ความเดิมตอนที่แล้ว -->
http://pantip.com/topic/34108068
********************
ผมขับรถออกจากวัดเบซากีห์โดยที่อวัยวะยังอยู่ครบ 32 ไม่โดนแก๊งมาเฟียรุมกระทืบหรือเจาะยางรถแต่อย่างใด จุดหมายต่อไปของผมคือหมู่บ้านคินตามณี
‘คินตามณี’ (Kintamani) ตั้งอยู่บริเวณภูเขาไฟบาตูร์ที่ผมเพิ่งไปมาเมื่อวาน สามารถขับรถจากวัดเบซากีห์ไปได้ ไม่อ้อมมากนัก ลัดเลาะภูเขาขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 20 กิโลเมตรก็ถึงแล้ว
คินตามณีเป็นหมู่บ้านที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก ตั้งอยู่บนภูเขาสูง สามารถมองเห็นภูเขาไฟและทะเลสาบบาตูร์ได้อย่างชัดเจน พื้นที่บริเวณนี้มีร้านอาหารจำนวนมาก นักท่องเที่ยวนิยมมานั่งรับประทานอาหารอร่อย ๆ ชมวิวสวย ๆ ที่หมู่บ้านแห่งนี้
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวเบี้ยน้อยหอยน้อยแถมยังโดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างผม คงไม่มีเงินมากพอที่จะเข้าไปนั่งกระดิกเท้าชมวิว จิบกาแฟขี้ชะมดแบบนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่ทำได้ก็แค่ขับรถผ่านร้านอาหารพวกนั้นไปพร้อมกับคิดในใจว่า ‘คงไม่อร่อยเท่าไรร้อกกกกก’ ก็เท่านั้น
นอกจากร้านอาหารแล้ว คินตามณียังมีวัดอีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ‘วัดอูลุนดานูบาตูร์’ (Pura Ulun Danu Batur)
ยอมรับว่าผมมาที่วัดนี้ด้วยความงุนงง คือที่บาหลีมันจะมีสองวัดที่ชื่อคล้าย ๆ กัน ได้แก่ วัดอูลุนดานูบาตูร์ (Pura Ulun Danu Batur) กับ วัดอูลุนดานูเบราตัน (Pura Ulun Danu Beratan) คือถ้าลองไปค้นใน Google จะพบว่าสองวัดนี้ featuring กันมาก บางคนก็บอกบาตูร์บ้าง บางคนก็บอกเบราตันบ้าง บางคนก็ลงรูปวัดบาตูร์โดยใช้ชื่อเบราตัน บางคนก็ลงรูปวัดเบราตันโดยใช้ชื่อบาตูร์ ลงรูปมั่วกันไปหมด จนตอนแรกผมยังเข้าใจว่าเป็นวัดเดียวกันเลย
วัดเบราตันชัดเจนครับว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงของบาหลี มีเจดีย์ตั้งอยู่ในน้ำสวยงามมากซึ่งผมจะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ แต่วัดบาตูร์นี่หน้าตาเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ แต่ไม่ต้องห่วง คันก็เกา สงสัยก็ไปดูให้หายสงสัยเซ่
ผมขับรถไปจอดที่ลานหน้าวัด ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปด้านในก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนเรียกผม แกบอกให้ผมจ่ายค่าเข้าชมและนุ่งโสร่งให้เรียบร้อยก่อนเข้าวัด
ห้ะ!! โสร่งอีกแล้วเหรอวะ!!
รู้งี้เอาผ้าขาวม้าพ่อมาจากบ้านก็หมดเรื่องแล้ว
ผมเดินไปจ่ายค่าเข้าชม 35,000 รูเปียห์ ซักพักก็มีป้าคนหนึ่งเชิญชวนให้ผมไปเลือกซื้อโสร่งที่ร้านของตน
“ไอขอเช่าได้ไหม เดี๋ยวเสร็จแล้วไอเอามาคืน”
ผมต่อรองด้วยมุกเดิมเพราะไม่รู้จะซื้อโสร่งไปทำอะไรจริง ๆ
“โอเค ก็ได้ ทั้งหมด 50,000 รูเปียห์”
หึ ๆ อิป้า อย่ามาใช้มุกซ้ำกับแม่ค้าที่วัดเบซากีห์ กุรู้ทันนะ คนอย่างไอ้อุ๊ย (ถ้าไม่ใช่เรื่องความรัก) เจ็บแล้วจำทุกเรื่องเฟ่ย
ผมเตรียมรับมือไว้หมดแล้ว ตอนนั้นผมสวมวิญญาณนักแสดงเวทีรัชดาลัย ทำหน้าตื่นตกใจพร้อมกับอุทานออกไปว่า
“Really?”
พร้อมกับทำท่าหันหลัง ทำทีเหมือนกำลังจะเดินออกจากร้าน คุณป้าคนนั้นเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้ทันที
รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของผม
หึ ๆ อิป้า เสร็จกุ
“50,000 นี่ราคาเต็ม ต่อรองกันได้จ้า”
“งั้นไอขอ 10,000 นึงละกัน”
ผมต่อราคาแบบไม่อายฟ้าอายดิน ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเอาเปรียบผมได้อีกแล้ว
“40,000 ได้ไหม”
“โน!! 10,000 เท่านั้น!!”
“30,000 ละกัน”
“โน!!”
“อะ ๆ 20,000 ก็ได้”
“โน!!”
ผมยืนยันอย่างแข็งกร้าวพร้อมทำท่าเดินออกจากร้านอีกครั้ง
“โอเค ๆ”
ในที่สุดผมเช่าโสร่งได้ในราคา 10,000 รูเปียห์
การต่อราคาของในบาหลีต้องใช้ทัศนคติที่ถูกต้องกับทักษะการแสดงอีกนิดหน่อย ทัศนคติที่ถูกต้องคือต้องระลึกไว้เสมอว่า ‘เราคือลูกค้า เราคือพระเจ้า’ ที่นี่เป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfectly Competitive Market) มีร้านที่ขายของแบบเดียวกันนี้อีกมากมายมหาศาล เราเป็นฝ่ายเลือกได้ พวกพ่อค้าแม่ค้าต้องคุกเข่าอ้อนวอนเรา ไม่ใช่ว่าเราเป็นฝ่ายง้องอนพวกมัน ถ้าต่อไม่ได้เราก็เซย์กู๊ดบายแล้วไปต่อราคาร้านอื่นต่อ อนุญาตให้ทำตัวหล่อสวยเลือกได้วันนึง พอกลับไทยเราจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วนะ
‘เราคือพระเจ้า ๆ’ ท่องเอาไว้
ส่วนทักษะการแสดงที่ผมใช้บ่อย ๆ ก็อย่างเช่น พอแม่ค้าบอกราคามาก็ทำท่าตกใจพร้อมกับอุทานว่า ‘Really?’ แล้วทำทีหันหลังเดินออกจากร้าน มุกนี้ผมใช้ได้ผลทุกครั้งนะ ร้อยทั้งร้อยวิ่งตามมาขอร้องอ้อนวอนเธออย่าไปทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาง้อเราแทบไม่ทันเลย
ผมนุ่งโสร่งที่เช่ามาในราคา 10,000 รูเปียห์ ขยิบตาให้คุณป้าคนนั้นหนึ่งครั้งแสดงออกถึงชัยชนะ แล้วเดินเข้าวัดไป
วัดบาตูร์เป็นวัดที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากวัดเบซากีห์ วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งแม่น้ำและทะเลสาบ แต่เดิมตัววัดตั้งอยู่บริเวณตีนภูเขาไฟด้านล่าง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดเมื่อปี 1926 ก็เลยต้องย้ายทั้งวัดทั้งหมู่บ้านขึ้นมาบนภูเขา บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่จนเป็นวัดที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ผมว่าวัดนี้บรรยากาศดีนะ ตั้งอยู่บนเขา เห็นทิวทัศน์ได้กว้างขวาง พาโนรามามาก ๆ แต่อย่างที่บอกว่าอากาศวันนี้มันมึน ๆ มัว ๆ ไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไร
ผมเดินอยู่ไม่กี่ก้าวก็ทั่ววัดบาตูร์แล้ว และด้วยความเสียดายค่าเช่าโสร่ง ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เช่ามาแล้วก็อยากใช้มันให้คุ้มค่า เลยยอมเสียเงินอีก 15,000 รูเปียห์เพื่อเข้าชมวัดที่อยู่ข้าง ๆ โดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวัดนั้นชื่ออะไร
ถ้าวัดบาตูร์เมื่อกี้เล็กจนเดินไม่แค่กี่ก้าวก็ทั่ว วัดนี้ก็คงเล็กจนไม่รู้จะเล็กยังไง
คือแค่ยืนเฉย ๆ ก็เที่ยวทั่วแล้ว
ไม่น่าเสียเงินเข้ามาเล้ยยย
วิวทะเลสาบ/ภูเขาไฟ
ผมออกจากคินตามณีแบบไม่ค่อยประทับใจเท่าไร หมู่บ้านนี้เหมาะกับการมารับประทานอาหารอร่อย ๆ นั่งกระดิกขาชิว ๆ ชมวิวภูเขาไฟ แต่ผมที่เพิ่งขึ้นไปเหยียบภูเขาลูกนั้นมาแล้วเมื่อวาน ก็เลยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเท่าไร เหมือนเห็นน้ำพริกถ้วยเก่าที่เราเคยลิ้มชิมรสมันมาแล้ว การขับรถขึ้นมาบนนี้เลยค่อยไม่คุ้มค่าความเหนื่อยเท่าที่ควร
ผมขับรถมุ่งหน้าลงใต้ด้วยถนนอีกเส้นหนึ่ง วางแผนไว้ว่าจะแวะเที่ยวที่วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์และกุนุงกาวีก่อนกลับที่พักในเมืองเดนพาซาร์ ถนนสายนี้มีร้านกาแฟที่เขียนโฆษณาว่า ‘Kopi Luwak’ อยู่หลายร้าน ผมรู้ว่า Kopi หมายถึงกาแฟ ส่วน Luwak ดูจากรูปแล้วก็น่าจะหมายถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตากลมโตจมูกยื่น ๆ ตัวนั้น
เอ๊ะ หรือว่า Kopi Luwak คือกาแฟขี้ชะมดที่โด่งดังนะ
กาแฟขี้ชะมดหรือ Kopi Luwak เป็นกาแฟที่มีชื่อเสียงของประเทศอินโดนีเซีย ได้ชื่อว่าเป็นกาแฟที่อร่อยและมีราคาแพงที่สุดในโลก กระบวนการผลิตที่สำคัญคือต้องไปเก็บเมล็ดกาแฟจากขี้ตัวชะมด จากนั้นก็นำเมล็ดกาแฟไปตากแห้งแล้วเอามาคั่วกินกัน สารเคมีในระบบย่อยอาหารของชะมดจะทำให้กาแฟชนิดนี้มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ผมเป็นคนที่ชอบกินกาแฟครับ แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มกินกาแฟครั้งแรกเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว แต่ผมก็ติดอกติดใจความหอมกรุ่นและรสชาติของกาแฟเข้าอย่างจัง จนตอนนี้จะเรียกว่าติดกาแฟก็ว่าได้ ไหน ๆ มาเยือนอินโดนีเซียแล้ว แวะชิมกาแฟขี้ชะมดของเขาซะหน่อยก็แล้วกัน คงไม่มีใครว่าผมว่าไม่รักช้างไทยหรอกนะ
ผมเลี้ยวซ้ายเข้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ในใจนึกภาพร้านกาแฟน่ารัก ๆ แถวซอยอารีย์ มีการตกแต่งร้านสไตล์เกาหลี พนักงานในร้านเป็นนางเอกสาวสวยปลอมตัวมา เอาล่ะ เดี๋ยวพอเราเข้าไปนั่งในร้านนะ เราจะสั่งกาแฟขี้ชะมดมากิน แล้วถ่ายรูปลง Facebook อวดเพื่อน ๆ ที่กำลังทำงานหน้าดำคร่ำเคร่งกันอยู่ที่เมืองไทย
หึหึ พวกมันต้องอิจฉาเราแน่ ๆ
แต่พอผมจอมรถ ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ นั้นก็สลายไป
ไม่มีร้านกาแฟสไตล์เกาหลี มีแต่เพิงไม้ไผ่เก่า ๆ กับโต๊ะหินเล็ก ๆ อีกหนึ่งตัว ที่โต๊ะมีกาต้มน้ำร้อนอยู่หนึ่งเครื่อง บาริสต้าเป็นชายชาวบาหลีที่ดูหน้าตาท่าทางแล้ว น่าจะยืนขายยาดองตะขาบมากกว่ากาแฟระดับโลกนะ
ผมรีบวิ่งขึ้นรถแล้วขับออกไป
ไม่จริง ไม่จริง เมื่อกี้มันคงเป็นภาพลวงตา ร้านกาแฟ Kopi Luwak ที่มีชื่อเสียงระดับโลกต้องไม่ใช่ร้านข้างทางแบบนี้ เราคงหิวจนเห็นภาพหลอนไปเองแน่ ๆ
อย่างไรก็ตาม ร้านกาแฟตลอดเส้นทางที่ผมขับรถผ่านก็มีลักษณะแบบนี้ทุกร้าน คือเป็นเพิงไม้ไผ่ มีกาต้มน้ำร้อนหนึ่งอัน โต๊ะหินสำหรับเล่นหมากรุก แล้วก็มีบาริสต้าหน้าตาง่วง ๆ ท่าทางอ่อนล้าเหมือนผ่านโลกมาหลายศตวรรษ ซึ่งไม่เข้ากับบรรยากาศของร้านกาแฟเลย บุคลิกภาพน่าไปขายยากล่อมประสาทอะไรแบบนี้มากกว่า
ขับรถไปได้ครึ่งกิโล คำถามหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง
เอ๊ะ ทุกวันนี้เรากินกาแฟ หรือกินบรรยากาศในร้านกาแฟ
สังเกตได้จากเวลาเราแนะนำร้านกาแฟให้เพื่อน เรามักจะให้เหตุผลว่า ‘ร้านกาแฟนี้น่ารัก’ มากกว่า ‘กาแฟร้านนี้อร่อย’ เรามักเลือกนั่งร้านกาแฟที่ตกแต่งสวยงาม บรรยากาศดี มีสาวสวยเดินผ่าน หรือบางครั้งก็เลือกร้านที่มีปลั๊กไฟ นั่งทำงานได้ รสชาติของกาแฟกลับเป็นเรื่องสำคัญรอง ๆ ลงมา
ทุกวันนี้เรากินกาแฟ หรือกินบรรยากาศในร้านกาแฟกันนะ
ผมตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเข้าร้านกาแฟร้านถัดไปทันที ผมจะมากินกาแฟ ไม่ได้มากินร้านกาแฟ บรรยากาศในร้านจะเป็นยังไงช่างมัน
ผมจอดรถ หยิบเงินในกระเป๋า และลงจากรถ
แล้วก็รีบขึ้นมาบนรถใหม่เมื่อพบว่าผมเหลือเงินอยู่แค่ 50,000 รูเปียห์ หรือประมาณ 150 บาทสำหรับการเที่ยวอีกสามวันที่เหลือ
บ้าไปแล้ว!! นี่เงินหรือน้ำในคลองลัดโพธิ์เนี่ย ทำไมเงินไหลออกจากกระเป๋าเร็วขนาดนี้
ผมขับรถออกจากร้านกาแฟร้านนั้น
อย่าว่าแต่กาแฟขี้ชะมดเลยครับ ข้าวเย็นวันนี้จะมีเงินจ่ายรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
To be continued
*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ -->
https://www.facebook.com/lovenaioui ***
บาหลีไม่มีเธอ: หมู่บ้านคินตามณี (ตอนที่ 12)
ผมขับรถออกจากวัดเบซากีห์โดยที่อวัยวะยังอยู่ครบ 32 ไม่โดนแก๊งมาเฟียรุมกระทืบหรือเจาะยางรถแต่อย่างใด จุดหมายต่อไปของผมคือหมู่บ้านคินตามณี
‘คินตามณี’ (Kintamani) ตั้งอยู่บริเวณภูเขาไฟบาตูร์ที่ผมเพิ่งไปมาเมื่อวาน สามารถขับรถจากวัดเบซากีห์ไปได้ ไม่อ้อมมากนัก ลัดเลาะภูเขาขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 20 กิโลเมตรก็ถึงแล้ว
คินตามณีเป็นหมู่บ้านที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก ตั้งอยู่บนภูเขาสูง สามารถมองเห็นภูเขาไฟและทะเลสาบบาตูร์ได้อย่างชัดเจน พื้นที่บริเวณนี้มีร้านอาหารจำนวนมาก นักท่องเที่ยวนิยมมานั่งรับประทานอาหารอร่อย ๆ ชมวิวสวย ๆ ที่หมู่บ้านแห่งนี้
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวเบี้ยน้อยหอยน้อยแถมยังโดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างผม คงไม่มีเงินมากพอที่จะเข้าไปนั่งกระดิกเท้าชมวิว จิบกาแฟขี้ชะมดแบบนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่ทำได้ก็แค่ขับรถผ่านร้านอาหารพวกนั้นไปพร้อมกับคิดในใจว่า ‘คงไม่อร่อยเท่าไรร้อกกกกก’ ก็เท่านั้น
นอกจากร้านอาหารแล้ว คินตามณียังมีวัดอีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ‘วัดอูลุนดานูบาตูร์’ (Pura Ulun Danu Batur)
ยอมรับว่าผมมาที่วัดนี้ด้วยความงุนงง คือที่บาหลีมันจะมีสองวัดที่ชื่อคล้าย ๆ กัน ได้แก่ วัดอูลุนดานูบาตูร์ (Pura Ulun Danu Batur) กับ วัดอูลุนดานูเบราตัน (Pura Ulun Danu Beratan) คือถ้าลองไปค้นใน Google จะพบว่าสองวัดนี้ featuring กันมาก บางคนก็บอกบาตูร์บ้าง บางคนก็บอกเบราตันบ้าง บางคนก็ลงรูปวัดบาตูร์โดยใช้ชื่อเบราตัน บางคนก็ลงรูปวัดเบราตันโดยใช้ชื่อบาตูร์ ลงรูปมั่วกันไปหมด จนตอนแรกผมยังเข้าใจว่าเป็นวัดเดียวกันเลย
วัดเบราตันชัดเจนครับว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงของบาหลี มีเจดีย์ตั้งอยู่ในน้ำสวยงามมากซึ่งผมจะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ แต่วัดบาตูร์นี่หน้าตาเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ แต่ไม่ต้องห่วง คันก็เกา สงสัยก็ไปดูให้หายสงสัยเซ่
ผมขับรถไปจอดที่ลานหน้าวัด ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปด้านในก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนเรียกผม แกบอกให้ผมจ่ายค่าเข้าชมและนุ่งโสร่งให้เรียบร้อยก่อนเข้าวัด
ห้ะ!! โสร่งอีกแล้วเหรอวะ!!
รู้งี้เอาผ้าขาวม้าพ่อมาจากบ้านก็หมดเรื่องแล้ว
ผมเดินไปจ่ายค่าเข้าชม 35,000 รูเปียห์ ซักพักก็มีป้าคนหนึ่งเชิญชวนให้ผมไปเลือกซื้อโสร่งที่ร้านของตน
“ไอขอเช่าได้ไหม เดี๋ยวเสร็จแล้วไอเอามาคืน”
ผมต่อรองด้วยมุกเดิมเพราะไม่รู้จะซื้อโสร่งไปทำอะไรจริง ๆ
“โอเค ก็ได้ ทั้งหมด 50,000 รูเปียห์”
หึ ๆ อิป้า อย่ามาใช้มุกซ้ำกับแม่ค้าที่วัดเบซากีห์ กุรู้ทันนะ คนอย่างไอ้อุ๊ย (ถ้าไม่ใช่เรื่องความรัก) เจ็บแล้วจำทุกเรื่องเฟ่ย
ผมเตรียมรับมือไว้หมดแล้ว ตอนนั้นผมสวมวิญญาณนักแสดงเวทีรัชดาลัย ทำหน้าตื่นตกใจพร้อมกับอุทานออกไปว่า
“Really?”
พร้อมกับทำท่าหันหลัง ทำทีเหมือนกำลังจะเดินออกจากร้าน คุณป้าคนนั้นเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้ทันที
รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของผม
หึ ๆ อิป้า เสร็จกุ
“50,000 นี่ราคาเต็ม ต่อรองกันได้จ้า”
“งั้นไอขอ 10,000 นึงละกัน”
ผมต่อราคาแบบไม่อายฟ้าอายดิน ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเอาเปรียบผมได้อีกแล้ว
“40,000 ได้ไหม”
“โน!! 10,000 เท่านั้น!!”
“30,000 ละกัน”
“โน!!”
“อะ ๆ 20,000 ก็ได้”
“โน!!”
ผมยืนยันอย่างแข็งกร้าวพร้อมทำท่าเดินออกจากร้านอีกครั้ง
“โอเค ๆ”
ในที่สุดผมเช่าโสร่งได้ในราคา 10,000 รูเปียห์
การต่อราคาของในบาหลีต้องใช้ทัศนคติที่ถูกต้องกับทักษะการแสดงอีกนิดหน่อย ทัศนคติที่ถูกต้องคือต้องระลึกไว้เสมอว่า ‘เราคือลูกค้า เราคือพระเจ้า’ ที่นี่เป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfectly Competitive Market) มีร้านที่ขายของแบบเดียวกันนี้อีกมากมายมหาศาล เราเป็นฝ่ายเลือกได้ พวกพ่อค้าแม่ค้าต้องคุกเข่าอ้อนวอนเรา ไม่ใช่ว่าเราเป็นฝ่ายง้องอนพวกมัน ถ้าต่อไม่ได้เราก็เซย์กู๊ดบายแล้วไปต่อราคาร้านอื่นต่อ อนุญาตให้ทำตัวหล่อสวยเลือกได้วันนึง พอกลับไทยเราจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วนะ
‘เราคือพระเจ้า ๆ’ ท่องเอาไว้
ส่วนทักษะการแสดงที่ผมใช้บ่อย ๆ ก็อย่างเช่น พอแม่ค้าบอกราคามาก็ทำท่าตกใจพร้อมกับอุทานว่า ‘Really?’ แล้วทำทีหันหลังเดินออกจากร้าน มุกนี้ผมใช้ได้ผลทุกครั้งนะ ร้อยทั้งร้อยวิ่งตามมาขอร้องอ้อนวอนเธออย่าไปทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาง้อเราแทบไม่ทันเลย
ผมนุ่งโสร่งที่เช่ามาในราคา 10,000 รูเปียห์ ขยิบตาให้คุณป้าคนนั้นหนึ่งครั้งแสดงออกถึงชัยชนะ แล้วเดินเข้าวัดไป
วัดบาตูร์เป็นวัดที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากวัดเบซากีห์ วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งแม่น้ำและทะเลสาบ แต่เดิมตัววัดตั้งอยู่บริเวณตีนภูเขาไฟด้านล่าง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดเมื่อปี 1926 ก็เลยต้องย้ายทั้งวัดทั้งหมู่บ้านขึ้นมาบนภูเขา บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่จนเป็นวัดที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ผมว่าวัดนี้บรรยากาศดีนะ ตั้งอยู่บนเขา เห็นทิวทัศน์ได้กว้างขวาง พาโนรามามาก ๆ แต่อย่างที่บอกว่าอากาศวันนี้มันมึน ๆ มัว ๆ ไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไร
ผมเดินอยู่ไม่กี่ก้าวก็ทั่ววัดบาตูร์แล้ว และด้วยความเสียดายค่าเช่าโสร่ง ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เช่ามาแล้วก็อยากใช้มันให้คุ้มค่า เลยยอมเสียเงินอีก 15,000 รูเปียห์เพื่อเข้าชมวัดที่อยู่ข้าง ๆ โดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวัดนั้นชื่ออะไร
ถ้าวัดบาตูร์เมื่อกี้เล็กจนเดินไม่แค่กี่ก้าวก็ทั่ว วัดนี้ก็คงเล็กจนไม่รู้จะเล็กยังไง
คือแค่ยืนเฉย ๆ ก็เที่ยวทั่วแล้ว
ไม่น่าเสียเงินเข้ามาเล้ยยย
ผมออกจากคินตามณีแบบไม่ค่อยประทับใจเท่าไร หมู่บ้านนี้เหมาะกับการมารับประทานอาหารอร่อย ๆ นั่งกระดิกขาชิว ๆ ชมวิวภูเขาไฟ แต่ผมที่เพิ่งขึ้นไปเหยียบภูเขาลูกนั้นมาแล้วเมื่อวาน ก็เลยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเท่าไร เหมือนเห็นน้ำพริกถ้วยเก่าที่เราเคยลิ้มชิมรสมันมาแล้ว การขับรถขึ้นมาบนนี้เลยค่อยไม่คุ้มค่าความเหนื่อยเท่าที่ควร
ผมขับรถมุ่งหน้าลงใต้ด้วยถนนอีกเส้นหนึ่ง วางแผนไว้ว่าจะแวะเที่ยวที่วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์และกุนุงกาวีก่อนกลับที่พักในเมืองเดนพาซาร์ ถนนสายนี้มีร้านกาแฟที่เขียนโฆษณาว่า ‘Kopi Luwak’ อยู่หลายร้าน ผมรู้ว่า Kopi หมายถึงกาแฟ ส่วน Luwak ดูจากรูปแล้วก็น่าจะหมายถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตากลมโตจมูกยื่น ๆ ตัวนั้น
เอ๊ะ หรือว่า Kopi Luwak คือกาแฟขี้ชะมดที่โด่งดังนะ
กาแฟขี้ชะมดหรือ Kopi Luwak เป็นกาแฟที่มีชื่อเสียงของประเทศอินโดนีเซีย ได้ชื่อว่าเป็นกาแฟที่อร่อยและมีราคาแพงที่สุดในโลก กระบวนการผลิตที่สำคัญคือต้องไปเก็บเมล็ดกาแฟจากขี้ตัวชะมด จากนั้นก็นำเมล็ดกาแฟไปตากแห้งแล้วเอามาคั่วกินกัน สารเคมีในระบบย่อยอาหารของชะมดจะทำให้กาแฟชนิดนี้มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ผมเป็นคนที่ชอบกินกาแฟครับ แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มกินกาแฟครั้งแรกเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว แต่ผมก็ติดอกติดใจความหอมกรุ่นและรสชาติของกาแฟเข้าอย่างจัง จนตอนนี้จะเรียกว่าติดกาแฟก็ว่าได้ ไหน ๆ มาเยือนอินโดนีเซียแล้ว แวะชิมกาแฟขี้ชะมดของเขาซะหน่อยก็แล้วกัน คงไม่มีใครว่าผมว่าไม่รักช้างไทยหรอกนะ
ผมเลี้ยวซ้ายเข้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ในใจนึกภาพร้านกาแฟน่ารัก ๆ แถวซอยอารีย์ มีการตกแต่งร้านสไตล์เกาหลี พนักงานในร้านเป็นนางเอกสาวสวยปลอมตัวมา เอาล่ะ เดี๋ยวพอเราเข้าไปนั่งในร้านนะ เราจะสั่งกาแฟขี้ชะมดมากิน แล้วถ่ายรูปลง Facebook อวดเพื่อน ๆ ที่กำลังทำงานหน้าดำคร่ำเคร่งกันอยู่ที่เมืองไทย
หึหึ พวกมันต้องอิจฉาเราแน่ ๆ
แต่พอผมจอมรถ ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ นั้นก็สลายไป
ไม่มีร้านกาแฟสไตล์เกาหลี มีแต่เพิงไม้ไผ่เก่า ๆ กับโต๊ะหินเล็ก ๆ อีกหนึ่งตัว ที่โต๊ะมีกาต้มน้ำร้อนอยู่หนึ่งเครื่อง บาริสต้าเป็นชายชาวบาหลีที่ดูหน้าตาท่าทางแล้ว น่าจะยืนขายยาดองตะขาบมากกว่ากาแฟระดับโลกนะ
ผมรีบวิ่งขึ้นรถแล้วขับออกไป
ไม่จริง ไม่จริง เมื่อกี้มันคงเป็นภาพลวงตา ร้านกาแฟ Kopi Luwak ที่มีชื่อเสียงระดับโลกต้องไม่ใช่ร้านข้างทางแบบนี้ เราคงหิวจนเห็นภาพหลอนไปเองแน่ ๆ
อย่างไรก็ตาม ร้านกาแฟตลอดเส้นทางที่ผมขับรถผ่านก็มีลักษณะแบบนี้ทุกร้าน คือเป็นเพิงไม้ไผ่ มีกาต้มน้ำร้อนหนึ่งอัน โต๊ะหินสำหรับเล่นหมากรุก แล้วก็มีบาริสต้าหน้าตาง่วง ๆ ท่าทางอ่อนล้าเหมือนผ่านโลกมาหลายศตวรรษ ซึ่งไม่เข้ากับบรรยากาศของร้านกาแฟเลย บุคลิกภาพน่าไปขายยากล่อมประสาทอะไรแบบนี้มากกว่า
ขับรถไปได้ครึ่งกิโล คำถามหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง
เอ๊ะ ทุกวันนี้เรากินกาแฟ หรือกินบรรยากาศในร้านกาแฟ
สังเกตได้จากเวลาเราแนะนำร้านกาแฟให้เพื่อน เรามักจะให้เหตุผลว่า ‘ร้านกาแฟนี้น่ารัก’ มากกว่า ‘กาแฟร้านนี้อร่อย’ เรามักเลือกนั่งร้านกาแฟที่ตกแต่งสวยงาม บรรยากาศดี มีสาวสวยเดินผ่าน หรือบางครั้งก็เลือกร้านที่มีปลั๊กไฟ นั่งทำงานได้ รสชาติของกาแฟกลับเป็นเรื่องสำคัญรอง ๆ ลงมา
ทุกวันนี้เรากินกาแฟ หรือกินบรรยากาศในร้านกาแฟกันนะ
ผมตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเข้าร้านกาแฟร้านถัดไปทันที ผมจะมากินกาแฟ ไม่ได้มากินร้านกาแฟ บรรยากาศในร้านจะเป็นยังไงช่างมัน
ผมจอดรถ หยิบเงินในกระเป๋า และลงจากรถ
แล้วก็รีบขึ้นมาบนรถใหม่เมื่อพบว่าผมเหลือเงินอยู่แค่ 50,000 รูเปียห์ หรือประมาณ 150 บาทสำหรับการเที่ยวอีกสามวันที่เหลือ
บ้าไปแล้ว!! นี่เงินหรือน้ำในคลองลัดโพธิ์เนี่ย ทำไมเงินไหลออกจากกระเป๋าเร็วขนาดนี้
ผมขับรถออกจากร้านกาแฟร้านนั้น
อย่าว่าแต่กาแฟขี้ชะมดเลยครับ ข้าวเย็นวันนี้จะมีเงินจ่ายรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
To be continued
*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ --> https://www.facebook.com/lovenaioui ***