วันนี้มีข่าวการเสียชีวิตของนักเทนนิสรายนึง
http://pantip.com/topic/34137011/
จากข่าว Mardy Fish เสียชีวิตด้วยโรค
Anxiety Disorder
หรือชื่อภาษาไทย คือ
"โรควิตกกังวล" นั่นเองครับ
ชื่อโรคฟังดูไม่น่าถึงตายใช่มั้ยครับ
เหมือนแค่เป็นอาการของคนคิดมากธรรมดาๆ ไม่น่าจะต่างจากโรคเครียด
แต่ขอบอกว่าโรคนี้น่ากลัวกว่าที่คิดมากๆครับ
วันนี้ผมเลยอยากแชร์ประสบการณ์ที่เคยต่อสู้กับโรคนี้ให้ได้อ่านกันครับ
----------------------
เกริ่นสักนิด...
ตอนเด็กๆผมอาจจะเป็นเด็กคนนึงที่ค่อนข้างขี้โรค
แต่พอขึ้นมหาลัย ผมกลายเป็นคนที่แข็งแรง
เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ปีนึงจะเป็นหวัดแค่ครั้งเดียวหรือไม่เป็นเลย
จนล่วงเลยถึงวัยทำงาน ช่วงอายุเลข 2 กลางๆ ร่างกายก็ยังแข็งแรงดีอยู่
แต่จากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ ทำให้ผมต้องหงุดหงิดบ่อยๆ
เนื่องจากตัวงานบางอย่างของผมต้องใช้สมาธิสูงมาก เพราะเกี่ยวกับการดีไซน์
ทว่าโทรศัพท์ที่โต๊ะดังบ่อยมากๆ
เคยพูดไปหลายรอบแล้วครับ ว่าผมไม่โอเค
แต่อะไรมันก็ไม่เปลี่ยนสักที อดทนใช้ชีวิตแบบนี้ผ่านไปเกินครึ่งปี
หลายคนที่บริษัทเริ่มทักว่า ไม่เห็นผมยิ้มเลย ผมดูเครียดมาก ... ซึ่งผมไม่รู้ตัวเลยครับ ว่าตัวเองได้เปลี่ยนไปแล้ว
จนวันนึงความอดทนผมหมด เดดไลน์งานส่งพรุ่งนี้ แต่โทรศัพท์ที่โต๊ะดังเกือบ 20 ครั้งไปแล้ว
ขนาดผมใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงเรียกสมาธิ หูยังแว่วได้ยินเสียงโทรศัพท์ตลอดเวลาเลยครับ
ทั้งที่แจ้งทุกคนล่วงหน้าแล้วว่า ตอนนี้ผมมีงานเร่ง อะไรไม่ด่วนเก็บไว้ก่อน
แต่ทุกคนจะบอกว่า งานของตนด่วนตลอด
(เนื่องจากเมื่อก่อน ผมไฟแรง ใช้งานง่าย จนทุกคนหมดความเกรงใจผมครับ)
ผมเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ทำงานไปแบบมือสั่นสุดๆ แต่แล้วเสียงแห่งนรกก็ยังดังหลอกหลอนอีกตามเคย
ผมรีบรับโทรศัพท์ทั้งที่ในใจนี่อยากจะด่ามากๆ พอเห็นว่าเป็นน้องที่สนิทกัน เลยไม่อยากพูดอะไรมาก
เคลียร์งานขัดจังหวะเสร็จ ผมวางสายพร้อมกับคิดในใจ ขอให้เป็นสายสุดท้ายของวันนี้เถอะ (16.30)
เพราะงานผมยังไม่ถึงไหนเลย เครียดมากๆ ได้ยินเสียงโทรศัพท์อีกครั้ง ผมคงบ้าแน่ๆ
แล้วเสียงแห่งนรก ต้นเหตุแห่งความโกธา ก็ดังขึ้นตามนัด
กริ๊งงงงงงง.....
ทันใดนั้น ผมทุบโต๊ะดังสนั่น ทำลงไปทันที แบบไม่ได้ใช้สมองคิดสักเสี้ยว
ตามมาด้วยคำพูดบ่นเสียงดัง ต่อเนื่องเป็นชั่วโมงจนเลิกงาน
พ่นเกี่ยวกับสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมาแบบไม่เกรงใจใครเลย (ดึงสติไม่ทันแล้ว)
เอาเป็นว่าวันนั้นทั้งบริษัทที่มีอยู่ไม่กี่คน เกิดความอลม่านเลยทีเดียว ต้องมาปลอบผมกันยกใหญ่
เหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างอิมแพคต่อทุกคนอย่างมาก
จากพนักงานที่ทำงานมาไม่เคยหยุด ทำงานอย่างขยัน มีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงานทุกคน
กลายเป็นคนสติแตกในวันนี้นี่เอง (555 นึกแล้วขำตัวเอง)
ผมขอจบเรื่องราวของผมกับบริษัทไว้แค่นี้นะครับ
ที่เล่ามา เพราะอยากจะพูดถึงต้นเหตุที่ทำให้หลังจากวันนี้ ร่างกายของผม เริ่มมีอาการแปลกๆไป ....
มาแชร์ประสบการณ์ "โรควิตกกังวล"
http://pantip.com/topic/34137011/
จากข่าว Mardy Fish เสียชีวิตด้วยโรค Anxiety Disorder
หรือชื่อภาษาไทย คือ "โรควิตกกังวล" นั่นเองครับ
ชื่อโรคฟังดูไม่น่าถึงตายใช่มั้ยครับ
เหมือนแค่เป็นอาการของคนคิดมากธรรมดาๆ ไม่น่าจะต่างจากโรคเครียด
แต่ขอบอกว่าโรคนี้น่ากลัวกว่าที่คิดมากๆครับ
วันนี้ผมเลยอยากแชร์ประสบการณ์ที่เคยต่อสู้กับโรคนี้ให้ได้อ่านกันครับ
----------------------
เกริ่นสักนิด...
ตอนเด็กๆผมอาจจะเป็นเด็กคนนึงที่ค่อนข้างขี้โรค
แต่พอขึ้นมหาลัย ผมกลายเป็นคนที่แข็งแรง
เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ปีนึงจะเป็นหวัดแค่ครั้งเดียวหรือไม่เป็นเลย
จนล่วงเลยถึงวัยทำงาน ช่วงอายุเลข 2 กลางๆ ร่างกายก็ยังแข็งแรงดีอยู่
แต่จากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ ทำให้ผมต้องหงุดหงิดบ่อยๆ
เนื่องจากตัวงานบางอย่างของผมต้องใช้สมาธิสูงมาก เพราะเกี่ยวกับการดีไซน์
ทว่าโทรศัพท์ที่โต๊ะดังบ่อยมากๆ
เคยพูดไปหลายรอบแล้วครับ ว่าผมไม่โอเค
แต่อะไรมันก็ไม่เปลี่ยนสักที อดทนใช้ชีวิตแบบนี้ผ่านไปเกินครึ่งปี
หลายคนที่บริษัทเริ่มทักว่า ไม่เห็นผมยิ้มเลย ผมดูเครียดมาก ... ซึ่งผมไม่รู้ตัวเลยครับ ว่าตัวเองได้เปลี่ยนไปแล้ว
จนวันนึงความอดทนผมหมด เดดไลน์งานส่งพรุ่งนี้ แต่โทรศัพท์ที่โต๊ะดังเกือบ 20 ครั้งไปแล้ว
ขนาดผมใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงเรียกสมาธิ หูยังแว่วได้ยินเสียงโทรศัพท์ตลอดเวลาเลยครับ
ทั้งที่แจ้งทุกคนล่วงหน้าแล้วว่า ตอนนี้ผมมีงานเร่ง อะไรไม่ด่วนเก็บไว้ก่อน
แต่ทุกคนจะบอกว่า งานของตนด่วนตลอด
(เนื่องจากเมื่อก่อน ผมไฟแรง ใช้งานง่าย จนทุกคนหมดความเกรงใจผมครับ)
ผมเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ทำงานไปแบบมือสั่นสุดๆ แต่แล้วเสียงแห่งนรกก็ยังดังหลอกหลอนอีกตามเคย
ผมรีบรับโทรศัพท์ทั้งที่ในใจนี่อยากจะด่ามากๆ พอเห็นว่าเป็นน้องที่สนิทกัน เลยไม่อยากพูดอะไรมาก
เคลียร์งานขัดจังหวะเสร็จ ผมวางสายพร้อมกับคิดในใจ ขอให้เป็นสายสุดท้ายของวันนี้เถอะ (16.30)
เพราะงานผมยังไม่ถึงไหนเลย เครียดมากๆ ได้ยินเสียงโทรศัพท์อีกครั้ง ผมคงบ้าแน่ๆ
แล้วเสียงแห่งนรก ต้นเหตุแห่งความโกธา ก็ดังขึ้นตามนัด กริ๊งงงงงงง.....
ทันใดนั้น ผมทุบโต๊ะดังสนั่น ทำลงไปทันที แบบไม่ได้ใช้สมองคิดสักเสี้ยว
ตามมาด้วยคำพูดบ่นเสียงดัง ต่อเนื่องเป็นชั่วโมงจนเลิกงาน
พ่นเกี่ยวกับสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมาแบบไม่เกรงใจใครเลย (ดึงสติไม่ทันแล้ว)
เอาเป็นว่าวันนั้นทั้งบริษัทที่มีอยู่ไม่กี่คน เกิดความอลม่านเลยทีเดียว ต้องมาปลอบผมกันยกใหญ่
เหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างอิมแพคต่อทุกคนอย่างมาก
จากพนักงานที่ทำงานมาไม่เคยหยุด ทำงานอย่างขยัน มีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงานทุกคน
กลายเป็นคนสติแตกในวันนี้นี่เอง (555 นึกแล้วขำตัวเอง)
ผมขอจบเรื่องราวของผมกับบริษัทไว้แค่นี้นะครับ
ที่เล่ามา เพราะอยากจะพูดถึงต้นเหตุที่ทำให้หลังจากวันนี้ ร่างกายของผม เริ่มมีอาการแปลกๆไป ....