.
ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
---------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
๕. สัมปสาทนียสูตร (๒๘)
-----------------------------
(บางส่วน)
[๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี เขตเมืองนาลันทา
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร เธอกล่าวอาสภิวาจานี้ประเสริฐแท้ เธอบันลือสีหนาทซึ่งเธอถือเอาโดยเฉพาะว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ ฯ
[๗๔] ดูกรสารีบุตร เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งได้มีแล้วในอดีต
ว่าพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ได้มีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ ได้ละหรือ ฯ
สา. ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งจักมีในอนาคตว่า
พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จักมีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ ได้ละหรือ ฯ
ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้เราผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ณ บัดนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคมีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ ได้ละหรือ ฯ
ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็เธอไม่มีเจโตปริยญาณในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีในอดีต อนาคต และปัจจุบันเหล่านั้น
เหตุไฉน เธอจึงหาญกล่าวอาสภิวาจาอันประเสริฐนี้ บันลือสีหนาทซึ่งเธอถือเอาโดยเฉพาะว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ถึงว่าข้าพระองค์จะไม่มีเจโตปริยญาณในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีในอดีต อนาคต และปัจจุบันก็จริง
แต่ข้าพระองค์ก็ทราบอาการที่เป็นแนวของธรรมได้
เปรียบเหมือนเมืองชายแดนของพระราชา มีป้อมแน่นหนา มีกำแพงและเชิงเทินมั่นคง มีประตูๆ เดียว
คนยามเฝ้าประตูที่เมืองนั้นเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา คอยห้ามคนที่ตนไม่รู้จัก ยอมให้แต่คนที่รู้จักเข้าไป
เขาเที่ยวตรวจดูทางแนวกำแพงรอบๆ เมืองนั้น ไม่เห็นที่ต่อหรือช่องกำแพง โดยที่สุดแม้พอแมวลอดออกมาได้
จึงคิดว่า สัตว์ที่มีร่างใหญ่จะเข้ามาสู่เมืองนี้หรือจะออกไป สัตว์ทั้งหมดสิ้น จะต้องเข้าออกทางประตูนี้เท่านั้น ฉันใด
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ก็ทราบอาการที่เป็นแนวของธรรมได้ ฉันนั้น
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มีแล้วในอดีตทั้งสิ้น
ล้วนทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา
ล้วนมีพระมนัสตั้งมั่นแล้วในสติปัฏฐาน ๔ เจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง
จึงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งจักมีในอนาคตทั้งสิ้น
ก็จักต้องทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา
จักมีพระมนัสตั้งมั่นแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง
จึงจะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ถึงแม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ บัดนี้
ก็ทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา
มีพระมนัสตั้งมั่นแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง
จึงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ข้าพระองค์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับเพื่อฟังธรรม
พระองค์ทรงแสดงธรรมอย่างยอดเยี่ยม ประณีตยิ่งนัก ทั้งฝ่ายดำ ฝ่ายขาว พร้อมด้วยอุปมาแก่ข้าพระองค์
พระองค์ทรงแสดงธรรมอย่างยอดเยี่ยม ประณีตยิ่งนัก ทั้งฝ่ายดำฝ่ายขาว พร้อมด้วยอุปมา
ด้วยประการใดๆ
ข้าพระองค์ก็รู้ยิ่งในธรรมนั้นด้วยประการนั้นๆ ได้ถึงความสำเร็จธรรมบางส่วนในธรรมทั้งหลายแล้ว จึงเลื่อมใสในพระองค์ว่า
พระผู้มีพระภาคเป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ บรรทัดที่ ๒๑๓๐ - ๒๕๓๖. หน้าที่ ๘๙ - ๑๐๕.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=2130&Z=2536&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=73
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[73-93] http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali.php?B=11&A=73&Z=93
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
พระสารีบุตรทูลเฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์ว่า
"
ข้าพระองค์ก็รู้ยิ่งในธรรมนั้นด้วยประการนั้นๆ ได้ถึงความสำเร็จธรรมบางส่วนในธรรมทั้งหลายแล้ว"
เพราะบางอย่างเป็นพระญาณเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอสีติมหาสาวก พระอรหันต์ทั่วไป ไม่มีญาณนี้
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=73&p=1#สาริปุตฺตสีหนาทวณฺณนา
(พระพุทธพจน์และอรรถกถา สอดรับกันเสมอ)
-------------------------------
พระอรหันต์นั้น ดับกิเลสสิ้นเชิงแล้ว เป็นผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอีกแล้ว (อเสขบุคคล) คำสอนของพวกท่านไม่มีผิดพลาดแน่นอน
ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจที่ต้องทำแล้ว
ปลงภาระลงแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว มีสังโยชน์ในภพหมดสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้โดยชอบ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=3741&Z=3772
-------------------------------
พระสารีบุตรทูลว่า "แต่ข้าพระองค์ก็ทราบอาการที่เป็นแนวของธรรมได้"
สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ...
พระสารีบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=628&Z=643&pagebreak=0
-------------------------------
ใน เอกบุคคลบาลี ตรัสว่า
บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก
เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่ออัตถะประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นความปรากฏแห่งบุคคลผู้เอกหาได้ยากในโลก
เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเป็นอัจฉริยมนุษย์
กาลกิริยาของบุคคลผู้เอก เป็นเหตุเดือดร้อนแก่ชนเป็นอันมาก
บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเป็นผู้ไม่มีที่สอง ไม่มีใครเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบ
ไม่มีใครเปรียบเสมอ ไม่มีส่วนเปรียบ ไม่มีบุคคลเปรียบ ไม่มีใครเสมอ เป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย
เป็นความปรากฏแห่งจักษุใหญ่ แห่งแสงสว่างใหญ่ แห่งโอภาสใหญ่ แห่งอนุตตริยะ ๖
เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งปฏิสัมภิทา ๔ เป็นการแทงตลอดธาตุเป็นอันมา
เป็นการแทงตลอดธาตุต่างๆ เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งผล คือ วิชชาและวิมุตติ
เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผล
ผู้ยังธรรมจักรที่ยอดเยี่ยมอันตถาคตให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามโดยชอบ เหมือน
สารีบุตรนี้เลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สารีบุตรย่อมยังธรรมจักรที่ยอดเยี่ยม อันตถาคตให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามโดยชอบทีเดียว ฯ
พระสงฆ์ในพระรัตนตรัย คือ
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง
พระสงฆ์นั้นคือใคร ได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่ รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
(พระพุทธพจน์จาก
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=7046&Z=7112&pagebreak=0 )
คู่แห่งบุรุษสี่ รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด คือ
พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล คู่ ๑,
พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล คู่ ๑,
พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล คู่ ๑,
พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล คู่ ๑
.
๛ การบันลือสีหนาทของพระสารีบุตร ๛
---------------------------------------------------------
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
๕. สัมปสาทนียสูตร (๒๘)
-----------------------------
(บางส่วน)
[๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี เขตเมืองนาลันทา
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร เธอกล่าวอาสภิวาจานี้ประเสริฐแท้ เธอบันลือสีหนาทซึ่งเธอถือเอาโดยเฉพาะว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ ฯ
[๗๔] ดูกรสารีบุตร เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งได้มีแล้วในอดีต
ว่าพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ได้มีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ ได้ละหรือ ฯ
สา. ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งจักมีในอนาคตว่า
พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จักมีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ ได้ละหรือ ฯ
ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้เราผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ณ บัดนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคมีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ ได้ละหรือ ฯ
ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็เธอไม่มีเจโตปริยญาณในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีในอดีต อนาคต และปัจจุบันเหล่านั้น
เหตุไฉน เธอจึงหาญกล่าวอาสภิวาจาอันประเสริฐนี้ บันลือสีหนาทซึ่งเธอถือเอาโดยเฉพาะว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ถึงว่าข้าพระองค์จะไม่มีเจโตปริยญาณในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีในอดีต อนาคต และปัจจุบันก็จริง
แต่ข้าพระองค์ก็ทราบอาการที่เป็นแนวของธรรมได้
เปรียบเหมือนเมืองชายแดนของพระราชา มีป้อมแน่นหนา มีกำแพงและเชิงเทินมั่นคง มีประตูๆ เดียว
คนยามเฝ้าประตูที่เมืองนั้นเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา คอยห้ามคนที่ตนไม่รู้จัก ยอมให้แต่คนที่รู้จักเข้าไป
เขาเที่ยวตรวจดูทางแนวกำแพงรอบๆ เมืองนั้น ไม่เห็นที่ต่อหรือช่องกำแพง โดยที่สุดแม้พอแมวลอดออกมาได้
จึงคิดว่า สัตว์ที่มีร่างใหญ่จะเข้ามาสู่เมืองนี้หรือจะออกไป สัตว์ทั้งหมดสิ้น จะต้องเข้าออกทางประตูนี้เท่านั้น ฉันใด
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ก็ทราบอาการที่เป็นแนวของธรรมได้ ฉันนั้น
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มีแล้วในอดีตทั้งสิ้น
ล้วนทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา
ล้วนมีพระมนัสตั้งมั่นแล้วในสติปัฏฐาน ๔ เจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง
จึงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งจักมีในอนาคตทั้งสิ้น
ก็จักต้องทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา
จักมีพระมนัสตั้งมั่นแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง
จึงจะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ถึงแม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ บัดนี้
ก็ทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา
มีพระมนัสตั้งมั่นแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง
จึงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ข้าพระองค์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับเพื่อฟังธรรม
พระองค์ทรงแสดงธรรมอย่างยอดเยี่ยม ประณีตยิ่งนัก ทั้งฝ่ายดำ ฝ่ายขาว พร้อมด้วยอุปมาแก่ข้าพระองค์
พระองค์ทรงแสดงธรรมอย่างยอดเยี่ยม ประณีตยิ่งนัก ทั้งฝ่ายดำฝ่ายขาว พร้อมด้วยอุปมาด้วยประการใดๆ
ข้าพระองค์ก็รู้ยิ่งในธรรมนั้นด้วยประการนั้นๆ ได้ถึงความสำเร็จธรรมบางส่วนในธรรมทั้งหลายแล้ว จึงเลื่อมใสในพระองค์ว่า
พระผู้มีพระภาคเป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ บรรทัดที่ ๒๑๓๐ - ๒๕๓๖. หน้าที่ ๘๙ - ๑๐๕.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=2130&Z=2536&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=73
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[73-93] http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali.php?B=11&A=73&Z=93
พระสารีบุตรทูลเฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์ว่า
"ข้าพระองค์ก็รู้ยิ่งในธรรมนั้นด้วยประการนั้นๆ ได้ถึงความสำเร็จธรรมบางส่วนในธรรมทั้งหลายแล้ว"
เพราะบางอย่างเป็นพระญาณเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอสีติมหาสาวก พระอรหันต์ทั่วไป ไม่มีญาณนี้
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=73&p=1#สาริปุตฺตสีหนาทวณฺณนา
(พระพุทธพจน์และอรรถกถา สอดรับกันเสมอ)
-------------------------------
พระอรหันต์นั้น ดับกิเลสสิ้นเชิงแล้ว เป็นผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอีกแล้ว (อเสขบุคคล) คำสอนของพวกท่านไม่มีผิดพลาดแน่นอน
ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจที่ต้องทำแล้ว
ปลงภาระลงแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว มีสังโยชน์ในภพหมดสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้โดยชอบ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=3741&Z=3772
-------------------------------
พระสารีบุตรทูลว่า "แต่ข้าพระองค์ก็ทราบอาการที่เป็นแนวของธรรมได้"
สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ...
พระสารีบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=628&Z=643&pagebreak=0
-------------------------------
ใน เอกบุคคลบาลี ตรัสว่า
เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่ออัตถะประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นความปรากฏแห่งบุคคลผู้เอกหาได้ยากในโลก
เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเป็นอัจฉริยมนุษย์
กาลกิริยาของบุคคลผู้เอก เป็นเหตุเดือดร้อนแก่ชนเป็นอันมาก
บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเป็นผู้ไม่มีที่สอง ไม่มีใครเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบ
ไม่มีใครเปรียบเสมอ ไม่มีส่วนเปรียบ ไม่มีบุคคลเปรียบ ไม่มีใครเสมอ เป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย
เป็นความปรากฏแห่งจักษุใหญ่ แห่งแสงสว่างใหญ่ แห่งโอภาสใหญ่ แห่งอนุตตริยะ ๖
เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งปฏิสัมภิทา ๔ เป็นการแทงตลอดธาตุเป็นอันมา
เป็นการแทงตลอดธาตุต่างๆ เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งผล คือ วิชชาและวิมุตติ
เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผล
เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมให้เป็นไป
ผู้นั้นคือ
พระสารีบุตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=585&Z=627&pagebreak=0
พระสงฆ์ในพระรัตนตรัย คือ
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง
พระสงฆ์นั้นคือใคร ได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่ รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
(พระพุทธพจน์จาก http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=7046&Z=7112&pagebreak=0 )
คู่แห่งบุรุษสี่ รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด คือ
พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล คู่ ๑,
พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล คู่ ๑,
พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล คู่ ๑,
พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล คู่ ๑
.