ณ เวลานี้...สัมมนาขายความหวัง ขายฝัน พารวยเงินล้าน กลายเป็นธุรกิจแนวใหม่ที่กำลังมาแรง และสร้างรายได้อันแสนจะงดงามให้กับวิทยากรผู้จัดสัมมนา และ บรรดากูรูทั้งหลาย ได้เป็นอย่างดี
...ด้วยวลีที่สร้างความหวัง ชวนฝันกันตั้งแต่ “รวยเงินล้าน” “เปลี่ยน passion ให้กลายเป็นเงิน” “อิสรภาพทางการเงิน” “ พลังของการคิดบวก” “พันล้านสร้างเองได้” “ยิ่งให้ยิ่งได้รับ” “คิดนอกกรอบ” “งานไม่ประจำทำเงินกว่า” “Mindset ระดับบน” วลีเหล่านี้ได้สร้างแรงกระตุ้นและเร้าความอยากของคนให้เข้าไปฟังสัมมนากันอย่างมากมายชนิดที่เรียกกันว่าคาดกันไม่ถึงเลยทีเดียว
จับกระแสในเรื่องที่คนกำลังให้ความสนใจ แล้วจัดสัมมนา...ธุรกิจที่กำลังมาแรงในยุคนี้!!
เมื่อไม่นานมานี้ มีอาจารย์ในแวดวงการศึกษา มองกระแสดังกล่าวว่า...มาจากกลุ่มคนที่ต้องการจัดสัมมนาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง
"การสร้างภาพให้ดูน่าเชื่อถือ" ดูจะเป็น key of success ของธุรกิจสัมมนาที่กำลังแข่งกันจัด แข่งกันเปิดอบรมในขณะนี้กันเลยทีเดียว ซึ่งผู้ที่คิดจะจัดสัมมนาส่วนใหญ่จะใช้แนวคิดในการสร้างภาพแบบนี้ในการปูทางไปสู่การเปิดคอร์สสัมมนา
วิทยากรหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลานี้ จนเป็นเรื่องที่น่าสงสัยกันว่าคนเหล่านี้มาจากไหนกัน บางคอร์สเก็บค่าเข้าสัมมนากันแพงมาก...จนคนด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ผู้จัดสัมมนาก็ไม่แคร์สื่อ ตะบี้ตะบันจัดออกมากันทุกเดือน เงินค่าสัมมนาก็ไม่ใช่น้อยๆ และที่ยิ่งน่าสงสัยก็คือ...ถ้าเราคิดให้ลึกกันเข้าไปอีก...เราจะเกิดข้อสงสัยที่ว่า วิทยากรเหล่านั้นบอกว่า ต้องการให้ความรู้ แต่ทำไมต้องเก็บค่าเรียนแพงจนน่าตกใจถึงขนาดนั้น!!
ถ้าจะอ้างว่ามันมีต้นทุนเรื่องสถานที่ (ซึ่งมองยังไงก็ไม่น่าใช่ เพราะค่าเช่าสถานที่ กับ ยอดรายได้ที่เก็บได้จากการจัดสัมมนาแต่ละครั้ง ดูแล้วรายได้จากการจัดสัมมนาที่ไ้ด้รับนั้นมันเยอะมาก!!)
สำหรับปัญหาที่ผู้จัดสัมมนาอ้างว่ามีค่าเช่าสถานที่ แล้วจึงต้องเก็บค่าเข้าสัมมนาแพงๆ ตรงนี้มันแก้ได้นะครับ เพราะสมัยนี้มี Youtube ถ้าวิทยากรทั้งหลายตั้งใจจะให้ความรู้จริง ทำไมไม่ทำคลิปแล้วอัพขึ้น youtube เพื่อเผยแพร่ให้คนส่วนใหญ่ได้ศึกษากันล่ะ!!
มันจึงเกิดคำถามที่น่าสนใจที่ว่า วิทยากรเหล่านั้นต้องการขายคอร์สเพื่อเอาเงินมากกว่าที่จะให้ความรู้หรือเปล่า? แล้วเอาอะไรมาเป็นหลักคิดในการตั้งราคาเข้าสัมมนาที่สูงลิบลิ่วแบบนี้
กระบวนการหรือขั้นตอนในการเปิดคอร์สสัมมนา
แนวคิดหรือกระบวนการจัดสัมมนาก็ไม่ยากนะคับ คือต้องมีการดันหรือปั้นให้วิทยากรดังขึ้นมาก่อน(หรือที่เรียกกันว่าการทำ Personal Branding) ซึ่งลักษณะของการสร้างวิทยากรดังกล่าวจะมีกระบวนการเริ่มตั้งแต่พิมพ์หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คเพื่อโฆษณาตัวเอง เป็นการลงทุนเพื่อสร้างชื่อเสียง เมื่อมีเครดิตว่าเขียนหนังสือเล่มนั้นๆ ก็สามารถจัดสัมมนานั้นๆ ได้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งถ้ามองกันในแง่มุมของการโฆษณาอย่างเกินจริงในทำนอง "เรียนแล้วเก่ง", “เรียนแล้วรวย”, "เรียนแล้วทำเงินหลายๆ ล้านได้" นั้น คนจัดสัมมนาก็ควรจะต้องมองถึงจรรยาบรรณในการใช้ความโลภของคนมาเป็นเครื่องมือด้วย อย่าคิดแต่เพียงว่าจะขายที่นั่งสัมมนาให้หมดเพียงเท่านั้นก็พอ
ในช่วงนี้การจัดสัมมนามีการพัฒนารูปแบบกันพอสมควร จากที่แต่เดิมทีมีการจัดสัมมนากันในห้องสัมมนา คราวนี้มีการพัฒนามาเป็นการเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายๆ คนมารวมตัวกัน เพื่อมาเป็นวิทยากร เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับการจัดสัมมนาอีกทางหนึ่งอีกด้วย
คอร์สสัมมนาเรียนแล้วเก่ง เรียนแล้วรวย เรียนแล้วได้เงินล้าน...คนเรียนหรือว่าคนสอนกันแน่ที่จะได้เงินล้าน?
ในการจัดสัมมนาต่างๆ จะพบว่าส่วนใหญ่จะมีโมเดลในการทำการตลาดที่พยายามจะเอ่ยอ้างถึงสรรพคุณที่เกินจริง กระตุ้นความต้องการให้แก่ผู้เข้ารับการอบรมสัมมนา ซึ่งถ้าจะมองกันจริงๆ ถึงวิธีการในการจูงใจให้เข้ารับการสัมมนานั้น ส่วนใหญ่จะมีเทคนิคต่างๆ ที่พอจะสรุปได้ ดังนี้คือ...
- สร้างภาพเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในตัวของวิทยากร
- คิดวลีสร้างความหวัง วาดฝันที่สวยหรูเพื่อกระตุ้นให้คนที่อยากรวย อยากที่จะเข้าสัมมนา
- พยายามสร้างจุดขายและสร้างความแตกต่าง ให้เหนือกว่าสัมมนาที่ให้ความรู้กันแบบฟรีๆ
สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือเมื่อความรู้ดังกล่าวที่ผู้เข้าอบรมได้เสียเงินมาเรียนแล้ว นำไปปฏิบัติจริงอาจก่อให้เกิดผลเสียกับตัวผู้อบรมได้ เช่น นำทฤษฎีการเล่นหุ้นไปใช้ แล้วเกิดขาดทุน, นำความรู้ในการทำธุรกิจไปใช้ แล้วไม่เวิร์ค ต้องเสียเงิน เสียเวลาที่ได้ลงแรงกันไป (พูดง่ายๆ ก็คือ นอกจากจะเสียเงินเข้าอบรมแล้ว ยังต้องมาขาดทุนจากการนำความรู้ไปใช้อีก)
อาจารย์ชื่อดัง ภาคมหาวิทยาลัยได้ทิ้งท้ายว่า...การจะประสบความสำเร็จนั้นโดยมากแล้วไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย ต้องรู้จักขยันทำมาหากิน, รู้จักอดออม, อย่าคิดว่าจะมีเทคนิคซึ่งเป็นทางลัดไปสู่ความร่ำรวย ด้วยการไม่ต้องทำงาน เป็นต้น
ปล. บทความนี้อาจจะเครียดไปหน่อย แต่คิดว่ามีประโยชน์กับคนหลายๆ คน
ขอฝากไว้นิดนึงนะครับ ว่าเงินในกระเป๋าของท่าน เก็บรักษามันเอาไว้ดีๆ นะครับ
อย่าปล่อยให้เงินจำนวนที่ไม่ใช่น้อยๆ ในมือของท่าน ต้องหลุดลอยไปอย่างง่ายดาย....
"เปิดคอร์สสัมมนาพารวย ขายฝัน ธุรกิจที่กำลังมาแรงแห่งยุคนี้"
...ด้วยวลีที่สร้างความหวัง ชวนฝันกันตั้งแต่ “รวยเงินล้าน” “เปลี่ยน passion ให้กลายเป็นเงิน” “อิสรภาพทางการเงิน” “ พลังของการคิดบวก” “พันล้านสร้างเองได้” “ยิ่งให้ยิ่งได้รับ” “คิดนอกกรอบ” “งานไม่ประจำทำเงินกว่า” “Mindset ระดับบน” วลีเหล่านี้ได้สร้างแรงกระตุ้นและเร้าความอยากของคนให้เข้าไปฟังสัมมนากันอย่างมากมายชนิดที่เรียกกันว่าคาดกันไม่ถึงเลยทีเดียว
จับกระแสในเรื่องที่คนกำลังให้ความสนใจ แล้วจัดสัมมนา...ธุรกิจที่กำลังมาแรงในยุคนี้!!
เมื่อไม่นานมานี้ มีอาจารย์ในแวดวงการศึกษา มองกระแสดังกล่าวว่า...มาจากกลุ่มคนที่ต้องการจัดสัมมนาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง
"การสร้างภาพให้ดูน่าเชื่อถือ" ดูจะเป็น key of success ของธุรกิจสัมมนาที่กำลังแข่งกันจัด แข่งกันเปิดอบรมในขณะนี้กันเลยทีเดียว ซึ่งผู้ที่คิดจะจัดสัมมนาส่วนใหญ่จะใช้แนวคิดในการสร้างภาพแบบนี้ในการปูทางไปสู่การเปิดคอร์สสัมมนา
วิทยากรหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลานี้ จนเป็นเรื่องที่น่าสงสัยกันว่าคนเหล่านี้มาจากไหนกัน บางคอร์สเก็บค่าเข้าสัมมนากันแพงมาก...จนคนด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ผู้จัดสัมมนาก็ไม่แคร์สื่อ ตะบี้ตะบันจัดออกมากันทุกเดือน เงินค่าสัมมนาก็ไม่ใช่น้อยๆ และที่ยิ่งน่าสงสัยก็คือ...ถ้าเราคิดให้ลึกกันเข้าไปอีก...เราจะเกิดข้อสงสัยที่ว่า วิทยากรเหล่านั้นบอกว่า ต้องการให้ความรู้ แต่ทำไมต้องเก็บค่าเรียนแพงจนน่าตกใจถึงขนาดนั้น!!
ถ้าจะอ้างว่ามันมีต้นทุนเรื่องสถานที่ (ซึ่งมองยังไงก็ไม่น่าใช่ เพราะค่าเช่าสถานที่ กับ ยอดรายได้ที่เก็บได้จากการจัดสัมมนาแต่ละครั้ง ดูแล้วรายได้จากการจัดสัมมนาที่ไ้ด้รับนั้นมันเยอะมาก!!)
สำหรับปัญหาที่ผู้จัดสัมมนาอ้างว่ามีค่าเช่าสถานที่ แล้วจึงต้องเก็บค่าเข้าสัมมนาแพงๆ ตรงนี้มันแก้ได้นะครับ เพราะสมัยนี้มี Youtube ถ้าวิทยากรทั้งหลายตั้งใจจะให้ความรู้จริง ทำไมไม่ทำคลิปแล้วอัพขึ้น youtube เพื่อเผยแพร่ให้คนส่วนใหญ่ได้ศึกษากันล่ะ!!
มันจึงเกิดคำถามที่น่าสนใจที่ว่า วิทยากรเหล่านั้นต้องการขายคอร์สเพื่อเอาเงินมากกว่าที่จะให้ความรู้หรือเปล่า? แล้วเอาอะไรมาเป็นหลักคิดในการตั้งราคาเข้าสัมมนาที่สูงลิบลิ่วแบบนี้
กระบวนการหรือขั้นตอนในการเปิดคอร์สสัมมนา
แนวคิดหรือกระบวนการจัดสัมมนาก็ไม่ยากนะคับ คือต้องมีการดันหรือปั้นให้วิทยากรดังขึ้นมาก่อน(หรือที่เรียกกันว่าการทำ Personal Branding) ซึ่งลักษณะของการสร้างวิทยากรดังกล่าวจะมีกระบวนการเริ่มตั้งแต่พิมพ์หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คเพื่อโฆษณาตัวเอง เป็นการลงทุนเพื่อสร้างชื่อเสียง เมื่อมีเครดิตว่าเขียนหนังสือเล่มนั้นๆ ก็สามารถจัดสัมมนานั้นๆ ได้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งถ้ามองกันในแง่มุมของการโฆษณาอย่างเกินจริงในทำนอง "เรียนแล้วเก่ง", “เรียนแล้วรวย”, "เรียนแล้วทำเงินหลายๆ ล้านได้" นั้น คนจัดสัมมนาก็ควรจะต้องมองถึงจรรยาบรรณในการใช้ความโลภของคนมาเป็นเครื่องมือด้วย อย่าคิดแต่เพียงว่าจะขายที่นั่งสัมมนาให้หมดเพียงเท่านั้นก็พอ
ในช่วงนี้การจัดสัมมนามีการพัฒนารูปแบบกันพอสมควร จากที่แต่เดิมทีมีการจัดสัมมนากันในห้องสัมมนา คราวนี้มีการพัฒนามาเป็นการเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายๆ คนมารวมตัวกัน เพื่อมาเป็นวิทยากร เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับการจัดสัมมนาอีกทางหนึ่งอีกด้วย
คอร์สสัมมนาเรียนแล้วเก่ง เรียนแล้วรวย เรียนแล้วได้เงินล้าน...คนเรียนหรือว่าคนสอนกันแน่ที่จะได้เงินล้าน?
ในการจัดสัมมนาต่างๆ จะพบว่าส่วนใหญ่จะมีโมเดลในการทำการตลาดที่พยายามจะเอ่ยอ้างถึงสรรพคุณที่เกินจริง กระตุ้นความต้องการให้แก่ผู้เข้ารับการอบรมสัมมนา ซึ่งถ้าจะมองกันจริงๆ ถึงวิธีการในการจูงใจให้เข้ารับการสัมมนานั้น ส่วนใหญ่จะมีเทคนิคต่างๆ ที่พอจะสรุปได้ ดังนี้คือ...
- สร้างภาพเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในตัวของวิทยากร
- คิดวลีสร้างความหวัง วาดฝันที่สวยหรูเพื่อกระตุ้นให้คนที่อยากรวย อยากที่จะเข้าสัมมนา
- พยายามสร้างจุดขายและสร้างความแตกต่าง ให้เหนือกว่าสัมมนาที่ให้ความรู้กันแบบฟรีๆ
สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือเมื่อความรู้ดังกล่าวที่ผู้เข้าอบรมได้เสียเงินมาเรียนแล้ว นำไปปฏิบัติจริงอาจก่อให้เกิดผลเสียกับตัวผู้อบรมได้ เช่น นำทฤษฎีการเล่นหุ้นไปใช้ แล้วเกิดขาดทุน, นำความรู้ในการทำธุรกิจไปใช้ แล้วไม่เวิร์ค ต้องเสียเงิน เสียเวลาที่ได้ลงแรงกันไป (พูดง่ายๆ ก็คือ นอกจากจะเสียเงินเข้าอบรมแล้ว ยังต้องมาขาดทุนจากการนำความรู้ไปใช้อีก)
อาจารย์ชื่อดัง ภาคมหาวิทยาลัยได้ทิ้งท้ายว่า...การจะประสบความสำเร็จนั้นโดยมากแล้วไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย ต้องรู้จักขยันทำมาหากิน, รู้จักอดออม, อย่าคิดว่าจะมีเทคนิคซึ่งเป็นทางลัดไปสู่ความร่ำรวย ด้วยการไม่ต้องทำงาน เป็นต้น
ปล. บทความนี้อาจจะเครียดไปหน่อย แต่คิดว่ามีประโยชน์กับคนหลายๆ คน
ขอฝากไว้นิดนึงนะครับ ว่าเงินในกระเป๋าของท่าน เก็บรักษามันเอาไว้ดีๆ นะครับ
อย่าปล่อยให้เงินจำนวนที่ไม่ใช่น้อยๆ ในมือของท่าน ต้องหลุดลอยไปอย่างง่ายดาย....