บริบท ผัวเมีย ในวัฒนธรรมไทย

ผัวเมียเป็นกันเมื่อใด

หญิงเป็นนาย ชายเป็นบ่าว

สำนวนเก่าแก่นี้ มีมาครั้งไหน? ไม่มีใครบอกได้

แต่แสดงให้เห็นว่า สังคมดั้งเดิมของคนดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิ ในอุษาคเนย์

หญิงมีอำนาจสูงกว่าชาย

(ชายมีอำนาจบ้างเหมือนกัน แต่มีต่ำกว่าหญิง) แล้วเป็นรากเหง้า
ให้เรียกหญิงชายในพิธีแต่งงานว่า เจ้าสาว-เจ้าบ่าว

ดังนั้น คำว่า นางและสาว แต่ดั้งเดิมมีความหมายเท่ากับ นาย หมายถึง ผู้เป็นใหญ่

ฐานะทางสังคม

คำนำหน้าชื่อของหญิงและชายในตระกูลภาษาไทย-ลาว มีความหมายบอกฐานะทางสังคม ดังนี้

นาง แปลว่า หัวหน้า, ผู้เป็นใหญ่ ใช้กับเพศหญิง (มีความหมายอย่างเดียวกับนายที่ใช้กับเพศชาย)

สาว หมายถึงวัยรุ่นหญิง, หนุ่ม หมายถึงวัยรุ่นชาย

เจ้าสาว หมายถึง หญิงที่เข้าพิธีแต่งงาน

เจ้าบ่าว หมายถึง ชาย (ซึ่งเป็นหนุ่ม) ที่เข้าพิธีแต่งงาน แต่ไม่เรียกเจ้าหนุ่ม ต้องเรียกเจ้าบ่าวเพราะ
ต้องทำงานรับใช้ เป็นขี้ข้าในบ้านสาว(โบราณ บ่าว คือ ขี้ข้า สมัยใหม่คือ ชายหนุ่ม)

ในพิธีส่งเข้าหอ เจ้าบ่าวต้องเดินเกาะหลังเจ้าสาวที่เดินนำหน้า แล้วต้องเป็นเขยอยู่บ้านเจ้าสาว
เพราะเจ้าสาวเป็นผู้รับมรดกบ้านกับที่ดิน และสืบสายตระกูล เจ้าบ่าวต้องรับใช้ในบ้านเจ้าสาวตลอดไป

อยู่ก่อนแต่ง มีมาแต่โบราณ
ชาวขมุเมื่อชายเป็นบ่าวรับใช้บ้านหญิง เพื่อหวังจะแต่งงานเป็นผัวเมียต่อไปข้างหน้า
ต้องยอมเป็นบ่าวไปจนกว่าเครือญาติฝ่ายหญิงจะยอมรับ ซึ่งใช้เวลานานเป็นปีๆ หรือหลายปีก็ได้ เช่น 5 ปี 10 ปีก็มี

ระหว่างนี้สังคมยุคนั้นยอมให้ “อยู่ก่อนแต่ง” ได้ แล้วมีลูกก็ได้

กฎหมายลักษณะผัวเมีย ยุคต้นอยุธยา มากกว่า 500 ปีมาแล้ว ยอมรับ “อยู่ก่อนแต่ง” อย่างเป็นทางการ

ถ้าชายขี้เกียจทำงาน ฝ่ายหญิงก็ไล่เฉดหัวออกจากบ้าน แล้วเลือกชายคนใหม่เป็นบ่าวต่อไป แล้ว “อยู่ก่อนแต่ง”
กับคนใหม่โดยไม่ถือเป็นผิดทำนองคลองธรรมอันใด

แยกครัว เป็นผัวเมีย

จนเลือกชายขยันทำมาหากินได้ถูกใจ ครอบครัวฝ่ายหญิงก็ให้มีพิธีแต่งงาน แล้วขยายเรือนมีครัวออกไปให้อยู่กินต่างหาก
เรียก “แยกครัว” เพราะทำใหม่เพิ่มเฉพาะครัว แต่ตัวเรือนอยู่รวมกันลักษณะเรือนยาว (หรือ “ลองเฮาส์”) สมัยหลังถึงแยกเรือนต่างหาก

ทั้งหมดนี้หมายความว่าโดยประเพณีแล้วชายอยู่บ้านหญิง เรียก “แต่งเขยเข้าบ้าน” เท่ากับคนเป็นผัวต้องสงบปากสงบคำ
เพราะอยู่ท่ามกลางเครือญาติของเมีย ถ้าโหวตเมื่อไรผัวก็แพ้เมียวันยังค่ำ

เหตุที่เป็นดังนี้ เพราะหญิงเป็นผู้รับมรดกจากครอบครัว เป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน แล้วเป็นผู้สืบตระกูล ไม่ใช่ชาย

“เทพอุ้มสม” คือ อยู่ก่อนแต่ง

วรรณกรรมโบราณแสดงให้เห็นเป็นพยาน ว่าสาวหนุ่มแต่ก่อนมีเพศสัมพันธ์กันได้ก่อนแต่งงาน
แล้วเป็นที่รับรู้ทั่วไป ไม่ถูกประณาม(เหมือนสมัยนี้)
แต่เรียกด้วยศัพท์แสงผู้ดีชั้นสูงให้ดูดีมีระดับว่าเทพอุ้มสม
(พจนานุกรมฉบับมติชนอธิบาย ว่าหมายถึง เทวดาจัดแจงให้มีคู่สู่สมโดยไม่มีพิธีแต่งงาน)

และเป็นที่รู้ทั่วกันอย่างยกย่อง ว่านิทานสำคัญเรื่อง “อนิรุทธ์สมอุษา” หมายถึง
เทพอุ้มพระอนิรุทธ์ไปสมสู่นางอุษาโดยต่างไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และยังไม่แต่งงาน

เสียผี

ในชุมชนหมู่บ้านมีประเพณีเสียผี หมายถึง ขอขมาโดยเอาของไปเซ่นผีบ้านผีเรือนตามที่เขาตีค่าไว้เมื่อทำความผิด
(เสีย แปลว่า จ่าย) เช่น ฉุดลูกสาวคนอื่นไปอุ้มสม, ทำลูกสาวเขาท้องก่อนแต่ง, ฯลฯ

เสียผีเป็นทางออกของชุมชน ที่เปิดช่องให้ผู้ทำผิดประเพณี (จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม)
กลับตัวทำใหม่ให้ถูกต้อง แล้วอยู่ได้ต่อไปในชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรี

ช่องทางนี้ช่วยให้หญิงสาวที่ถูกกีดกัน มิให้แต่งงานกับชายหนุ่มที่ปรารถนา
ได้นัดหมายให้ชายฉุดหรือหนีตาม แล้วเสียผีก็สมปรารถนา ตราบทุกวันนี้ก็ยังประพฤติ

ความเป็นผัวเมีย ในกฎหมายลักษณะผัวเมีย
หญิงกับชายจะมีสถานภาพเป็นผัวเป็นเมียกันเมื่อใด กฎหมายลักษณะผัวเมีย(ผ.ม.)
มิได้มีบทบัญญัติไว้โดยชัดเจนว่า หญิงชายจะต้องประพฤติตัวกันอย่างใด จึงจะถือว่าเป็นผัวเมียกันตามกฎหมาย
หากแต่เมื่อนำบทบัญญัติต่างๆ มาพิเคราะห์ดูตามที่นายเซี้ยงเนติบัณฑิต ได้เรียบเรียงกฎหมายผัวเมียไว้ กล่าวได้ว่า

หญิงชายได้เป็นผัวเมียกันเพราะเหตุว่าได้ร่วมประเวณีกัน

โดยในบางบทบัญญัติหญิงกับชายยังมิได้ได้เสียกัน
กฎหมายก็ถือว่าหญิงกับชายได้เป็นผัวเมียกัน ดังจะเห็นได้จาก (ผ.ม. ๑๑๙) ว่า

ชายใดพึงใจลูกสาวหลานสาวท่าน ให้ผู้เถ้าผู้แก่ไปสู่ขอเปนคำนับแก่บิดามานดาหญิง
บิดามานดาหญิงยกลูกสาวหลานสาวนั้นให้แก่ชายผู้สู่ขอ ทำการมงคลแล้ว ชายนั้นมีกิจราชการไป
ยังมิได้มาอยู่ด้วยหญิง ถ้าชายกลับมาไซ้ ท่านให้ส่งตัวหญิงนั้นให้แก่ชาย


ขณะที่ในบางครั้งหญิงกับชายได้เสียกัน กฎหมายก็ไม่ถือว่าชายกับหญิงเป็นผัวเมียกัน
โดยเฉพาะเมื่อผู้ปกครองของหญิงมิได้ยินยอม การกระทำดังกล่าวจะถือเป็นการลักพา
ซึ่งฝ่ายชายมีความผิดฐานละเมิดอำนาจอิศระของผู้ปกครอง ดังจะเห็นได้จาก(ผ.ม. ๘๑, ๘๒, ๑๒๖, ๑๓๕)
ที่มีเนื้อความว่า

เมื่อหญิงใดยังอยู่ใต้อำนาจอิศระของพ่อแม่ (ผู้ปกครอง) การที่ชายมาลอบทำชู้ด้วย
หรือลักพาเอาไปนั้นเปนการละเมิดอำนาจพ่อแม่ เขาอาจฟ้องร้องเรียกสินไหมได้


จากบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวจึงพอสรุปได้ว่า การที่ชายกับหญิงจะเป็นผัวเมียกันเกณฑ์สำคัญก็คือ

เมื่อฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง (หรือผู้ปกครองหญิง) ตกลงยินยอมเป็นผัวเมียกัน
และทั้งสองฝ่ายได้รับรอง หรือแสดงต่อธารกำนัลว่าเขาทั้งสองเป็นผัวเมียกัน


การรับรองหรือแสดงต่อธารกำนัลว่า หญิงกับชายเป็นผัวเมียกันเกิดได้จาก
การกล่าวด้วยวาจาและการแสดงกิริยาหลายประการ

ประการหนึ่งคือ การมีพิธีแต่งงาน ตามที่กล่าวใน (ผ.ม. ๑๑๙) ซึ่งการแต่งงานนี้กฎหมายไม่ได้กำหนดเอาไว้ว่า
ต้องมีพิธีอย่างไร หากแต่ให้เพียงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นการแต่งงาน

อีกประการที่สำคัญคือ ′การเลี้ยงดูอยู่กินอย่างผัวเมีย′ ซึ่งในกฎหมายมีบทบัญญัติกล่าวถึงหลายบท อาทิ (ผ.ม. ๓๓)

′หญิงข้าก็ดี ไทก็ดี มาขออาไศรยอยู่ด้วยชายก็ดี ชายรับประกันไว้ก็ดี...ถ้าชายไปมาหาสู่มัน
เกิดลูกด้วยมัน มันนอกใจมีชู้ ให้ไหมชายชู้แลหญิงนั้นโดยฉันอณุภรรยา′


ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวนี้ ควรสังเกตว่า การที่หญิงกับชายจะเป็นผัวเมียข้อสำคัญคือ
′เกิดลูกด้วยมัน′ เพราะไม่ทำให้ผู้อื่นนึกว่าหญิงเป็นแต่ผู้อาศัย

และใน (ผ.ม. ๘๕)
′ฝูงไพร่ฟ้าข้าคนทังหลาย หาขันหมากมิใคร่กันอยู่ด้วยกันเปล่าๆ
พ่อแม่แห่งหญิงรู้มิได้ร้องฟ้องว่ากล่าว แลมันปลูกเรือนบ้างต่างเรือนแฝงอยู่กินด้วยกันโดยฉันผัวเมีย
หาบุตรมิได้ก็ดี หญิงสิทธิเปนเมียชาย ถ้าแลผู้ใดมิได้ปลูกเรือนอยู่มิได้ทำเลี้ยงกันโดยฉันผัวฉันเมีย
ท่านว่ามิได้เปนเมียสิทธิแก่ชายเลย′


ซึ่งสังเกตได้ว่า การที่พ่อแม่รู้แล้วไม่ฟ้องร้องว่ากล่าว กฎหมายถือว่าพ่อแม่ได้ยินยอม และการปลูกเรือนอยู่ด้วยกัน
ก็ย่อมทำให้ผู้อื่นรับรู้ว่าชายกับหญิงเป็นผัวเมียกัน ขณะเดียวกันในกรณีที่ชายกับหญิงเลี้ยงดูอยู่กินกันเป็นเวลา ๒-๓ ปี
ชายกับหญิงก็ถือเป็นผัวเมียกัน โดยคาดได้ว่าเวลาดังกล่าวน่าจะนานพอที่จะทำให้คนทั่วไปรับรู้ ดังใน (ผ.ม. ๑๐๒) ที่ว่า

ชายขอลูกท่านถึงหลบฝาก (หลบฝาก แปลว่า ไม่ออกหน้า) ยังแต่จะทำงาน แลพ่อแม่หญิงให้ชายฝากบำเรอ
แลทำกินอยู่ด้วยกันเปน ๒-๓ ปี แลพ่อแม่หญิงให้ชายอยู่ด้วยกันไซ้ ท่านว่าเปนเมียสิทธิแก่เจ้าผัวเสมือนเมียทำงาน...


ผัวเมียมีหน้าที่อะไรบ้าง
การเป็นผัวเป็นเมียตามกฎหมายแต่เดิมไม่มีหลักฐานกำหนดไว้อย่างชัดเจน ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นก็คือ

การต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง
เมื่อฝ่ายหนึ่งอ้างสิทธิที่เกิดจากการเป็นผัวเป็นเมีย ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกลับปฏิเสธความสัมพันธ์
เพื่อยืนยันสิทธิของตนเองและปฏิเสธหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบในฐานะผัวหรือเมีย

โดยเฉพาะในข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สิน ซึ่งในการพิสูจน์ความสัมพันธ์ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างก็หยิบยกเอา
′หน้าที่ของการเป็นผัว′ กับ ′หน้าที่ของการเป็นเมีย′ มาต่อสู้กัน อันสามารถแสดงให้เข้าใจได้ว่าผัวเมียนั้นเป็นกันอย่างไร

หน้าที่ของการเป็นผัว
จากการพิจารณาเอกสารประเภทคดีความและฎีกาในสมัยรัชกาลที่ ๕-รัชกาลที่ ๗ หน้าที่ของการเป็นผัว
อาจสังเกตได้จากข้อพิพาทเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินระหว่างผัวเมีย และข้อพิพาทเมียกล่าวโทษผัวว่าไม่เลี้ยงดู
ซึ่งข้อพิพาทเหล่านี้สามารถจะสะท้อนหน้าที่ของผัวคือ การเลี้ยงดูครอบครัว

ในข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สินระหว่างผัวเมีย ตัวอย่างเช่น คดีความที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖
ระหว่างเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี และคุณหญิงสุ่น พิพาทกันด้วยเรื่องที่ดินริมวังบูรพาภิรมย์ ด้านหน้าจดถนนพาหุรัด
มีผลประโยชน์เป็นรายได้จากค่าเช่าตึกแถว ในคดีนี้นอกเหนือจากการต่อสู้ตามตัวบทกฎหมายแล้ว
ทั้ง ๒ ฝ่ายต่างหยิบยกเอาหน้าที่ของการเป็นผัวมาต่อสู้กันเพื่ออ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดิน

ทั้งนี้ ′คุณหญิงสุ่น′ มีคำให้การว่า

"เจ้าพระยาภาณุวงษ์ได้ทะเลาะวิวาทกับสุ่นถึงแก่ความแตกร้าวละทิ้งเรือนไป ไม่ได้นำพาเหลียวแลจนทุกวันนี้ถึง ๕๐ ปีแล้ว
ข้าพระพุทธเจ้าเปนผู้ปกครองหาเลี้ยงบุตรตลอดจนทุกวันนี้ แลเหย้าเรือนที่ปลูกสร้าง แลให้มีผู้เช่าเปนทุนทรัพย์ของสุ่น
แต่คงเปนสินสมรศ แต่ครั้นเกิดเพลิงไหม้ถึง ๓ ครั้ง ข้าพระพุทธเจ้าก็ลงทุนทำก่อสร้างเป็น ๔ ครั้ง
ทั้งครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทุนรอนของเจ้าพระยาภาณุวงษ์

แลข้าพระพุทธเจ้าได้เปนความด้วยเรื่องที่นี้จนชนะแลทั้งได้แบ่งขายที่นี้ โดยมิประกาศโฆษณาในนามของสุ่นผู้เดียว
เจ้าพระยาภาณุวงษ์ก็หาได้ทักทวงว่าตามกฎหมายไม่ จึงถือว่าที่นี้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า"

จากคำให้การของคุณหญิงสุ่นข้างต้น ความหมายก็คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ไม่ได้ทำหน้าที่ของผัวที่จะต้องดูแลเลี้ยงดูเมีย
ซึ่งเป็นสิทธิที่เมียทุกคนจะต้องได้รับ เป็นเวลานานถึง ๕๐ ปี ดังนั้นสิทธิการเป็นผัวของเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ที่มีเหนือเมีย (สุ่น)
จึงสิ้นสุดลงไปด้วย

ในแง่นี้เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ จึงไม่มีสิทธิในที่ดินรายนี้ในแง่ที่เป็นสินสมรส เพราะทั้งสองไม่ได้เป็นผัวเมียกันแล้ว
โดยคุณหญิงสุ่นอ้างสิทธิปกครองจากการลงทุนทำประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว ตามลักษณะสิทธิในการครอบครองที่ดินทั่วไป
ซึ่งในที่นี้คุณหญิงสุ่นน่าจะมองตนเอง ในฐานะคนทำมาหากินที่สามารถเลี้ยงชีพได้ด้วยตนเอง หรือมีอำนาจปกครองตนเอง
ไม่ได้อยู่ใต้ปกครองของเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ที่เป็นผัว ดังปรากฏจากคำให้การที่คุณหญิงสุ่นที่พยายามเน้นให้ศาลเชื่อว่า

ตัวเธอกับเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ได้ขาดจากการเป็นผัวเมียกันแล้ว

อ้างอิง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่