บาหลีไม่มีเธอ: หมู่บ้านคินตามณี (ตอนที่ 12)

ความเดิมตอนที่แล้ว --> http://pantip.com/topic/34108068

********************


ผมขับรถออกจากวัดเบซากีห์โดยที่อวัยวะยังอยู่ครบ 32 ไม่โดนแก๊งมาเฟียรุมกระทืบหรือเจาะยางรถแต่อย่างใด จุดหมายต่อไปของผมคือหมู่บ้านคินตามณี

‘คินตามณี’ (Kintamani) ตั้งอยู่บริเวณภูเขาไฟบาตูร์ที่ผมเพิ่งไปมาเมื่อวาน สามารถขับรถจากวัดเบซากีห์ไปได้ ไม่อ้อมมากนัก ลัดเลาะภูเขาขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 20 กิโลเมตรก็ถึงแล้ว

คินตามณีเป็นหมู่บ้านที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก ตั้งอยู่บนภูเขาสูง สามารถมองเห็นภูเขาไฟและทะเลสาบบาตูร์ได้อย่างชัดเจน พื้นที่บริเวณนี้มีร้านอาหารจำนวนมาก นักท่องเที่ยวนิยมมานั่งรับประทานอาหารอร่อย ๆ ชมวิวสวย ๆ ที่หมู่บ้านแห่งนี้

แต่สำหรับนักท่องเที่ยวเบี้ยน้อยหอยน้อยแถมยังโดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างผม คงไม่มีเงินมากพอที่จะเข้าไปนั่งกระดิกเท้าชมวิว จิบกาแฟขี้ชะมดแบบนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่ทำได้ก็แค่ขับรถผ่านร้านอาหารพวกนั้นไปพร้อมกับคิดในใจว่า ‘คงไม่อร่อยเท่าไรร้อกกกกก’ ก็เท่านั้น

นอกจากร้านอาหารแล้ว คินตามณียังมีวัดอีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ‘วัดอูลุนดานูบาตูร์’ (Pura Ulun Danu Batur)

ยอมรับว่าผมมาที่วัดนี้ด้วยความงุนงง คือที่บาหลีมันจะมีสองวัดที่ชื่อคล้าย ๆ กัน ได้แก่ วัดอูลุนดานูบาตูร์ (Pura Ulun Danu Batur) กับ วัดอูลุนดานูเบราตัน (Pura Ulun Danu Beratan) คือถ้าลองไปค้นใน Google จะพบว่าสองวัดนี้ featuring กันมาก บางคนก็บอกบาตูร์บ้าง บางคนก็บอกเบราตันบ้าง บางคนก็ลงรูปวัดบาตูร์โดยใช้ชื่อเบราตัน บางคนก็ลงรูปวัดเบราตันโดยใช้ชื่อบาตูร์ ลงรูปมั่วกันไปหมด จนตอนแรกผมยังเข้าใจว่าเป็นวัดเดียวกันเลย

วัดเบราตันชัดเจนครับว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงของบาหลี มีเจดีย์ตั้งอยู่ในน้ำสวยงามมากซึ่งผมจะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ แต่วัดบาตูร์นี่หน้าตาเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ แต่ไม่ต้องห่วง คันก็เกา สงสัยก็ไปดูให้หายสงสัยเซ่

ผมขับรถไปจอดที่ลานหน้าวัด ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปด้านในก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนเรียกผม แกบอกให้ผมจ่ายค่าเข้าชมและนุ่งโสร่งให้เรียบร้อยก่อนเข้าวัด

ห้ะ!! โสร่งอีกแล้วเหรอวะ!!

รู้งี้เอาผ้าขาวม้าพ่อมาจากบ้านก็หมดเรื่องแล้ว

ผมเดินไปจ่ายค่าเข้าชม 35,000 รูเปียห์ ซักพักก็มีป้าคนหนึ่งเชิญชวนให้ผมไปเลือกซื้อโสร่งที่ร้านของตน

“ไอขอเช่าได้ไหม เดี๋ยวเสร็จแล้วไอเอามาคืน”

ผมต่อรองด้วยมุกเดิมเพราะไม่รู้จะซื้อโสร่งไปทำอะไรจริง ๆ

“โอเค ก็ได้ ทั้งหมด 50,000 รูเปียห์”

หึ ๆ อิป้า อย่ามาใช้มุกซ้ำกับแม่ค้าที่วัดเบซากีห์ กุรู้ทันนะ คนอย่างไอ้อุ๊ย (ถ้าไม่ใช่เรื่องความรัก) เจ็บแล้วจำทุกเรื่องเฟ่ย

ผมเตรียมรับมือไว้หมดแล้ว ตอนนั้นผมสวมวิญญาณนักแสดงเวทีรัชดาลัย ทำหน้าตื่นตกใจพร้อมกับอุทานออกไปว่า

“Really?”

พร้อมกับทำท่าหันหลัง ทำทีเหมือนกำลังจะเดินออกจากร้าน คุณป้าคนนั้นเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้ทันที

รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของผม

หึ ๆ อิป้า เสร็จกุ

“50,000 นี่ราคาเต็ม ต่อรองกันได้จ้า”

“งั้นไอขอ 10,000 นึงละกัน”

ผมต่อราคาแบบไม่อายฟ้าอายดิน ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเอาเปรียบผมได้อีกแล้ว

“40,000 ได้ไหม”

“โน!! 10,000 เท่านั้น!!”

“30,000 ละกัน”

“โน!!”

“อะ ๆ 20,000 ก็ได้”

“โน!!”

ผมยืนยันอย่างแข็งกร้าวพร้อมทำท่าเดินออกจากร้านอีกครั้ง

“โอเค ๆ”

ในที่สุดผมเช่าโสร่งได้ในราคา 10,000 รูเปียห์

การต่อราคาของในบาหลีต้องใช้ทัศนคติที่ถูกต้องกับทักษะการแสดงอีกนิดหน่อย ทัศนคติที่ถูกต้องคือต้องระลึกไว้เสมอว่า ‘เราคือลูกค้า เราคือพระเจ้า’ ที่นี่เป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfectly Competitive Market) มีร้านที่ขายของแบบเดียวกันนี้อีกมากมายมหาศาล เราเป็นฝ่ายเลือกได้ พวกพ่อค้าแม่ค้าต้องคุกเข่าอ้อนวอนเรา ไม่ใช่ว่าเราเป็นฝ่ายง้องอนพวกมัน ถ้าต่อไม่ได้เราก็เซย์กู๊ดบายแล้วไปต่อราคาร้านอื่นต่อ อนุญาตให้ทำตัวหล่อสวยเลือกได้วันนึง พอกลับไทยเราจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วนะ

‘เราคือพระเจ้า ๆ’ ท่องเอาไว้

ส่วนทักษะการแสดงที่ผมใช้บ่อย ๆ ก็อย่างเช่น พอแม่ค้าบอกราคามาก็ทำท่าตกใจพร้อมกับอุทานว่า ‘Really?’ แล้วทำทีหันหลังเดินออกจากร้าน มุกนี้ผมใช้ได้ผลทุกครั้งนะ ร้อยทั้งร้อยวิ่งตามมาขอร้องอ้อนวอนเธออย่าไปทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาง้อเราแทบไม่ทันเลย

ผมนุ่งโสร่งที่เช่ามาในราคา 10,000 รูเปียห์ ขยิบตาให้คุณป้าคนนั้นหนึ่งครั้งแสดงออกถึงชัยชนะ แล้วเดินเข้าวัดไป

วัดบาตูร์เป็นวัดที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากวัดเบซากีห์ วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งแม่น้ำและทะเลสาบ แต่เดิมตัววัดตั้งอยู่บริเวณตีนภูเขาไฟด้านล่าง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดเมื่อปี 1926 ก็เลยต้องย้ายทั้งวัดทั้งหมู่บ้านขึ้นมาบนภูเขา บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่จนเป็นวัดที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

ผมว่าวัดนี้บรรยากาศดีนะ ตั้งอยู่บนเขา เห็นทิวทัศน์ได้กว้างขวาง พาโนรามามาก ๆ แต่อย่างที่บอกว่าอากาศวันนี้มันมึน ๆ มัว ๆ ไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไร

ผมเดินอยู่ไม่กี่ก้าวก็ทั่ววัดบาตูร์แล้ว และด้วยความเสียดายค่าเช่าโสร่ง ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เช่ามาแล้วก็อยากใช้มันให้คุ้มค่า เลยยอมเสียเงินอีก 15,000 รูเปียห์เพื่อเข้าชมวัดที่อยู่ข้าง ๆ โดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวัดนั้นชื่ออะไร

ถ้าวัดบาตูร์เมื่อกี้เล็กจนเดินไม่แค่กี่ก้าวก็ทั่ว วัดนี้ก็คงเล็กจนไม่รู้จะเล็กยังไง

คือแค่ยืนเฉย ๆ ก็เที่ยวทั่วแล้ว

ไม่น่าเสียเงินเข้ามาเล้ยยย
















































วิวทะเลสาบ/ภูเขาไฟ


ผมออกจากคินตามณีแบบไม่ค่อยประทับใจเท่าไร หมู่บ้านนี้เหมาะกับการมารับประทานอาหารอร่อย ๆ นั่งกระดิกขาชิว ๆ ชมวิวภูเขาไฟ แต่ผมที่เพิ่งขึ้นไปเหยียบภูเขาลูกนั้นมาแล้วเมื่อวาน ก็เลยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเท่าไร เหมือนเห็นน้ำพริกถ้วยเก่าที่เราเคยลิ้มชิมรสมันมาแล้ว  การขับรถขึ้นมาบนนี้เลยค่อยไม่คุ้มค่าความเหนื่อยเท่าที่ควร

ผมขับรถมุ่งหน้าลงใต้ด้วยถนนอีกเส้นหนึ่ง วางแผนไว้ว่าจะแวะเที่ยวที่วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์และกุนุงกาวีก่อนกลับที่พักในเมืองเดนพาซาร์ ถนนสายนี้มีร้านกาแฟที่เขียนโฆษณาว่า ‘Kopi Luwak’ อยู่หลายร้าน ผมรู้ว่า Kopi หมายถึงกาแฟ ส่วน Luwak ดูจากรูปแล้วก็น่าจะหมายถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตากลมโตจมูกยื่น ๆ ตัวนั้น

เอ๊ะ หรือว่า Kopi Luwak คือกาแฟขี้ชะมดที่โด่งดังนะ

กาแฟขี้ชะมดหรือ Kopi Luwak เป็นกาแฟที่มีชื่อเสียงของประเทศอินโดนีเซีย ได้ชื่อว่าเป็นกาแฟที่อร่อยและมีราคาแพงที่สุดในโลก กระบวนการผลิตที่สำคัญคือต้องไปเก็บเมล็ดกาแฟจากขี้ตัวชะมด จากนั้นก็นำเมล็ดกาแฟไปตากแห้งแล้วเอามาคั่วกินกัน สารเคมีในระบบย่อยอาหารของชะมดจะทำให้กาแฟชนิดนี้มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ผมเป็นคนที่ชอบกินกาแฟครับ แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มกินกาแฟครั้งแรกเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว แต่ผมก็ติดอกติดใจความหอมกรุ่นและรสชาติของกาแฟเข้าอย่างจัง จนตอนนี้จะเรียกว่าติดกาแฟก็ว่าได้ ไหน ๆ มาเยือนอินโดนีเซียแล้ว แวะชิมกาแฟขี้ชะมดของเขาซะหน่อยก็แล้วกัน คงไม่มีใครว่าผมว่าไม่รักช้างไทยหรอกนะ

ผมเลี้ยวซ้ายเข้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ในใจนึกภาพร้านกาแฟน่ารัก ๆ แถวซอยอารีย์ มีการตกแต่งร้านสไตล์เกาหลี พนักงานในร้านเป็นนางเอกสาวสวยปลอมตัวมา เอาล่ะ เดี๋ยวพอเราเข้าไปนั่งในร้านนะ เราจะสั่งกาแฟขี้ชะมดมากิน แล้วถ่ายรูปลง Facebook อวดเพื่อน ๆ ที่กำลังทำงานหน้าดำคร่ำเคร่งกันอยู่ที่เมืองไทย

หึหึ พวกมันต้องอิจฉาเราแน่ ๆ

แต่พอผมจอมรถ ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ นั้นก็สลายไป

ไม่มีร้านกาแฟสไตล์เกาหลี มีแต่เพิงไม้ไผ่เก่า ๆ กับโต๊ะหินเล็ก ๆ อีกหนึ่งตัว ที่โต๊ะมีกาต้มน้ำร้อนอยู่หนึ่งเครื่อง บาริสต้าเป็นชายชาวบาหลีที่ดูหน้าตาท่าทางแล้ว น่าจะยืนขายยาดองตะขาบมากกว่ากาแฟระดับโลกนะ

ผมรีบวิ่งขึ้นรถแล้วขับออกไป

ไม่จริง ไม่จริง เมื่อกี้มันคงเป็นภาพลวงตา ร้านกาแฟ Kopi Luwak ที่มีชื่อเสียงระดับโลกต้องไม่ใช่ร้านข้างทางแบบนี้ เราคงหิวจนเห็นภาพหลอนไปเองแน่ ๆ  

อย่างไรก็ตาม ร้านกาแฟตลอดเส้นทางที่ผมขับรถผ่านก็มีลักษณะแบบนี้ทุกร้าน คือเป็นเพิงไม้ไผ่ มีกาต้มน้ำร้อนหนึ่งอัน โต๊ะหินสำหรับเล่นหมากรุก แล้วก็มีบาริสต้าหน้าตาง่วง ๆ ท่าทางอ่อนล้าเหมือนผ่านโลกมาหลายศตวรรษ ซึ่งไม่เข้ากับบรรยากาศของร้านกาแฟเลย บุคลิกภาพน่าไปขายยากล่อมประสาทอะไรแบบนี้มากกว่า

ขับรถไปได้ครึ่งกิโล คำถามหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง

เอ๊ะ ทุกวันนี้เรากินกาแฟ หรือกินบรรยากาศในร้านกาแฟ

สังเกตได้จากเวลาเราแนะนำร้านกาแฟให้เพื่อน เรามักจะให้เหตุผลว่า ‘ร้านกาแฟนี้น่ารัก’ มากกว่า ‘กาแฟร้านนี้อร่อย’ เรามักเลือกนั่งร้านกาแฟที่ตกแต่งสวยงาม บรรยากาศดี มีสาวสวยเดินผ่าน หรือบางครั้งก็เลือกร้านที่มีปลั๊กไฟ นั่งทำงานได้ รสชาติของกาแฟกลับเป็นเรื่องสำคัญรอง ๆ ลงมา

ทุกวันนี้เรากินกาแฟ หรือกินบรรยากาศในร้านกาแฟกันนะ

ผมตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเข้าร้านกาแฟร้านถัดไปทันที ผมจะมากินกาแฟ ไม่ได้มากินร้านกาแฟ บรรยากาศในร้านจะเป็นยังไงช่างมัน

ผมจอดรถ หยิบเงินในกระเป๋า และลงจากรถ

แล้วก็รีบขึ้นมาบนรถใหม่เมื่อพบว่าผมเหลือเงินอยู่แค่ 50,000 รูเปียห์ หรือประมาณ 150 บาทสำหรับการเที่ยวอีกสามวันที่เหลือ

บ้าไปแล้ว!! นี่เงินหรือน้ำในคลองลัดโพธิ์เนี่ย ทำไมเงินไหลออกจากกระเป๋าเร็วขนาดนี้

ผมขับรถออกจากร้านกาแฟร้านนั้น

อย่าว่าแต่กาแฟขี้ชะมดเลยครับ ข้าวเย็นวันนี้จะมีเงินจ่ายรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย

To be continued

*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ --> https://www.facebook.com/lovenaioui ***


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่