ขอบอกไว้ก่อนว่ากระทู้นี้ไม่ได้เป็นการรีวิวสถานที่เที่ยวในคันไซนะคะ เป็นการมาเล่าประสบการณ์และแชร์ข้อมูลบางอย่างจากการเที่ยวคันไซคนเดียวช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวครั้งแรกของเรา... สงสัยปีนี้เป็นปีแห่งการลุยเดี่ยวเที่ยวเอเชีย
ที่มาของทริปนี้ เกิดจาก...ความบังเอิญจากการไปเที่ยวจีนคนเดียวตอนช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ทำให้ความกล้ากลับมาอีกครั้งที่จะเดินทางคนเดียวไปสถานที่ใหม่ๆ ...ความบังเอิญที่มี Big Points ของ Air Asia เหลือเพียบ (20000 กว่าคะแนน) แต่ไม่รู้หมดอายุเมื่อไหร่ และดันขี้เกียจโทรถาม Call Center แต่เดาว่าน่าจะปีนี้แหละ ...ความบังเอิญที่ Air Asia ออกโปรโมชั่นสำหรับใช้คะแนนออกมาพอดี ...และความบังเอิญที่พอจะมีวันลาเหลืออยู่บ้าง(อันนี้สำคัญที่สุด แหะๆ)
พอความบังเอิญทั้งหมดนี่มารวมตัวกัน ต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านเลยจองตั๋วเครื่องบินของ Air Asia ไปโอซาก้าช่วงวันแม่ เพราะเป็นเมืองที่ไม่เคยไป จริงๆก็อยากไปตอนใบไม้เปลี่ยนสี แต่โปรก็ลากยาวไปไม่ถึงช่วงนั้น และก็กลัวจะไม่ออกมาอีก แถมกลัวแต้มจะหมดอายุโดยที่ยังไม่ได้ใช้ (ไม่รู้จะกลัวอะไรกันนักกันหนา) ไหนๆก็ไหนๆถือว่าเป็นทริปสำรวจลู่ทางละกันเนอะ...ปลอบตัวเองไปงั้นแหละ

หลังจากจองไปแล้วค่อยมาถามเพื่อนๆว่ามีใครสนใจไปเที่ยวญี่ปุ่นเดือน ส.ค. กันมั๊ย ทุกคนก็จะถามเป็นเสียงเดียวกัน(เกือบหมด) ว่า มันหน้าร้อนไม่ใช่หรอ ไปทำอะไร ไม่เห็นมีอะไรดู แล้วทำไมเลือกไปคันไซ...เออ อ่าว งั้นหรอ นั่นสิ ก็ไม่รู้สินะ (คิดไม่ทัน...เข้าโหมดมึนทันที)
ตอนแรกก็สะกดจิตตัวเองว่าตั๋วถูกพอๆกับขับรถเที่ยวไทย ไปขำๆก็ได้ไม่เห็นต้องมีอะไรทำ กินๆชิลๆ แต่พอโดนถามเยอะๆขึ้นก็เริ่มไม่มั่นใจ มาหาข้อมูลเที่ยวช่วงหน้าร้อนที่คนเคยรีวิวไว้ ก็ไม่ได้ช่วยให้มีกำลังใจมากขึ้นเลย แถมดันมารู้ทีหลังว่า ส.ค. เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของปี และดันมีผู้หวังดีถามว่า “ทำไมไม่ไปช่วงวันหยุดกลางปีธนาคาร(ทำงานธนาคารเป็นงานหลัก) เพราะใช้วันลาเท่ากัน และอาจถูกกว่าเพราะไม่ใช่วันหยุดราชการทั่วไป หรือทำไมไม่ไปช่วงวันอาสาฬหบูชาตอนสิ้นเดือน ก.ค.” ฟังแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมๆๆๆๆ ทำไมไม่ถามก่อนตรูจะจองฟระ!!! ไม่ได้อยากโทษตัวเองเลยว่าตอนจองตั๋วลืมดูปฏิทินเดือน ก.ค. อยากจะตบกะโหลกตัวเองซ้ำไปซ้ำมามาก
แต่ก็เอาวะ จองไปแล้ว ไปคนเดียวก็ได้ ไปตอนร้อนโคตรๆก็ได้ ไม่มีงานเทศกาลก็ได้ ต้องได้เจอสิ่งที่ชาวบ้านเค้าไม่ได้เจอแน่ๆเพราะไม่ค่อยมีคนเที่ยวแถบคันไซหน้าร้อนหรอก แถมจำไว้นะว่าค่าตั๋วรวมน้ำหนักขากลับแค่ 3,xxx บาทเอง คุ้มจะตาย
....พอผ่านไปแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็มีโปรออกมาใหม่ที่ใช้คะแนนแค่นิดเดียวแต่จ่ายพอๆกัน.... ร้องเชรี่ยหนักมาก จะซ้ำเติมกันไปถึงไหน #ขอดราม่าแพร็พ
พอกันทีกับความพลาดในอดีต จริงๆมันก็มีเรื่องดีๆตามมาเหมือนกัน พอดีเหลือบไปเห็นใน facebook ว่ามีโปรโมชั่นครบรอบ 2 ปีของ 4G pocket wifi ที่ให้จองเครื่องช่วงมิ.ย. และใช้ได้ถึง 30 ก.ย. 58 เราเลยรีบจัดเลย ถือเป็นโปรที่ถูกมาก ลดราคาค่าเช่าเครื่องไปตั้งครึ่งนึง (พอใช้บริการแล้ว ก็ดีทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งเครื่อง น่าประทับใจจริง) ลองตามดูที่
https://www.facebook.com/4gpocketwifi?fref=ts ก็ได้ แถมลิ้งค์นี้ชอบมีข้อมูลเกี่ยวกับเที่ยวญี่ปุ่นที่น่าสนใจมาแชร์ให้ดูเรื่อยๆ
นอกจากนั้นก็บังเอิญไปเจอข้อมูลเทศกาลต่างๆในเกียวโต และ โอซาก้าจากเว็บ
http://www.tiewyeepoon.com/category/hot-topics/ เลยทำให้รู้ว่าช่วงที่เราจะไปก็มีจัดงานที่เกียวโต และโอซาก้าพอดีเป๊ะ ในที่สุดครั้งนี้ก็จะไม่ใช่การไปแบบว่างเปล่าไร้จุดหมายอีกต่อไป...ตอนนั้นดีใจอย่างกับถูกหวยแน่ะ
ปัญหาต่อมาก็เหมือนทุกคนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นที่ไม่รู้ว่าจะต้องซื้อ pass รึเปล่า ถ้าซื้อควรซื้อแบบไหนถึงจะเยอะที่สุด เพราะประเภทของ pass เยอะกว่ายี่ห้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใน 7-11 ซะอีก ไม่ว่าหาข้อมูลมาแค่ไหนก็ยังงงว่า แล้วไอ้นี่มันต่างกับไอ้นั่นแล้วมันดีกว่าไอ้นู่นยังไง อ่านไปอ่านมาเยอะจนจำอะไรไม่ได้เลย ผลสุดท้ายก็ต้องทำตารางเที่ยวแบบละเอียดของแต่ละวัน แล้วค่อยเปรียบเทียบการใช้ pass แต่ละประเภทว่าแบบไหนคุ้มที่สุด (รวมถึงทางเลือกที่ไม่ซื้อ pass เลย)
สรุปตารางคร่าวๆของการเที่ยวแต่ละวันก็ตามนี้เลย (นี่คือตามจริงที่ปรับจากแผนไปบ้างตามเวลาและเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ในแต่ละวัน)
วันที่ 1 เดินทางจาก กทม. – สนามบิน KIX นอนค้างที่สนามบิน (มันคือความบ้าบิ่นที่อยากลอง)
วันที่ 2 เดินทางไปเกียวโต (ใช้ ICOCA + HARUKA)
แถวๆ Arayashiyama : สะพาน Togetsukyu >> Tenryu-ji >> ป่าไผ่ >> ศาลเจ้า Nonomiya
แนววัด: Ninna-ji >> Ryuan-ji >> Kinkaku-ji (วัดทอง) >> ศาลเจ้า Fushimi Inari
Light-up: งาน Kyo no Tanabata 京の七夕 โซนแม่น้ำ Kamokawa
วันที่ 3 (ใช้ 1-day sightseeing pass)
Kiyomizudera (วัดน้ำใส) >> ตลาด Nishiki และถนนคนเดินแถวนั้น >> Ginkakuji (วัดเงิน) >> ศาลเจ้า Heian Jingu
Light-up: งาน Kyo no Tanabata 京の七夕 การแสดงแสงสีเสียงที่ปราสาท Nijo และโซนแม่น้ำ Horikawa
วันที่ 4 (ใช้ 1-day Kansai Area Pass)
Himeji Castle
Namba / Dotonbori (Dontonbori Lantern Festival)
วันที่ 5 (ใช้ Extended 1-day Osaka Amazing Pass)
Osaka Castle
Dotonbori
Shitennoji
Tempozan Giant Ferris Wheel
KIX กลับ กทม.
จากแผนการเที่ยวอาจจะดูเบาๆ เดินทั้งหมดแค่ประมาณ 84 กม.กว่าๆ (ดูระยะการเดินจาก SHealth App ในมือถือ Samsung) แต่สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปและพกขาตั้งกล้อง (บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ถ่ายรูปสวยนะครัช แค่บ้าอุปกรณ์) บอกเลยถ้าจะไปว่าสถานที่ที่ไปวันที่ 2 และ 3 ให้ทิ้งขาตั้งกล้องไว้ที่ห้องพักหรือ locker เลย เพราะแทบทุกที่ที่ไปไม่อนุญาตให้ใช้ ด้วยความที่ไม่ทำการบ้านไปให้ดีก่อนวันที่ 2 เราแบกอุปกรณ์กล้องแบบไปครบเซ็ท เดินไหล่แทบหลุด ถึงจะหนักแค่ 8-9 กก. แต่ยิ่งเดินเยอะทำให้รู้สึกว่ามันหนักมาก

ถึงกับต้อง(แอบๆ)พูดกับตัวเอง (ปกติก็ไม่ได้ทำนะ) ว่าตรูจะตาย... จะเป็นลม... มันรู้สึกคิดถึงที่นอนนุ่มๆ การนอนตื่นสายจนอยากกลับบ้านแบบบอกไม่ถูกเลย (เกิดมาไม่เคยรู้สึกอยากกลับบ้านตอนไปเที่ยวเลย ให้ตายเหอะ!...แต่เอ๊ะ! ไม่มีใครใช้ให้ทรมานตัวเองขนาดนั้นนี่หว่า)
ที่สำคัญและภูมิใจนำเสนอมาก คือ...ทริปนี้ใช้เงินไปประมาณ 15,000 บาท รวมทุกอย่างแล้ว เป็นไงล่ะ
ก่อนอื่นจะขอเล่าประสบการณ์เที่ยว 3 วันแรกของทริปนี้ก่อน โดยหลักๆจะอยู่ที่เกียวโต
และภาค 2 จะเป็นเรื่องราวการไปฮิเมจิ (ซ่อมแซมเสร็จแล้วจร้า กะเวลาเก่งจริงๆ) และเที่ยวในโอซาก้าาาาาา

ตามนี้จ้า >>
http://pantip.com/topic/34167109
กระทู้อื่น:
ผู้หญิงคนเดียวเที่ยวจางเจียเจี้ย (2558) >>
http://pantip.com/topic/33696282
หน้าร้อนคันไซ ไม่ไปไม่ร้อน (Part 1 - เกียวโต)
ขอบอกไว้ก่อนว่ากระทู้นี้ไม่ได้เป็นการรีวิวสถานที่เที่ยวในคันไซนะคะ เป็นการมาเล่าประสบการณ์และแชร์ข้อมูลบางอย่างจากการเที่ยวคันไซคนเดียวช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวครั้งแรกของเรา... สงสัยปีนี้เป็นปีแห่งการลุยเดี่ยวเที่ยวเอเชีย
ที่มาของทริปนี้ เกิดจาก...ความบังเอิญจากการไปเที่ยวจีนคนเดียวตอนช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ทำให้ความกล้ากลับมาอีกครั้งที่จะเดินทางคนเดียวไปสถานที่ใหม่ๆ ...ความบังเอิญที่มี Big Points ของ Air Asia เหลือเพียบ (20000 กว่าคะแนน) แต่ไม่รู้หมดอายุเมื่อไหร่ และดันขี้เกียจโทรถาม Call Center แต่เดาว่าน่าจะปีนี้แหละ ...ความบังเอิญที่ Air Asia ออกโปรโมชั่นสำหรับใช้คะแนนออกมาพอดี ...และความบังเอิญที่พอจะมีวันลาเหลืออยู่บ้าง(อันนี้สำคัญที่สุด แหะๆ)
พอความบังเอิญทั้งหมดนี่มารวมตัวกัน ต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านเลยจองตั๋วเครื่องบินของ Air Asia ไปโอซาก้าช่วงวันแม่ เพราะเป็นเมืองที่ไม่เคยไป จริงๆก็อยากไปตอนใบไม้เปลี่ยนสี แต่โปรก็ลากยาวไปไม่ถึงช่วงนั้น และก็กลัวจะไม่ออกมาอีก แถมกลัวแต้มจะหมดอายุโดยที่ยังไม่ได้ใช้ (ไม่รู้จะกลัวอะไรกันนักกันหนา) ไหนๆก็ไหนๆถือว่าเป็นทริปสำรวจลู่ทางละกันเนอะ...ปลอบตัวเองไปงั้นแหละ
หลังจากจองไปแล้วค่อยมาถามเพื่อนๆว่ามีใครสนใจไปเที่ยวญี่ปุ่นเดือน ส.ค. กันมั๊ย ทุกคนก็จะถามเป็นเสียงเดียวกัน(เกือบหมด) ว่า มันหน้าร้อนไม่ใช่หรอ ไปทำอะไร ไม่เห็นมีอะไรดู แล้วทำไมเลือกไปคันไซ...เออ อ่าว งั้นหรอ นั่นสิ ก็ไม่รู้สินะ (คิดไม่ทัน...เข้าโหมดมึนทันที)
ตอนแรกก็สะกดจิตตัวเองว่าตั๋วถูกพอๆกับขับรถเที่ยวไทย ไปขำๆก็ได้ไม่เห็นต้องมีอะไรทำ กินๆชิลๆ แต่พอโดนถามเยอะๆขึ้นก็เริ่มไม่มั่นใจ มาหาข้อมูลเที่ยวช่วงหน้าร้อนที่คนเคยรีวิวไว้ ก็ไม่ได้ช่วยให้มีกำลังใจมากขึ้นเลย แถมดันมารู้ทีหลังว่า ส.ค. เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของปี และดันมีผู้หวังดีถามว่า “ทำไมไม่ไปช่วงวันหยุดกลางปีธนาคาร(ทำงานธนาคารเป็นงานหลัก) เพราะใช้วันลาเท่ากัน และอาจถูกกว่าเพราะไม่ใช่วันหยุดราชการทั่วไป หรือทำไมไม่ไปช่วงวันอาสาฬหบูชาตอนสิ้นเดือน ก.ค.” ฟังแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมๆๆๆๆ ทำไมไม่ถามก่อนตรูจะจองฟระ!!! ไม่ได้อยากโทษตัวเองเลยว่าตอนจองตั๋วลืมดูปฏิทินเดือน ก.ค. อยากจะตบกะโหลกตัวเองซ้ำไปซ้ำมามาก
แต่ก็เอาวะ จองไปแล้ว ไปคนเดียวก็ได้ ไปตอนร้อนโคตรๆก็ได้ ไม่มีงานเทศกาลก็ได้ ต้องได้เจอสิ่งที่ชาวบ้านเค้าไม่ได้เจอแน่ๆเพราะไม่ค่อยมีคนเที่ยวแถบคันไซหน้าร้อนหรอก แถมจำไว้นะว่าค่าตั๋วรวมน้ำหนักขากลับแค่ 3,xxx บาทเอง คุ้มจะตาย
....พอผ่านไปแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็มีโปรออกมาใหม่ที่ใช้คะแนนแค่นิดเดียวแต่จ่ายพอๆกัน.... ร้องเชรี่ยหนักมาก จะซ้ำเติมกันไปถึงไหน #ขอดราม่าแพร็พ
พอกันทีกับความพลาดในอดีต จริงๆมันก็มีเรื่องดีๆตามมาเหมือนกัน พอดีเหลือบไปเห็นใน facebook ว่ามีโปรโมชั่นครบรอบ 2 ปีของ 4G pocket wifi ที่ให้จองเครื่องช่วงมิ.ย. และใช้ได้ถึง 30 ก.ย. 58 เราเลยรีบจัดเลย ถือเป็นโปรที่ถูกมาก ลดราคาค่าเช่าเครื่องไปตั้งครึ่งนึง (พอใช้บริการแล้ว ก็ดีทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งเครื่อง น่าประทับใจจริง) ลองตามดูที่ https://www.facebook.com/4gpocketwifi?fref=ts ก็ได้ แถมลิ้งค์นี้ชอบมีข้อมูลเกี่ยวกับเที่ยวญี่ปุ่นที่น่าสนใจมาแชร์ให้ดูเรื่อยๆ
นอกจากนั้นก็บังเอิญไปเจอข้อมูลเทศกาลต่างๆในเกียวโต และ โอซาก้าจากเว็บ http://www.tiewyeepoon.com/category/hot-topics/ เลยทำให้รู้ว่าช่วงที่เราจะไปก็มีจัดงานที่เกียวโต และโอซาก้าพอดีเป๊ะ ในที่สุดครั้งนี้ก็จะไม่ใช่การไปแบบว่างเปล่าไร้จุดหมายอีกต่อไป...ตอนนั้นดีใจอย่างกับถูกหวยแน่ะ
ปัญหาต่อมาก็เหมือนทุกคนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นที่ไม่รู้ว่าจะต้องซื้อ pass รึเปล่า ถ้าซื้อควรซื้อแบบไหนถึงจะเยอะที่สุด เพราะประเภทของ pass เยอะกว่ายี่ห้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใน 7-11 ซะอีก ไม่ว่าหาข้อมูลมาแค่ไหนก็ยังงงว่า แล้วไอ้นี่มันต่างกับไอ้นั่นแล้วมันดีกว่าไอ้นู่นยังไง อ่านไปอ่านมาเยอะจนจำอะไรไม่ได้เลย ผลสุดท้ายก็ต้องทำตารางเที่ยวแบบละเอียดของแต่ละวัน แล้วค่อยเปรียบเทียบการใช้ pass แต่ละประเภทว่าแบบไหนคุ้มที่สุด (รวมถึงทางเลือกที่ไม่ซื้อ pass เลย)
สรุปตารางคร่าวๆของการเที่ยวแต่ละวันก็ตามนี้เลย (นี่คือตามจริงที่ปรับจากแผนไปบ้างตามเวลาและเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ในแต่ละวัน)
วันที่ 1 เดินทางจาก กทม. – สนามบิน KIX นอนค้างที่สนามบิน (มันคือความบ้าบิ่นที่อยากลอง)
วันที่ 2 เดินทางไปเกียวโต (ใช้ ICOCA + HARUKA)
แถวๆ Arayashiyama : สะพาน Togetsukyu >> Tenryu-ji >> ป่าไผ่ >> ศาลเจ้า Nonomiya
แนววัด: Ninna-ji >> Ryuan-ji >> Kinkaku-ji (วัดทอง) >> ศาลเจ้า Fushimi Inari
Light-up: งาน Kyo no Tanabata 京の七夕 โซนแม่น้ำ Kamokawa
วันที่ 3 (ใช้ 1-day sightseeing pass)
Kiyomizudera (วัดน้ำใส) >> ตลาด Nishiki และถนนคนเดินแถวนั้น >> Ginkakuji (วัดเงิน) >> ศาลเจ้า Heian Jingu
Light-up: งาน Kyo no Tanabata 京の七夕 การแสดงแสงสีเสียงที่ปราสาท Nijo และโซนแม่น้ำ Horikawa
วันที่ 4 (ใช้ 1-day Kansai Area Pass)
Himeji Castle
Namba / Dotonbori (Dontonbori Lantern Festival)
วันที่ 5 (ใช้ Extended 1-day Osaka Amazing Pass)
Osaka Castle
Dotonbori
Shitennoji
Tempozan Giant Ferris Wheel
KIX กลับ กทม.
จากแผนการเที่ยวอาจจะดูเบาๆ เดินทั้งหมดแค่ประมาณ 84 กม.กว่าๆ (ดูระยะการเดินจาก SHealth App ในมือถือ Samsung) แต่สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปและพกขาตั้งกล้อง (บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ถ่ายรูปสวยนะครัช แค่บ้าอุปกรณ์) บอกเลยถ้าจะไปว่าสถานที่ที่ไปวันที่ 2 และ 3 ให้ทิ้งขาตั้งกล้องไว้ที่ห้องพักหรือ locker เลย เพราะแทบทุกที่ที่ไปไม่อนุญาตให้ใช้ ด้วยความที่ไม่ทำการบ้านไปให้ดีก่อนวันที่ 2 เราแบกอุปกรณ์กล้องแบบไปครบเซ็ท เดินไหล่แทบหลุด ถึงจะหนักแค่ 8-9 กก. แต่ยิ่งเดินเยอะทำให้รู้สึกว่ามันหนักมาก
ที่สำคัญและภูมิใจนำเสนอมาก คือ...ทริปนี้ใช้เงินไปประมาณ 15,000 บาท รวมทุกอย่างแล้ว เป็นไงล่ะ
ก่อนอื่นจะขอเล่าประสบการณ์เที่ยว 3 วันแรกของทริปนี้ก่อน โดยหลักๆจะอยู่ที่เกียวโต
และภาค 2 จะเป็นเรื่องราวการไปฮิเมจิ (ซ่อมแซมเสร็จแล้วจร้า กะเวลาเก่งจริงๆ) และเที่ยวในโอซาก้าาาาาา
กระทู้อื่น:
ผู้หญิงคนเดียวเที่ยวจางเจียเจี้ย (2558) >> http://pantip.com/topic/33696282