ขอแชร์ประสบการณ์ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

ขอแชร์ประสบการณ์ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า อาจจะยาวนะคะ เผื่อเป็นประโยชน์บ้าง จากคนที่ในชีวิตนี้ไม่เคยคิดเรื่องฆ่าตัวตาย และมองว่าเป็นเรื่องไม่สมควรทำอย่างยิ่ง แต่อะไรมันไม่แน่นอนค่ะ ว่าเราจะประสบเหตุการณ์ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า จนคิดฆ่าตัวตายได้ เรื่องราววิกฤตในชีวิตเกิดในปี2556 ตอนอายุ35 ดิฉันตั้งครรภ์ ซึ่งปกติดี และดิฉันตั้งใจมากที่จะมีลูกค่ะ จนดิฉันไปตรวจเลือดคัดกรองเด็กดาวน์ ผลปรากฎความเสี่ยงสูงมาก ทำให้ดิฉันวิตกกังวลมากๆ  ทำให้ศึกษาค้นคว้า เรื่องผลเลือดแต่ละตัว ศึกษาทั้งการทำแท้ง ศึกษาการเลี้ยงดูเด็กดาวน์ ซึ่งถ้าผลตรวจน้ำคร่ำยืนยันว่าเป็น ดิฉันไม่สามารถจะตัดสินใจได้เลยว่าจะเก็บเด็กไว้หรือไม่ และกว่าดิฉันจะรู้ได้เจาะและรู้ผลตรวจน้ำคร่ำ ใช้เวลาถึงเกือบ 3เดือน ดิฉันจึงคิดวนเวียนถึงผลที่ไม่ดีที่จะเกิด ทำให้ทุกข์ใจตลอดเวลา จนพอรู้ผลว่าลูกปกติทุกอย่าง ดิฉันกลับไม่ดีใจ ยังคงคิดลบว่าผลอาจจะผิดได้ ยังคงร้องไห้ และทุกข์ใจเหมือนเดิม ซึ่งเกิดจากดิฉันได้เป็นโรคซึมเศร้าเข้าแล้ว ณ ตอนนั้นดิฉันไม่สามารถทำงานได้ ไม่สามารถอ่านหนังสือได้  ไม่สามารถดูโทรทัศน์ได้ เรียกได้ว่าไม่มีสมาธิเลย ตื่นนอนพร้อมกับความทุกข์ใจทุกๆวัน จนวันนึงไม่สามารถนอนหลับได้เลย และคิดอยากฆ่าตัวตาย ให้พ้นๆจากความทรมานทางจิตใจ ดิฉันจึงไปพบจิตแพทย์ ตอนตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน และทำแบบทดสอบการเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งผลคือเป็นระดับรุนแรงมากที่สุด ต้องกินยารักษา ซึ่งการกินยายิ่งทำให้ดิฉันคิดมากเข้าไปอีกว่าลูกจะพิการ แต่ถ้าไม่กินดิฉันไม่สามารถหลับได้เลย ยาช่วยเรื่องทำให้นอนได้เท่านั้น ทุกวันจะมีอาการปวดที่หัวใจ ลุกจากที่นอนด้วยความยากลำบาก เห็นภาพตัวเองกระโดดตึก ผูกคอตาย  เหมือนตกนรกทั้งเป็น ภาพที่เห็นผ่านตาเหมือนมีหมอกดำๆปกคลุมตลอดเวลา อยากให้ตัวเองคลอดลูกไวๆ เพราะกลัวจะฆ่าตัวตายก่อน ต้องมีคนอยู่ด้วย24ชั่วโมง ดิฉันต้องทนทุกข์ทรมานของจิตใจซึ่งเจ็บปวดกว่าร่างกายไม่รู้กี่เท่า จนเม่ื่อคลอดลูกอาการไม่ดีขึ้น ซ้ำยังคิดว่าจะทำร้ายลูกอีก ซึ่งทำให้อยากตายจริงๆ เพื่อไม่ไปทำร้ายลูก หมอต้องจ่ายยารักษาแบบเต็มที่ หลังจากออกจากโรงพยาบาลดิฉันไม่สามารถดูลูกได้เลย ร่างกายอ่อนแรง อยากขังตัวเองในห้องและให้มันตายไปจากโลกนี้ ที่บ้านจึงส่งไปอยู่โรงพยาบาลให้นอนแผนกจิตเวช และจ่ายยาพร้อมมีกิจกรรมให้ทำ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 2 อาทิตย์ หมอจะพิจารณาการช๊อตไฟฟ้า วันนึงผ่านไปอย่างทุกข์ทรมาน 1วันเหมือน 1 ปี ยาทำให้ดิฉันร้องไห้น้อยลง แต่เหมือนมันกดอยู่ ดิฉันยังมีความคิดวนแต่ โรคยังไงก็ไม่หาย ตายดีกว่า เป็นภาระครอบครัว ไม่เห็นหนทางหลดพ้นได้เลย แต่เนื่องจากตอนปกติดิฉันชอบทำบุญมาก จึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ดิฉันไม่ฆ่าตัวตายเพราะกลัวบาป และกลัวว่าหลดพ้นจากตรงนี้ก็ทรมานในภพหน้าอยู่ดี คนรอบข้างดิฉันดีมากๆ ทุกคนให้กำลังใจ ให้คิดบวก แต่ดิฉันไม่สามารถคิดบวกได้เลย เนื่องจากโรคทำให้คิดลบหมด และแล้วคุณหมอคุยกับดิฉันว่าในกรณีดิฉัน คุณต้องมีสติเท่านั้น จึงจะหายจากโรคนี้ ยาเป็นแค่ส่วนประกอบ จนดิฉันอยู่โรงพยาบาลครบ 1เดือน เพื่อนคนไข้ให้ลูกประคำมาให้ลองนับ เผื่ออาการจะดีขึ้น ดิฉันจดจ่อกับมันมากจนปวดหัว ประจวบกับได้ขอคุณหมอกลับบ้าน 1วัน เพื่อมาเจอกับคุณลุงของดิฉันซึ่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นประจำ ดิฉันจึงปรึกษาคุณลุงว่าคุณหมอบอกอยากหายต้องมีสติ และดิฉันก็ลองนับลูกประคำ ก็ยังไม่หายแถมปวดหัว คุณลุงจึงบอกว่าการมีสติ คือการรู้สึกตัว เราสามารถใช้ลูกประคำให้เกิดสติได้คือ แค่ให้รู้สึกว่ามือสัมผัสกับลูกประคำ อาจรูดลูกประคำเล่นๆ แค่ให้รู้สึกถึงมือที่กระทบกับลูกประคำ เมื่อใดที่เกิดความคิด ให้กลับมารู้สึกตัวทันทีคือ รู้สึกถึงมือที่สัมผัสลูกประคำ ความคิดที่เกิดจะหายไป ถ้าเกิดความคิดอีก ให้รู้สึกที่มืออีก ความคิดจะขาดเป็นช่วงๆไม่ปะติดปะต่อ ให้ทำความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุด มันอาจจะยากนิดนึงในช่วงแรกเพราะดิฉันค่อนข้างมีอารมณ์มาครอบงำ เปรียบเสมือนกำลังเรียนรู้กับอารมณ์คืออาจารย์ใหญ่ และไม่มีอะไรได้มาง่าย ต้องอย่าล้มเลิก หลังจากที่ดิฉันฟังคุณลุงสอน ดิฉันเกิดความเข้าใจเรื่องสติทันที คือความรู้สึกตัวให้อยู่กับปัจจุบัน
    หลังกลับมาโรงพยาบาลดิฉันทำความรู้สึกตัวตามที่ลุงสอน ทำติดต่อเนื่องยาวนาน เป็นเวลา 3วัน ซึ่งไม่น่าเชื่อความคิดที่วกวนในหัวที่คิดแต่ว่าไม่หายตายแน่ๆ เหมือนคนอยู่ในถ้ำหาทางออกไม่เจอ พอเรามีความรู้สึกตัว รู้ทันความคิด ปรากฎว่า ความคิดที่วกวนมันมลายหายไป เกิดแสงสว่างขึ้น จึงขอออกจากโรงพยาบาล และกลับมาเจริญสติต่อที่บ้าน และลดยาลงเรื่อยๆ จนคุณหมอแปลกใจว่าเป็นมากแต่พอหายก็หายอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้หมอไม่นัดและเลิกกินยาเป็นปีแล้วค่ะ และให้ดิฉันเขียนใส่กระดาษเพื่อเป็น case ให้คุณหมอ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนไข้ท่านอื่น ดิฉันจึงขอมาแชร์เรื่องราวในนี้ด้วยค่ะ การเจริญสติทำให้หายจากโรงซึมเศร้า และการเจริญสติในยามชีวิตปกติ จะเป็นเกราะป้องกันให้จิตใจ ไม่ประสบเหตุการณ์แบบดิฉันค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่