถึง ให้บทความของเรานำเอาเสนียดราคีไป เปรอะเปื้อนท่านเหล่านั้นเลย ซึ่งเป็นข้อห้ามพึงระวัง หากต้องการให้กะทู้และล็อคอินอยู่รอดปลอดภัย
2.คือตั้งกะทู้ในลักษณะแบบข้อ 1 วนเวียนซ้ำๆไปเรื่อยๆ ทำตัวเป็นพวกโรคจิต ต้องการให้คนด่าเพื่อเป็นการบำบัดอาการตัวเอง
จดจำไว้แค่นี้แหละครับ กะทู้ของเราจะได้เป็นที่นิยม
แต่ถ้าท่านตะขิดตะขวงใจที่จะทำเช่นนั้น ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมเองก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้นเช่นกัน เพราะมันเป็นการกระทำของคนบ้า ที่เอามาบอกเล่า ก็เพื่อจะได้เตือนกันไว้ ว่าอย่าได้ไปใส่ใจกับกะทุ้ไร้ราคาเช่นนี้เลย ส่วนรูปแบบการเขียนบทความนั้นไม่มีหลักตายตัว ขอเพียงแค่สื่อความหมายของเจตนาผู้เขียนออกมาให้ได้ในข้อความที่เขียนลงไปแค่นั้นก็พอแล้ว
*เนื้อหาข้างบนมิใช่สาระสำคัญใดๆ สาระที่แท้จริงของกะทู้นี้ มีแค่ 7 บรรทัดบนสุดนั้นแหละ ที่แค่อยากชักชวนปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย มาร่วมกันเขียนบทความที่น่าอ่านกันอีกครั้งเถอะครับ เชื่อว่ายังมีหลายๆคนรออ่านบทความดีๆที่ตั้งใจเขียนมาให้อ่านกันอยู่ ผมเองก็จะกลับมาเริ่มเขียนใหม่อีกครั้ง แม้จะมีคนอ่านน้อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงอย่างน้อยก็ได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ได้กระทำเรื่องดีๆให้สมกับความรู้และสติปัญญาของตนเอง
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
ผมเขียนของผมจบแล้ว กำลังตั้งนะโม 3 จบ เพื่อหวังว่า ข้อความของผมจะสามารถส่งผ่านไปให้คนที่ต้องการเขียนบทความได้อ่านกันนะครับ เพี้ยง..........