ไม่ค่อยได้เข้ามาตั้งกระทู้นะคะ ถ้าผิดพลาดอะไร ก็ขออภัยไว้ด้วยค่ะ
เราอยากแชร์ประสบการณ์ เผื่อว่า ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับแม่ๆ หรือ ผู้ที่มีอาการตาเหล่ค่ะ
ข้อมูลนี้เป็นการเล่าผ่านประสบการณ์ของเรานะคะ และถ้าหากคำศัพท์ที่ใช้ไม่ตรงกับหลักการแพทย์ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
เรามีลูกเป็นเด็กพิเศษค่ะ พิเศษในกรณีของเราคือ ลูกเรามีพัฒนาการช้าในทุกๆด้านซึ่งเป็นปัญหาจากสมองค่ะ
คุณหมอบอกว่า ลูกเราสมองช้า สิ่งที่ชัดเจนคือลูกเราเป็นเด็กพูดช้าและมีปัญหาในหลายๆ ด้าน ถ้าเล่าจะยาวมาก...ตรงส่วนนี้จึงขอข้ามไปนะคะ
ตาเหล่เป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดจากพัฒนาการช้า เพราะกล้ามเนื้อตาพัฒนาไม่เต็มที่ ลูกเราไม่ได้มีอาการตาเหล่ตลอดวันค่ะ
จะเป็นในช่วงที่ง่วงนอน ร่างกายไม่สดชื่น เหนื่อย หรือไม่สบาย และเป็นทั้ง 2 ข้างสลับกัน บางครั้งตาซ้ายเหล่ออก บางครั้งตาขวาเหล่ออก และเคยมีบ้างที่เหล่ออกทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน แต่ไม่บ่อย ซึ่งปัญหานี้เราเริ่มสังเกตเห็นตอนลูกอายุ 2 เดือน แต่แฟนเราบอกว่า เพราะเด็กยังไม่มีดั้ง เป็นอาการปกติ
เราเคยเอาเรื่องนี้ไปถามคุณยาย(แม่เรา) คุณยายบอกเหมือนแฟนเราเลยค่ะ บอกว่าเราคิดมากไปเอง...
อายุ 2 เดือน จะเห็นว่าตาขวาเหล่ออก
อายุ 2 เดือน จะเห็นว่าตาซ้ายเหล่ออก ถ่ายวันเดียวกัน ช่วงเวลาเดียวกัน
อายุ 7 เดือน ภาพนี้ดูตาปกติ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้
ตอนอายุ 2 ขวบ จะเห็นว่า ส่วนมากตาจะไม่เหล่ พอมีอาการให้เห็นบ้างนิดหน่อย ทุกคนจึงคิดว่าเราคิดมากเกินไป
ลูกเรามีอาการแบบนี้เรื่อยมา จนน้องอายุเกือบ 3 ขวบ เราเห็นว่าลูกชอบจ้องทีวีแบบใกล้ๆ และมักจะหยีตา เพ่งบ้าง ทำคิ้วชนกันบ้าง เราจึงพาลูกไปตรวจสายตาที่ รพ. เอกชนแห่งหนึ่งแถวสีลม ผลการตรวจให้รู้ว่า ลูกเราสายตายาว ยาว 300 กว่าๆ 2 ข้างไม่เท่ากัน... เราตกใจมาก ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกมองเห็นไม่ชัด เพราะเราใช้ลูกหยิบอะไร เค้าก็ทำได้ตลอด... นี่เราพลาดอะไรไป ทำไมถึงไม่เคยรู้เลยว่า ลูกมองไม่ชัด... คุณหมอเอาเลนส์ที่วัดค่าสายตาลูกมาให้เรามองผ่าน แล้วบอกว่า ลูกคุณเห็นภาพแบบนี้อยู่ สายตายาวในเด็กไม่เหมือนกับในผู้ใหญ่ มองใกล้ก็ไม่ชัด มองไกลก็ไม่ชัด... สิ่งที่เราเห็นคือ มันเบลอไปหมด
คุณหมอแนะนำให้ใส่แว่นค่ะ เพื่อปรับกล้ามเนื้อตา โดยคุณหมอบอกว่า ค่าของแว่นที่ให้จะต่ำกว่าที่วัดได้จริงนิดหน่อย เพื่อให้ร่างกายปรับสายตาและวันนั้นเอง ลูกเราได้แว่นตากลับบ้านมา คุณหมอให้พยายามใส่แว่นตลอดเวลา และปิดตา สลับข้างกัน เพื่อกระตุ้นให้ตาด้านที่มีปัญหาให้ใช้งานมากขึ้น ให้ทำให้ได้อย่างน้อย วันละ 30 นาทีต่อข้าง
เย็นวันนั้นเอง วันแรกที่ลูกเราใส่แว่นตา อยู่ๆ ลูกเราก็เดินเข้ามาหาเรา แล้วเอามือมาลูบหน้าเรา แล้วยิ้มให้เราค่ะและเรียกชื่อเราค่ะ
ความรู้สึกตอนนั้น ตัวเราชาไปหมด กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เราดึงลูกเข้ามากอด น่าสงสารเหลือเกิน ลูกของแม่ กว่าแม่จะรู้หนูก็มองไม่ชัดมาเกือบ 3 ปีแล้ว
แว่นตาอันแรก กรอบนี้เราซื้อไว้สำรอง 2 อันนะคะ แบบเดียว สีเดียวกัน เพราะกลัวหายาก
เป็นแบบที่มีสายรัดด้านหลัง
จะเห็นว่า ลูกเรามีท่างมองแปลกๆ ชอบมองใกล้ๆ แบบนี้ค่ะ
โดยทั่วๆ ไปการใส่แว่นคงช่วยให้มองได้ดีขึ้นแน่ๆ ค่ะ
แต่สำหรับการเขียนแล้ว คงเป็นเรื่องที่ทุกข์ใจสำหรับเค้า เค้าทำได้ไม่ดี แต่สาเหตุมาจากทั้งกล้ามเนื้อ พัฒนาการ และสายตา
เรารักษากับคุณหมอท่านนี้อยู่ประมาณ เกือบปี โดยคุณหมอจะนัด ทุกๆ 1 เดือนบ้าง
2 เดือนบ้าง 3 เดือนบ้าง เพื่อทำการวัดค่าสายตา และเปลี่ยนแว่น จนในที่สุดคุณหมอขอทำการผ่าตัด เพื่อดึงกล้ามเนื้อตาค่ะ
และให้ยาหยอดตาเรามา เพื่อให้หยอดตาก่อน 3 วัน แล้วพาไปให้คุณหมอวัดมุม เพื่อทำการผ่าตัด ... ตอนนั้น เราก็คิดว่า ควรหา second opinion
ต่อมา เราจึงไปหาคุณหมออีกท่าน ที่ รพ.เอกชนอีกแห่งย่านสีลมเช่นเดียวกันค่ะ โดยเอาประวัติการรักษาจาก รพ แรกไปด้วยทั้งหมด
เมื่อเราได้พบคุณหมอท่านที่สองนี้ เราก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่ปัญหาพัฒนาการช้า จนมาถึงเรื่องของสายตา
เราก็บอกตรงๆ ว่า มาขอ second opinion ว่า ควรรักษาอย่างไร การผ่าตัดจะตอบโจทย์ไหม เพราะฟังดูแล้วเรารู้สึกกลัวนะ
พอคุณหมอวัดค่าแว่น และสายตา คุณหมอบอกว่า ลูกคุณสายตายาวมากกว่า 300 นะ ข้างซ้ายยาวประมาณ 500 กว่าๆ
ข้างขวา ยาวประมาณ 300 กว่าๆ แต่ที่น่าห่วงคือ ลูกคุณสายตาเอียง!!! เอียง 150 ได้ แต่แว่นที่ลูกคุณใส่อยู่ไม่มีเรื่องเอียงเลย
เราก็มึนค่ะ...มึนตั้งแต่วิธีการตรวจแล้ว... คุณหมอคนแรก ใช้การหยอดยาขยายม่านตา และตรวจแบบทุกข์ทรมาน
มีการรุมกันจับ จับน้องแหกตา ทุกครั้งที่ไปหาคุณหมอคนแรก ลูกเราจะกลับมาตาช้ำ...ซึ่งเราเห็นเด็กคนอื่น ก็ประมาณเดียวกัน
ยกเว้น เด็กๆ ที่คุยกันรู้เรื่อง ถ้าเป็นเด็กเล็กหรือเด็กที่ไม่ให้ความร่วมมือ จะมีคนช่วยกันจับ เด็กก็จะร้อง
ส่วนคุณหมอที่ รพ. ที่ 2 นี้ เค้าคุยกะเราไป ก็ยกอุปกรณ์มาหลอกล่อไป คุณหมอท่านนี้ก็บอกว่า การปรับด้วยแว่นตาก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
การผ่าตัด ก็แก้ปัญหาได้ดีและตรงจุด ซึ่งสุดท้ายแล้วหากใช้แว่นปรับสายตาไม่ได้แล้ว ก็ต้องผ่าตัดแน่นอน แต่ก่อนจะทำการผ่าตัดได้ ต้องมั่นใจก่อนว่า ได้มุมที่ถูกต้อง แต่หมอก็ไม่เข้าใจว่า คุณหมอท่านนั้นจะได้มุมที่ถูกต้องได้อย่างไร ในเมื่อน้องสายตาเอียงมากขนาดนี้ แต่คุณหมอเหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้เลย.....
เมื่อถึงจุดนี้ เราคิดว่า เราต้องหา third opinion ... คงเป็นโชคดีของเรา เราโทรไปที่จักษุรัตนิน เพื่อหาคิวคุณหมอปกป้อง
เราโทรวันศุกร์ ได้คิววันเสาร์เลย เราเคยโทรมาเช็คที่นี่ครั้งแรก ก่อนที่จะหาคุณหมอท่านแรก แต่รอคิวนานมาก เราเลยพาไปรักษาที่ รพ.ที่ 1 ก่อน... สุดท้าย เราก็ต้องกลับมาที่นี่
เมื่อเล่าเหตุการณ์ให้คุณหมอปกป้อง ฟังทั้งหมดแล้ว คุณหมอก็ตรวจสายตาลูกเรา คุณหมอโยนแว่นตาที่ลูกเราใส่ทิ้ง... โยนทิ้งจริงๆ ค่ะ บอกว่า แว่นใช้ไม่ได้ ไม่ต้องเอามาใส่อีกนะ เก็บไปเลย .... คุณแม่เริ่มใหม่ทั้งหมดกับผมนะ... แล้วคุณหมอก็วัดสายตาค่ะ วิธีการวัดเป็นแบบอุปกรณ์ดีเด่นค่ะ มีทีวีเปิดการ์ตูน มีรูปภาพวิ่งบนจนทีวี มีกระต่ายเต้นระบำ มีอุปกรณ์หมุนๆ มีแสง มีไฟวิ่ง มีเสียง มีของเล่นเยอะมาก... วัดแป๊บเดียวเสร็จ และปล่อยให้เด็กซุกซนตามสบาย...คล้ายๆ กับ คุณหมอคนที่ 2 แต่บรรยากาศดีกว่ามาก จากนั้นก็คุยกับเราค่ะ คุณหมอบอกว่า ตอนนี้ไม่ต้องไปสนใจนะ ว่าตาเอียงเท่าไหร่ ยาวเท่าไหร่ ขอให้เริ่มจากแว่นตาก่อน ตอนนี้ต้องพยายามหาแว่นตาที่ดี ดีในที่นี้คือเหมาะกับสายตาให้ได้ ผมอาจจะเปลี่ยนแว่นบ่อย อย่าว่าผมเลยนะ... เด็กบางคนไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ใช้แว่นปรับเอาได้...แต่บางคน สุดท้ายแล้วก็ต้องผ่าตัด อย่าเพิ่งไปคิดอะไร ตอนนี้หาแว่นที่ใช่ให้เค้า ให้เค้าใช้สายตาให้เต็มที่ คิดเท่านี้พอ!!!
เมื่อถึงตอนนี้ คุณหมอจึงสั่งให้ไปหยอดยา แล้วก็วัดสายตากับเจ้าหน้าที่ แล้วจึงมาพบคุณหมออีกครั้ง คุณหมอวัดสายตาอีกครั้งและสั่งให้พนักงานเขียนใบให้เราเอาไปตัดแว่น...
แล้วเราก็ได้แว่นใหม่ ครั้งนี้ คุณหมอบอกว่า แค่พยายามใส่แว่น ไม่ต้องปิดตาอะไรทั้งสิ้นใส่แว่นให้มากที่สุดเป็นพอ แล้วมาดูผลกัน... ก่อนกลับ คุณหมอเรียกลูกเราไป แล้วสั่งว่า
หมอ: พีท หมอให้แว่นตาอันใหม่พีทนะ พีทใส่ตลอดเวลาได้ไหม
พีท: ได้
หมอ: ไม่ใส่แค่ 2 เวลา คือ อาบน้ำ กับ นอน จำได้ไหม
พีท: ได้
หมอ: สัญญานะ
พีท: สัญญา
ที่ต้องเล่าเพราะ ทุกครั้งที่ลูกถอดแว่น เราจะถามว่า สัญญากับคุณหมอไว้ว่ายังไง... แล้วลูกเราก็จะใส่แว่นตาต่อทุกครั้วค่ะ
จากนั้น ผ่านไป 2 เดือน เราสังเกตว่า ลูกเราตาเหล่น้อยลง เหล่ด้านซ้ายบ่อยกว่าด้านขวา มองไกล เหล่น้อยลง แต่มองใกล้ ยังเหล่มากทั้ง 2 ข้างค่ะ ซึ่งคุณหมอตรวจแล้ว บอกว่า แม่ใช้ได้นะ สังเกตเป็น แสดงว่าผมเชื่อแม่ได้....แล้วอยู่ๆ คุณหมอก็โมโหค่ะ โมโหพนักงาน.... ทำไม มุมเป็นแบบนี้ล่ะ มุมผิดนี่!!! คือ ตอนที่คุณหมอบอกให้จด พนักงานจดมุมผิดค่ะ... คุณหมอหันมาถามว่าตัดแว่นที่ไหน ที่สายตาปรับไม่ดีเท่าที่ควร เพราะมุมแว่นผิดนะ ไม่งั้น จะต้องดีกว่านี้อีกมาก.... เสียดายเวลา... แม่ตัดแว่นร้านแถวบ้านค่ะ.... คุณหมอเลยสั่งว่า ถ้าตัดครั้งต่อไปให้ตัดที่ รพ ถ้าผิดพลาดแบบนี้ จะไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม
แม่บอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ รู้ตอนนี้ก็ดีแล้วค่ะ ก็แค่ตัดใหม่เท่านั้นค่ะ ... คุณหมอยังดูหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็ผ่านไปค่ะ สรุปว่า ได้แว่นใหม่ แล้วคุณหมอก็นัดอีก 3 เดือนเจอกัน
แว่นอันนี้คืออันที่มุมผิดค่ะ
เลยได้ใหม่เป็นแบบนี้ ตัดที่ รพ เลย
เมื่อมาพบคุณหมอในรอบนี้ คุณหมอก็ถามให้แม่เล่าเหมือนเดิม แม่ก็บอกไปตามตรงว่า ลูกก็มีอาการตาเหล่ ด้านซ้ายมากกว่าขวา ไม่เห็นต่างไปจากเมื่อ 3 เดือนที่แล้วมากนัก... คุณหมอวัดสายตาแบบใช้อุปกรณ์หลอกล่อเหมือนเดิม น้องให้ความร่วมมือมากขึ้น ไม่เครียด และไม่มีการหยอดยาขยายม่านตา คุณหมอบอกว่า สายตาปรับได้ไม่ดีเท่าที่ควร คงใช้แว่นปรับสายตาไม่ได้แล้วล่ะ คิดว่าต้องผ่าตัดแล้วนะ ถ้าทำตอนเด็กจะทำได้ง่าย แม่พร้อมวันไหน เลือกเลย ผมผ่าเฉพาะวันจันทร์.... จันทร์นี้เลยไหม พร้อมไหม???
ตอนนั้นแม่งงค่ะ คือ คุณหมอถามว่า จันทร์นี้พร้อมไหม??? แม่ขอเลื่อนอีก 1 สัปดาห์เพราะต้องเคลียร์งานก่อน
และทำใจด้วย ตอนนั้น หน้าตาแม่คงจะงงมาก คุณหมอเลยหันมาถามว่า มีใครเคยอธิบายคุณไหมว่าผ่ายังไง แล้วคุณหมอก็อธิบายว่า
การผ่าตัดนี้ ผ่านอกตา คือเป็นการดึงกล้ามเนื้อตาด้านนอก ไม่ใช่ผ่าในลูกตา ดังนั้น ไม่น่ากลัวเลย นอน รพ. 1 คืนก็กลับบ้านได้
ข้อดีของการผ่าตัดคือ
1) ลดการเห็นภาพซ้อน เพราะ เราสายตาปกติ เรามองทุกอย่างปกติ ลองทำตาเหล่ซิ นั่นล่ะ ที่ลูกเป็นปกติ เค้าต้องพยายามมากเพื่อให้เห็นเหมือนเรา ผ่าตัดแล้วช่วยตรงนี้
2) บุคลิกภาพดีขึ้น เพราะเค้าไม่ต้องเพ่งมองอีกต่อไป
อาการหลังการผ่าตัด จะมี 3 อย่าง
1) ตาจะแดงเป็นสีเลือด แล้วค่อยๆ เหลือง และจางหายไป ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
2) ตาจะเขเข้า จากที่เคยเขออก ใช้เวลาปรับให้ตรง ประมาณ 1-2 เดือนแล้วแต่คน ส่วนมากจะใช้ประมาณ 1 เดือน
3) จะมองเห็นภาพซ้อน เพราะตาเขเข้า เมื่อตาปรับมาตรงแล้ว อาการนี้จะหายไป
ลูกเรามีอาการอาเจียน หลังจากผ่าตัดด้วยค่ะ เป็นผลจากการวางยาสลบ
ตอนที่อุ้มลงไปผ่าตัดค่ะ ยังไม่รู้ตัว
สุดท้ายเราก็ผ่าตัดค่ะ และทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดีค่ะ.. ตอนนี้ผ่านมาประมาณ 3 สัปดาห์แล้ว อาการโดยรวม ประมาณนี้
1) ยังมีตาเข้เข้าอยู่บ้างนิดหน่อยค่ะ ส่วนมากจะเป็นที่ตาด้านขวา
2) มีรอยแดงออกไปทางเหลืองๆ ของกล้ามเนื้อที่บริเวณหางตานิดหน่อย
หลังผ่าประมาณ 1 ชม
1 วัน
แชร์ประสบการณ์ ผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อตา (ตาเหล่) ของเด็ก 5 ขวบ
เราอยากแชร์ประสบการณ์ เผื่อว่า ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับแม่ๆ หรือ ผู้ที่มีอาการตาเหล่ค่ะ
ข้อมูลนี้เป็นการเล่าผ่านประสบการณ์ของเรานะคะ และถ้าหากคำศัพท์ที่ใช้ไม่ตรงกับหลักการแพทย์ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
เรามีลูกเป็นเด็กพิเศษค่ะ พิเศษในกรณีของเราคือ ลูกเรามีพัฒนาการช้าในทุกๆด้านซึ่งเป็นปัญหาจากสมองค่ะ
คุณหมอบอกว่า ลูกเราสมองช้า สิ่งที่ชัดเจนคือลูกเราเป็นเด็กพูดช้าและมีปัญหาในหลายๆ ด้าน ถ้าเล่าจะยาวมาก...ตรงส่วนนี้จึงขอข้ามไปนะคะ
ตาเหล่เป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดจากพัฒนาการช้า เพราะกล้ามเนื้อตาพัฒนาไม่เต็มที่ ลูกเราไม่ได้มีอาการตาเหล่ตลอดวันค่ะ
จะเป็นในช่วงที่ง่วงนอน ร่างกายไม่สดชื่น เหนื่อย หรือไม่สบาย และเป็นทั้ง 2 ข้างสลับกัน บางครั้งตาซ้ายเหล่ออก บางครั้งตาขวาเหล่ออก และเคยมีบ้างที่เหล่ออกทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน แต่ไม่บ่อย ซึ่งปัญหานี้เราเริ่มสังเกตเห็นตอนลูกอายุ 2 เดือน แต่แฟนเราบอกว่า เพราะเด็กยังไม่มีดั้ง เป็นอาการปกติ
เราเคยเอาเรื่องนี้ไปถามคุณยาย(แม่เรา) คุณยายบอกเหมือนแฟนเราเลยค่ะ บอกว่าเราคิดมากไปเอง...
อายุ 2 เดือน จะเห็นว่าตาขวาเหล่ออก
อายุ 2 เดือน จะเห็นว่าตาซ้ายเหล่ออก ถ่ายวันเดียวกัน ช่วงเวลาเดียวกัน
อายุ 7 เดือน ภาพนี้ดูตาปกติ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้
ตอนอายุ 2 ขวบ จะเห็นว่า ส่วนมากตาจะไม่เหล่ พอมีอาการให้เห็นบ้างนิดหน่อย ทุกคนจึงคิดว่าเราคิดมากเกินไป
ลูกเรามีอาการแบบนี้เรื่อยมา จนน้องอายุเกือบ 3 ขวบ เราเห็นว่าลูกชอบจ้องทีวีแบบใกล้ๆ และมักจะหยีตา เพ่งบ้าง ทำคิ้วชนกันบ้าง เราจึงพาลูกไปตรวจสายตาที่ รพ. เอกชนแห่งหนึ่งแถวสีลม ผลการตรวจให้รู้ว่า ลูกเราสายตายาว ยาว 300 กว่าๆ 2 ข้างไม่เท่ากัน... เราตกใจมาก ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกมองเห็นไม่ชัด เพราะเราใช้ลูกหยิบอะไร เค้าก็ทำได้ตลอด... นี่เราพลาดอะไรไป ทำไมถึงไม่เคยรู้เลยว่า ลูกมองไม่ชัด... คุณหมอเอาเลนส์ที่วัดค่าสายตาลูกมาให้เรามองผ่าน แล้วบอกว่า ลูกคุณเห็นภาพแบบนี้อยู่ สายตายาวในเด็กไม่เหมือนกับในผู้ใหญ่ มองใกล้ก็ไม่ชัด มองไกลก็ไม่ชัด... สิ่งที่เราเห็นคือ มันเบลอไปหมด
คุณหมอแนะนำให้ใส่แว่นค่ะ เพื่อปรับกล้ามเนื้อตา โดยคุณหมอบอกว่า ค่าของแว่นที่ให้จะต่ำกว่าที่วัดได้จริงนิดหน่อย เพื่อให้ร่างกายปรับสายตาและวันนั้นเอง ลูกเราได้แว่นตากลับบ้านมา คุณหมอให้พยายามใส่แว่นตลอดเวลา และปิดตา สลับข้างกัน เพื่อกระตุ้นให้ตาด้านที่มีปัญหาให้ใช้งานมากขึ้น ให้ทำให้ได้อย่างน้อย วันละ 30 นาทีต่อข้าง
เย็นวันนั้นเอง วันแรกที่ลูกเราใส่แว่นตา อยู่ๆ ลูกเราก็เดินเข้ามาหาเรา แล้วเอามือมาลูบหน้าเรา แล้วยิ้มให้เราค่ะและเรียกชื่อเราค่ะ
ความรู้สึกตอนนั้น ตัวเราชาไปหมด กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เราดึงลูกเข้ามากอด น่าสงสารเหลือเกิน ลูกของแม่ กว่าแม่จะรู้หนูก็มองไม่ชัดมาเกือบ 3 ปีแล้ว
แว่นตาอันแรก กรอบนี้เราซื้อไว้สำรอง 2 อันนะคะ แบบเดียว สีเดียวกัน เพราะกลัวหายาก
เป็นแบบที่มีสายรัดด้านหลัง
จะเห็นว่า ลูกเรามีท่างมองแปลกๆ ชอบมองใกล้ๆ แบบนี้ค่ะ
โดยทั่วๆ ไปการใส่แว่นคงช่วยให้มองได้ดีขึ้นแน่ๆ ค่ะ
แต่สำหรับการเขียนแล้ว คงเป็นเรื่องที่ทุกข์ใจสำหรับเค้า เค้าทำได้ไม่ดี แต่สาเหตุมาจากทั้งกล้ามเนื้อ พัฒนาการ และสายตา
เรารักษากับคุณหมอท่านนี้อยู่ประมาณ เกือบปี โดยคุณหมอจะนัด ทุกๆ 1 เดือนบ้าง
2 เดือนบ้าง 3 เดือนบ้าง เพื่อทำการวัดค่าสายตา และเปลี่ยนแว่น จนในที่สุดคุณหมอขอทำการผ่าตัด เพื่อดึงกล้ามเนื้อตาค่ะ
และให้ยาหยอดตาเรามา เพื่อให้หยอดตาก่อน 3 วัน แล้วพาไปให้คุณหมอวัดมุม เพื่อทำการผ่าตัด ... ตอนนั้น เราก็คิดว่า ควรหา second opinion
ต่อมา เราจึงไปหาคุณหมออีกท่าน ที่ รพ.เอกชนอีกแห่งย่านสีลมเช่นเดียวกันค่ะ โดยเอาประวัติการรักษาจาก รพ แรกไปด้วยทั้งหมด
เมื่อเราได้พบคุณหมอท่านที่สองนี้ เราก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่ปัญหาพัฒนาการช้า จนมาถึงเรื่องของสายตา
เราก็บอกตรงๆ ว่า มาขอ second opinion ว่า ควรรักษาอย่างไร การผ่าตัดจะตอบโจทย์ไหม เพราะฟังดูแล้วเรารู้สึกกลัวนะ
พอคุณหมอวัดค่าแว่น และสายตา คุณหมอบอกว่า ลูกคุณสายตายาวมากกว่า 300 นะ ข้างซ้ายยาวประมาณ 500 กว่าๆ
ข้างขวา ยาวประมาณ 300 กว่าๆ แต่ที่น่าห่วงคือ ลูกคุณสายตาเอียง!!! เอียง 150 ได้ แต่แว่นที่ลูกคุณใส่อยู่ไม่มีเรื่องเอียงเลย
เราก็มึนค่ะ...มึนตั้งแต่วิธีการตรวจแล้ว... คุณหมอคนแรก ใช้การหยอดยาขยายม่านตา และตรวจแบบทุกข์ทรมาน
มีการรุมกันจับ จับน้องแหกตา ทุกครั้งที่ไปหาคุณหมอคนแรก ลูกเราจะกลับมาตาช้ำ...ซึ่งเราเห็นเด็กคนอื่น ก็ประมาณเดียวกัน
ยกเว้น เด็กๆ ที่คุยกันรู้เรื่อง ถ้าเป็นเด็กเล็กหรือเด็กที่ไม่ให้ความร่วมมือ จะมีคนช่วยกันจับ เด็กก็จะร้อง
ส่วนคุณหมอที่ รพ. ที่ 2 นี้ เค้าคุยกะเราไป ก็ยกอุปกรณ์มาหลอกล่อไป คุณหมอท่านนี้ก็บอกว่า การปรับด้วยแว่นตาก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
การผ่าตัด ก็แก้ปัญหาได้ดีและตรงจุด ซึ่งสุดท้ายแล้วหากใช้แว่นปรับสายตาไม่ได้แล้ว ก็ต้องผ่าตัดแน่นอน แต่ก่อนจะทำการผ่าตัดได้ ต้องมั่นใจก่อนว่า ได้มุมที่ถูกต้อง แต่หมอก็ไม่เข้าใจว่า คุณหมอท่านนั้นจะได้มุมที่ถูกต้องได้อย่างไร ในเมื่อน้องสายตาเอียงมากขนาดนี้ แต่คุณหมอเหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้เลย.....
เมื่อถึงจุดนี้ เราคิดว่า เราต้องหา third opinion ... คงเป็นโชคดีของเรา เราโทรไปที่จักษุรัตนิน เพื่อหาคิวคุณหมอปกป้อง
เราโทรวันศุกร์ ได้คิววันเสาร์เลย เราเคยโทรมาเช็คที่นี่ครั้งแรก ก่อนที่จะหาคุณหมอท่านแรก แต่รอคิวนานมาก เราเลยพาไปรักษาที่ รพ.ที่ 1 ก่อน... สุดท้าย เราก็ต้องกลับมาที่นี่
เมื่อเล่าเหตุการณ์ให้คุณหมอปกป้อง ฟังทั้งหมดแล้ว คุณหมอก็ตรวจสายตาลูกเรา คุณหมอโยนแว่นตาที่ลูกเราใส่ทิ้ง... โยนทิ้งจริงๆ ค่ะ บอกว่า แว่นใช้ไม่ได้ ไม่ต้องเอามาใส่อีกนะ เก็บไปเลย .... คุณแม่เริ่มใหม่ทั้งหมดกับผมนะ... แล้วคุณหมอก็วัดสายตาค่ะ วิธีการวัดเป็นแบบอุปกรณ์ดีเด่นค่ะ มีทีวีเปิดการ์ตูน มีรูปภาพวิ่งบนจนทีวี มีกระต่ายเต้นระบำ มีอุปกรณ์หมุนๆ มีแสง มีไฟวิ่ง มีเสียง มีของเล่นเยอะมาก... วัดแป๊บเดียวเสร็จ และปล่อยให้เด็กซุกซนตามสบาย...คล้ายๆ กับ คุณหมอคนที่ 2 แต่บรรยากาศดีกว่ามาก จากนั้นก็คุยกับเราค่ะ คุณหมอบอกว่า ตอนนี้ไม่ต้องไปสนใจนะ ว่าตาเอียงเท่าไหร่ ยาวเท่าไหร่ ขอให้เริ่มจากแว่นตาก่อน ตอนนี้ต้องพยายามหาแว่นตาที่ดี ดีในที่นี้คือเหมาะกับสายตาให้ได้ ผมอาจจะเปลี่ยนแว่นบ่อย อย่าว่าผมเลยนะ... เด็กบางคนไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ใช้แว่นปรับเอาได้...แต่บางคน สุดท้ายแล้วก็ต้องผ่าตัด อย่าเพิ่งไปคิดอะไร ตอนนี้หาแว่นที่ใช่ให้เค้า ให้เค้าใช้สายตาให้เต็มที่ คิดเท่านี้พอ!!!
เมื่อถึงตอนนี้ คุณหมอจึงสั่งให้ไปหยอดยา แล้วก็วัดสายตากับเจ้าหน้าที่ แล้วจึงมาพบคุณหมออีกครั้ง คุณหมอวัดสายตาอีกครั้งและสั่งให้พนักงานเขียนใบให้เราเอาไปตัดแว่น...
แล้วเราก็ได้แว่นใหม่ ครั้งนี้ คุณหมอบอกว่า แค่พยายามใส่แว่น ไม่ต้องปิดตาอะไรทั้งสิ้นใส่แว่นให้มากที่สุดเป็นพอ แล้วมาดูผลกัน... ก่อนกลับ คุณหมอเรียกลูกเราไป แล้วสั่งว่า
หมอ: พีท หมอให้แว่นตาอันใหม่พีทนะ พีทใส่ตลอดเวลาได้ไหม
พีท: ได้
หมอ: ไม่ใส่แค่ 2 เวลา คือ อาบน้ำ กับ นอน จำได้ไหม
พีท: ได้
หมอ: สัญญานะ
พีท: สัญญา
ที่ต้องเล่าเพราะ ทุกครั้งที่ลูกถอดแว่น เราจะถามว่า สัญญากับคุณหมอไว้ว่ายังไง... แล้วลูกเราก็จะใส่แว่นตาต่อทุกครั้วค่ะ
จากนั้น ผ่านไป 2 เดือน เราสังเกตว่า ลูกเราตาเหล่น้อยลง เหล่ด้านซ้ายบ่อยกว่าด้านขวา มองไกล เหล่น้อยลง แต่มองใกล้ ยังเหล่มากทั้ง 2 ข้างค่ะ ซึ่งคุณหมอตรวจแล้ว บอกว่า แม่ใช้ได้นะ สังเกตเป็น แสดงว่าผมเชื่อแม่ได้....แล้วอยู่ๆ คุณหมอก็โมโหค่ะ โมโหพนักงาน.... ทำไม มุมเป็นแบบนี้ล่ะ มุมผิดนี่!!! คือ ตอนที่คุณหมอบอกให้จด พนักงานจดมุมผิดค่ะ... คุณหมอหันมาถามว่าตัดแว่นที่ไหน ที่สายตาปรับไม่ดีเท่าที่ควร เพราะมุมแว่นผิดนะ ไม่งั้น จะต้องดีกว่านี้อีกมาก.... เสียดายเวลา... แม่ตัดแว่นร้านแถวบ้านค่ะ.... คุณหมอเลยสั่งว่า ถ้าตัดครั้งต่อไปให้ตัดที่ รพ ถ้าผิดพลาดแบบนี้ จะไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม
แม่บอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ รู้ตอนนี้ก็ดีแล้วค่ะ ก็แค่ตัดใหม่เท่านั้นค่ะ ... คุณหมอยังดูหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็ผ่านไปค่ะ สรุปว่า ได้แว่นใหม่ แล้วคุณหมอก็นัดอีก 3 เดือนเจอกัน
แว่นอันนี้คืออันที่มุมผิดค่ะ
เลยได้ใหม่เป็นแบบนี้ ตัดที่ รพ เลย
เมื่อมาพบคุณหมอในรอบนี้ คุณหมอก็ถามให้แม่เล่าเหมือนเดิม แม่ก็บอกไปตามตรงว่า ลูกก็มีอาการตาเหล่ ด้านซ้ายมากกว่าขวา ไม่เห็นต่างไปจากเมื่อ 3 เดือนที่แล้วมากนัก... คุณหมอวัดสายตาแบบใช้อุปกรณ์หลอกล่อเหมือนเดิม น้องให้ความร่วมมือมากขึ้น ไม่เครียด และไม่มีการหยอดยาขยายม่านตา คุณหมอบอกว่า สายตาปรับได้ไม่ดีเท่าที่ควร คงใช้แว่นปรับสายตาไม่ได้แล้วล่ะ คิดว่าต้องผ่าตัดแล้วนะ ถ้าทำตอนเด็กจะทำได้ง่าย แม่พร้อมวันไหน เลือกเลย ผมผ่าเฉพาะวันจันทร์.... จันทร์นี้เลยไหม พร้อมไหม???
ตอนนั้นแม่งงค่ะ คือ คุณหมอถามว่า จันทร์นี้พร้อมไหม??? แม่ขอเลื่อนอีก 1 สัปดาห์เพราะต้องเคลียร์งานก่อน
และทำใจด้วย ตอนนั้น หน้าตาแม่คงจะงงมาก คุณหมอเลยหันมาถามว่า มีใครเคยอธิบายคุณไหมว่าผ่ายังไง แล้วคุณหมอก็อธิบายว่า
การผ่าตัดนี้ ผ่านอกตา คือเป็นการดึงกล้ามเนื้อตาด้านนอก ไม่ใช่ผ่าในลูกตา ดังนั้น ไม่น่ากลัวเลย นอน รพ. 1 คืนก็กลับบ้านได้
ข้อดีของการผ่าตัดคือ
1) ลดการเห็นภาพซ้อน เพราะ เราสายตาปกติ เรามองทุกอย่างปกติ ลองทำตาเหล่ซิ นั่นล่ะ ที่ลูกเป็นปกติ เค้าต้องพยายามมากเพื่อให้เห็นเหมือนเรา ผ่าตัดแล้วช่วยตรงนี้
2) บุคลิกภาพดีขึ้น เพราะเค้าไม่ต้องเพ่งมองอีกต่อไป
อาการหลังการผ่าตัด จะมี 3 อย่าง
1) ตาจะแดงเป็นสีเลือด แล้วค่อยๆ เหลือง และจางหายไป ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
2) ตาจะเขเข้า จากที่เคยเขออก ใช้เวลาปรับให้ตรง ประมาณ 1-2 เดือนแล้วแต่คน ส่วนมากจะใช้ประมาณ 1 เดือน
3) จะมองเห็นภาพซ้อน เพราะตาเขเข้า เมื่อตาปรับมาตรงแล้ว อาการนี้จะหายไป
ลูกเรามีอาการอาเจียน หลังจากผ่าตัดด้วยค่ะ เป็นผลจากการวางยาสลบ
ตอนที่อุ้มลงไปผ่าตัดค่ะ ยังไม่รู้ตัว
สุดท้ายเราก็ผ่าตัดค่ะ และทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดีค่ะ.. ตอนนี้ผ่านมาประมาณ 3 สัปดาห์แล้ว อาการโดยรวม ประมาณนี้
1) ยังมีตาเข้เข้าอยู่บ้างนิดหน่อยค่ะ ส่วนมากจะเป็นที่ตาด้านขวา
2) มีรอยแดงออกไปทางเหลืองๆ ของกล้ามเนื้อที่บริเวณหางตานิดหน่อย
หลังผ่าประมาณ 1 ชม
1 วัน