สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิพ เราเริ่มสมัครสมาชิกพันทิพมาได้สักพักแล้วล่ะค่ะ แต่ไม่เคยที่จะได้บอกเล่าเรื่องราวอะไรของตนเองมากนัก
วันนี้เรามีความกล้าพอแล้วที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา
เรื่องราวที่จะพิมพ์ลงไปในกระทู้นี้ คือ เรื่องจริงที่มาจากชีวิตของเราที่บันทึกไว้ใน Dairy
เขาคือ เพื่อนผู้ชายคนแรก ที่ทำให้เราหวั่นไหวได้ จากคนที่เคยเกือบชอบผู้หญิง
PART I
เราเป็นเด็กนักเรียนหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งใส่แว่นตาหนาๆ มีเป้าหมายชัดเจนว่า จะต้องเรียนให้ได้ดี เพราะฐานะทางบ้านปานกลาง ไม่ค่อยสวย ไม่สูง แต่เล่นกีฬาได้แทบทุกอย่าง เราสอบเข้าเรียนใน รร. แห่งหนึ่งทางภาคอีสาน ได้ที่ 3 ได้เข้าเรียนห้องคิง และมีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน แล้ววันจัดโต๊ะเรียนก็มีเพื่อนผู้ชาย 2 คนมานั่งโต๊ะคู่ตัวหน้าเรากับเพื่อนสนิทของเรา เราจะเรียนเพื่อนผู้ชายว่า M และ N การที่เรานั่งโต๊ะติดๆกันจึงทำให้เราค่อนข้างจะสนิทกันและอยู่งานกลุ่มด้วยกันหลายวิชา M ชอบมายืมของจากเราเป็นประจำทุกวัน สิ่งที่ยืมก็เป็น พวกอุปกรณ์เครื่องเขียนธรรมดาๆ สมุดจดการบ้านบ้าง แต่เราก็ "ไม่เคยจะได้คืนมา" เป็นแบบนี้อยู่มา 1 เทอม เราก็ไม่ได้ยึดติด ติดใจอะไร เพราะเราเป็นพวกชอบซื้อเครื่องเขียน พอทวงไปแล้วได้คำตอบว่า "เดี๋ยวกูเอามาคืนนาาาา ทำเป็นขี้หวงไปได้" เลยไม่ค่อยจะทวง นานวันเข้าเราก็เริ่มมีเพื่อนมาถามว่า ทำไม M กะ เรา ดูสนิทกันจังเลยทั้งๆที่ไม่ได้มาจาก รร.เดียวกัน คำตอบที่เรานึกคือ "สงสัยถูกชะตามั้ง" แต่ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกแปลกๆนะคะ คือ สายตาไอ่ M มันแปลกๆแฮะ เหมือนมีอะไร แต่มันไม่พูดออกมา
หลังจากนั้น "ก็เริ่มมีเพื่อนแซวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเรารู้สึกไม่ปลอดภัยเลย ไม่ค่อยคุยกะ M เหมือนแต่ก่อน" (ฟังแล้วดูป้อดเน๊าะ... แต่ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆนะคะ"
แล้วก็ผ่านไปจนเราขึ้น ม.2 เรามีความจำเปนด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ที่ทำให้ต้องย้ายมาเรียนที่ กทม. จึงขาดการติดต่อจาก M และเพื่อนๆในห้องไปโดยปริยาย
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีโทรศัพท์โทรเข้าที่บ้านพักน้าเรา ปรากฎว่า " ไอ่ M เอาเบอร์โทรเข้ามาเบอร์บ้านพักน้าเรา"
โทรมาทุกวันตอนเย็นประมาณเกือบ 2 ทุ่มของทุกวัน สอบถามเรื่องราวทั่วๆไป และ จะถามทุกครั้งว่า "ปรับตัวได้ไหม เรียรได้ป่าว มีเพื่อนรึยัง"
เราก็ดีใจที่อย่างน้อยๆเพื่อนเก่าก็ยังคิดถึงกันเสมอ ไม่เคยทิ้งไปไหน
แล้วเราก็เคยคุยกันเล่นๆว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร อยากเรียนอะไร
ในหัวตอนนั้นเราอยากเป็น หมอ กะ สถาปนิค
ส่วน M "อยากเป็น นายร้อย"
เกือบจะจบ... แต่ไม่จบซะที ???
วันนี้เรามีความกล้าพอแล้วที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา
เรื่องราวที่จะพิมพ์ลงไปในกระทู้นี้ คือ เรื่องจริงที่มาจากชีวิตของเราที่บันทึกไว้ใน Dairy
เขาคือ เพื่อนผู้ชายคนแรก ที่ทำให้เราหวั่นไหวได้ จากคนที่เคยเกือบชอบผู้หญิง
PART I
เราเป็นเด็กนักเรียนหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งใส่แว่นตาหนาๆ มีเป้าหมายชัดเจนว่า จะต้องเรียนให้ได้ดี เพราะฐานะทางบ้านปานกลาง ไม่ค่อยสวย ไม่สูง แต่เล่นกีฬาได้แทบทุกอย่าง เราสอบเข้าเรียนใน รร. แห่งหนึ่งทางภาคอีสาน ได้ที่ 3 ได้เข้าเรียนห้องคิง และมีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน แล้ววันจัดโต๊ะเรียนก็มีเพื่อนผู้ชาย 2 คนมานั่งโต๊ะคู่ตัวหน้าเรากับเพื่อนสนิทของเรา เราจะเรียนเพื่อนผู้ชายว่า M และ N การที่เรานั่งโต๊ะติดๆกันจึงทำให้เราค่อนข้างจะสนิทกันและอยู่งานกลุ่มด้วยกันหลายวิชา M ชอบมายืมของจากเราเป็นประจำทุกวัน สิ่งที่ยืมก็เป็น พวกอุปกรณ์เครื่องเขียนธรรมดาๆ สมุดจดการบ้านบ้าง แต่เราก็ "ไม่เคยจะได้คืนมา" เป็นแบบนี้อยู่มา 1 เทอม เราก็ไม่ได้ยึดติด ติดใจอะไร เพราะเราเป็นพวกชอบซื้อเครื่องเขียน พอทวงไปแล้วได้คำตอบว่า "เดี๋ยวกูเอามาคืนนาาาา ทำเป็นขี้หวงไปได้" เลยไม่ค่อยจะทวง นานวันเข้าเราก็เริ่มมีเพื่อนมาถามว่า ทำไม M กะ เรา ดูสนิทกันจังเลยทั้งๆที่ไม่ได้มาจาก รร.เดียวกัน คำตอบที่เรานึกคือ "สงสัยถูกชะตามั้ง" แต่ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกแปลกๆนะคะ คือ สายตาไอ่ M มันแปลกๆแฮะ เหมือนมีอะไร แต่มันไม่พูดออกมา
หลังจากนั้น "ก็เริ่มมีเพื่อนแซวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเรารู้สึกไม่ปลอดภัยเลย ไม่ค่อยคุยกะ M เหมือนแต่ก่อน" (ฟังแล้วดูป้อดเน๊าะ... แต่ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆนะคะ"
แล้วก็ผ่านไปจนเราขึ้น ม.2 เรามีความจำเปนด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ที่ทำให้ต้องย้ายมาเรียนที่ กทม. จึงขาดการติดต่อจาก M และเพื่อนๆในห้องไปโดยปริยาย
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีโทรศัพท์โทรเข้าที่บ้านพักน้าเรา ปรากฎว่า " ไอ่ M เอาเบอร์โทรเข้ามาเบอร์บ้านพักน้าเรา"
โทรมาทุกวันตอนเย็นประมาณเกือบ 2 ทุ่มของทุกวัน สอบถามเรื่องราวทั่วๆไป และ จะถามทุกครั้งว่า "ปรับตัวได้ไหม เรียรได้ป่าว มีเพื่อนรึยัง"
เราก็ดีใจที่อย่างน้อยๆเพื่อนเก่าก็ยังคิดถึงกันเสมอ ไม่เคยทิ้งไปไหน
แล้วเราก็เคยคุยกันเล่นๆว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร อยากเรียนอะไร
ในหัวตอนนั้นเราอยากเป็น หมอ กะ สถาปนิค
ส่วน M "อยากเป็น นายร้อย"