กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!
เฮือกก!!!!!!
มินตราสะดุ้งขึ้นจากที่นอนด้วยดวงตาเบิกโพลง ความกลัวชนิดที่บรรยายไม่ได้วิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจเธอจนแทบไม่มีที่วาง
นี่มันอะไรกัน.......มินตรารู้สึกเจ็บตึงบริเวณผิวหน้าร้าวมาถึงลำคอพร้อมทั้งมีอาการปวดหัวคลื่นไส้อยากอาเจียน
ฝันร้ายซ้ำซาก
น่าแปลก.....หลังจากตื่นเธอจดจำได้แต่ความหวาดกลัวแต่เมื่อพยายามนึกว่าฝันร้ายเกี่ยวกับเรื่องอะไรนั้น……
ทำอย่างไรเธอก็ไม่สามารถนึกออกได้
ยิ่งพยายาม...ยิ่งปวดหัว
แอ๊ดดดดดดด....เสียงแง้มบานประตูทำให้มินตราเหลียวมองในผ่านความมืด ไม่ต้องมองเห็นเธอก็รู้ว่าใคร คงเป็นคุณแม่ที่ตกใจกับเสียงกรีดร้องของเธอ
“หนูไม่เป็นไรค่ะแม่ แค่ฝันร้าย แม่ไปนอนต่อเถอะ” มินตราบอกแม่ด้วยน้ำเสียงแหบโหยก่อนทิ้งตัวลงนอนใหม่อีกรอบ
แม่ค่อยๆดึงบานประตูจนปิดสนิทแทบไม่ได้ยินเสียง การตื่นกลางดึกแบบนี้ทำให้มินตรารู้สึกไม่ดีเลย เพราะเธอจะนอนไม่หลับอีกหลายชั่วโมง
พอรู้สึกตัวอีกทีก็ใกล้เช้าแล้ว มินตราต้องหอบร่างกายที่เต็มไปด้วยความสะโหลสะเหลไม่สดชื่นเต็มร้อยไปโรงเรียน
“นอนไม่หลับอีกแล้วเหรอแก” ลิลินเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันในห้องเรียนถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสายตาระโหยโรยแรง
รอบตาเป็นวงช้ำสีคล้ำของเพื่อน
“ฉันอยากไปหาหมอจังถ้าไม่ติดว่า....”มินตราพูดค้างไว้
“แม่แกเป็นหมอ” ลิลินต่อจนจบประโยค
“ฉันว่าโชคดีออกที่มีแม่แท้ๆเป็นหมอ เจ็บป่วยก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ให้แม่วิเคราะห์อาการและจ่ายยาได้เลย น่าอิจฉาจะตาย”ลิลินบอกกันเพื่อน
..........
ไม่มีคำตอบจากมินตรา พูดไปจะมีใครเชื่อว่าแม่นั่นแหละ คือคนที่เธอรู้สึกกลัวมากที่สุด
สิ่งนี้มันออกมาจากจิตใต้สำนึก ทั้งๆที่เธอพยายามให้เหตุผลค้านกับตัวเองว่าแม่คนดีของเธอ ซึ่งมอบทั้งความรักความเอาใจใส่
และทุกๆอย่างในชีวิตเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำเพื่อลูกได้ แม่ดีขนาดนี้...แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกไม่ไว้วางใจ
หรือเป็นเพราะเธอเริ่มมีอาการป่วยทางจิตเวช หวาดระแวงแม้แต่คนใกล้ตัว
ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากนักเสียงออดหมดคาบกระตุ้นให้เธอกับลิลินต้องรีบเปลี่ยนชุดพละเพื่อไปเรียนวอลเล่ย์ที่โรงยิม
วันนี้มีสอบด้วย...เธอต้องรีบ
ตึ่กๆๆๆๆๆๆๆ
ใจมินตราเต้นไม่เป็นจังหวะ มือเย็บเฉียบ เธอไม่ถนัดกีฬาทุกชนิด พอถึงเวลาต้องสอบเก็บคะแนนทีไร เธอจะรู้สึกถึง
ความกดดันมหาศาลถาโถมมาทับตัวเธอ “เราต้องสอบผ่าน” มินตราย้ำกับตัวเองเบาๆเรียกความมั่นใจ
วันนี้มีสอบเสิร์ฟลูกซึ่งอาจารย์ให้โอกาสสิบครั้ง เธอต้องเสิร์ฟลูกดีข้ามเน็ตและไม่ออกนอกเส้นอย่างน้อยเจ็ดลูกจึงจะผ่าน
อาจารย์ให้เวลาจับคู่ซ้อมสิบนาที ก่อนจะเรียกสอบเป็นคู่ตามเลขที่ มินตรารู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เธอทำได้ดีที่สุดเพียงแค่สี่ในสิบลูก ยังต้องพยายามเพิ่มขึ้นอีก
ด้วยความจำกัดของโรงยิมทำให้นักเรียนครึ่งหนึ่งต้องนั่งคอย ดูเพื่อนอีกครึ่งหนึ่งซ้อมก่อนกับเน็ตจริงที่ต้องเสิร์ฟข้ามผ่านไปให้ได้
เฮ้ออออออออ
อยากให้ช่วงเวลาเลวร้ายอย่างที่รู้สึกตอนนี้วิ่งผ่านไปเร็วๆจัง มินตราอดเผลอคิดไม่ได้ก่อนจะเสริ์ฟลูกแรกออกไป...
ไม่ผ่านลูกเสิร์ฟของเธอเบาเกินไป....
เหลือเวลาอีกไม่มากนักจะหมดเวลาซ้อมแล้ว ตอนนี้มินตรารู้สึกเครียดจนปวดตึงที่ขมับอาการเจ็บหน้าร้าวมาถึงลำคอเริ่มกำเริบอีกรอบ
มิน!!!!! ระวัง!!!!
เธอได้ยินเสียงร้องเตือนของลิลินดังมาจากที่ไหนสักที่ เธอเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้กำลังมีลูกวอลเล่ย์ที่พุ่งจี๋หมุนด้วยความเร็วสูง
ผ่านเน็ตตรงดิ่งเข้าสู่ใบหน้าเธอ
มินตราตัวแข็ง ยืนขาตายตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่ง....
ผลั่กกกกก!!!
เสียงลูกบอลกระแทกกับหน้าเธอจังๆทำให้มินตราถึงกับเซถลาล้มไปกองที่พื้น เลือดกำเดาจำนวนมากไหลออกมา
ลิลินถลาเข้ามาประคองเพื่อนรักด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่ามิน”
ลิลินสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนสาว ตัวมินตราเย็นเฉียบ ตาเบิกโพลงอ้าปากค้าง ราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่างสุดชีวิต
“แก....เป็นอะไรไป” ลิลินเขย่าตัวเพื่อนเมื่อ
“ฉันเห็นหัวตัวเองลอยข้ามเน็ตมา....”
มินตราพึมพำเสียงเบาหวิว ก่อนความรู้สึกทั้งมวลจะดับวูบลงไป....
“ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองนะ!?” แม่ขึ้นเสียงกราดเกรี้ยวใส่เธอเมื่ออยู่ในรถสองต่อสอง ลิลินคงจัดการโทรไปบอกแม่ให้
“หนูขอโทษค่ะ” มินตราก้มหน้าพูด ดวงตารื้นด้วยน้ำตา เรื่องแค่นี้ทำไมแม่ต้องตวาดด้วย เธอน้อยใจและเสียความรู้สึก
อีกแล้ว...ความอึดอัดที่บรรยายไม่ถูก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมันกำลังพุ่งขึ้นมาจากช่องท้องแล่นเข้าจับหัวใจ
มินตราค่อยๆเหลียวมองดูใบหน้าด้านข้างของแม่ที่กำลังขับรถอยู่ แว่บหนึ่ง.....มีเสียงในใจบอกเธอว่า คนๆนี้ไม่ใช่แม่ของเธอ!!!
นี่มันอะไร....มินตราไม่รู้ว่าเธอควรเชื่อใจตัวเองหรือเปล่า...หรือนี่คือจุดเริ่มต้นของความเจ็บป่วยทางจิต
ถ้าคนที่กำลังขับรถพาเธอไปโรงพยาบาลไม่ใช่แม่ของมินตรา แล้วเธอคือใครกันแน่!!!!
แม่ไม่ได้พาเธอไปโรงพยาบาล แต่ตรงดิ่งกลับบ้าน ประคองมินตรานอนบนเตียงแล้วหยิบยาเม็ดสีชมพูสองเม็ดส่งมาให้เธอพร้อมแก้วน้ำ
“กินยาแล้วดื่มน้ำตามเยอะๆ”
มินตราจำใจทำตามคำสั่งของแม่เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ แม้ในใจเธออยากขัดขืน
แม่ทำอย่างนี้ทุกครั้งเวลาเธอป่วย ยาเม็ดสีชมพูนั่นเปรียบเสมือนยามรณะ มันทำให้ง่วงมึน
หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกได้ร้าวไปทั้งกระโหลก หน้าและลำคอ....
เธอเดาว่ามันคือยานอนหลับ แต่แม่ทำอะไรกับเธอหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่มินตราไม่เคยมีคำตอบให้ตัวเอง
ครั้งนี้ต้องไม่พลาด..
มินตราบอกตัวเอง ทำทีรับแก้วน้ำและยามากิน
แต่แอบเก็บยาไว้ใต้ลิ้นไม่ได้กลืนลงลำคอและเมื่อแม่รับแก้วไปแล้วเดินไปวางที่โต๊ะเครื่องแป้งมิตราก็บ้วนยาทิ้งซ่อนไว้ใต้หมอน...
มันถึงเวลาที่เธอควรจะรู้ความจริงเสียทีว่าแม่แอบทำอะไรกับเธอหลังสลบไป
มินตราจะรู้ตัวหรือไม่ว่าสิ่งที่ทำถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เรื่องบางเรื่องถ้าไม่รู้....คงจะดีกว่า
----เรื่องสั้นเรื่องนี้แต่งไว้เพียงครึ่งหนึ่ง ขอเชิญสหายทุกท่านช่วยแต่งเติมให้จบครบร้อยเปอร์เซนต์----
屮°□°)屮 (゜艸゜◎)มาเล่นแต่งเรื่องสั้นกัน...เรื่องสั้นฝันร้าย (50%) (屮°□°)屮 (゜艸゜◎)
เฮือกก!!!!!!
มินตราสะดุ้งขึ้นจากที่นอนด้วยดวงตาเบิกโพลง ความกลัวชนิดที่บรรยายไม่ได้วิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจเธอจนแทบไม่มีที่วาง
นี่มันอะไรกัน.......มินตรารู้สึกเจ็บตึงบริเวณผิวหน้าร้าวมาถึงลำคอพร้อมทั้งมีอาการปวดหัวคลื่นไส้อยากอาเจียน
ฝันร้ายซ้ำซาก
น่าแปลก.....หลังจากตื่นเธอจดจำได้แต่ความหวาดกลัวแต่เมื่อพยายามนึกว่าฝันร้ายเกี่ยวกับเรื่องอะไรนั้น……
ทำอย่างไรเธอก็ไม่สามารถนึกออกได้
ยิ่งพยายาม...ยิ่งปวดหัว
แอ๊ดดดดดดด....เสียงแง้มบานประตูทำให้มินตราเหลียวมองในผ่านความมืด ไม่ต้องมองเห็นเธอก็รู้ว่าใคร คงเป็นคุณแม่ที่ตกใจกับเสียงกรีดร้องของเธอ
“หนูไม่เป็นไรค่ะแม่ แค่ฝันร้าย แม่ไปนอนต่อเถอะ” มินตราบอกแม่ด้วยน้ำเสียงแหบโหยก่อนทิ้งตัวลงนอนใหม่อีกรอบ
แม่ค่อยๆดึงบานประตูจนปิดสนิทแทบไม่ได้ยินเสียง การตื่นกลางดึกแบบนี้ทำให้มินตรารู้สึกไม่ดีเลย เพราะเธอจะนอนไม่หลับอีกหลายชั่วโมง
พอรู้สึกตัวอีกทีก็ใกล้เช้าแล้ว มินตราต้องหอบร่างกายที่เต็มไปด้วยความสะโหลสะเหลไม่สดชื่นเต็มร้อยไปโรงเรียน
“นอนไม่หลับอีกแล้วเหรอแก” ลิลินเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันในห้องเรียนถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสายตาระโหยโรยแรง
รอบตาเป็นวงช้ำสีคล้ำของเพื่อน
“ฉันอยากไปหาหมอจังถ้าไม่ติดว่า....”มินตราพูดค้างไว้
“แม่แกเป็นหมอ” ลิลินต่อจนจบประโยค
“ฉันว่าโชคดีออกที่มีแม่แท้ๆเป็นหมอ เจ็บป่วยก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ให้แม่วิเคราะห์อาการและจ่ายยาได้เลย น่าอิจฉาจะตาย”ลิลินบอกกันเพื่อน
..........
ไม่มีคำตอบจากมินตรา พูดไปจะมีใครเชื่อว่าแม่นั่นแหละ คือคนที่เธอรู้สึกกลัวมากที่สุด
สิ่งนี้มันออกมาจากจิตใต้สำนึก ทั้งๆที่เธอพยายามให้เหตุผลค้านกับตัวเองว่าแม่คนดีของเธอ ซึ่งมอบทั้งความรักความเอาใจใส่
และทุกๆอย่างในชีวิตเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำเพื่อลูกได้ แม่ดีขนาดนี้...แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกไม่ไว้วางใจ
หรือเป็นเพราะเธอเริ่มมีอาการป่วยทางจิตเวช หวาดระแวงแม้แต่คนใกล้ตัว
ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากนักเสียงออดหมดคาบกระตุ้นให้เธอกับลิลินต้องรีบเปลี่ยนชุดพละเพื่อไปเรียนวอลเล่ย์ที่โรงยิม
วันนี้มีสอบด้วย...เธอต้องรีบ
ตึ่กๆๆๆๆๆๆๆ
ใจมินตราเต้นไม่เป็นจังหวะ มือเย็บเฉียบ เธอไม่ถนัดกีฬาทุกชนิด พอถึงเวลาต้องสอบเก็บคะแนนทีไร เธอจะรู้สึกถึง
ความกดดันมหาศาลถาโถมมาทับตัวเธอ “เราต้องสอบผ่าน” มินตราย้ำกับตัวเองเบาๆเรียกความมั่นใจ
วันนี้มีสอบเสิร์ฟลูกซึ่งอาจารย์ให้โอกาสสิบครั้ง เธอต้องเสิร์ฟลูกดีข้ามเน็ตและไม่ออกนอกเส้นอย่างน้อยเจ็ดลูกจึงจะผ่าน
อาจารย์ให้เวลาจับคู่ซ้อมสิบนาที ก่อนจะเรียกสอบเป็นคู่ตามเลขที่ มินตรารู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เธอทำได้ดีที่สุดเพียงแค่สี่ในสิบลูก ยังต้องพยายามเพิ่มขึ้นอีก
ด้วยความจำกัดของโรงยิมทำให้นักเรียนครึ่งหนึ่งต้องนั่งคอย ดูเพื่อนอีกครึ่งหนึ่งซ้อมก่อนกับเน็ตจริงที่ต้องเสิร์ฟข้ามผ่านไปให้ได้
เฮ้ออออออออ
อยากให้ช่วงเวลาเลวร้ายอย่างที่รู้สึกตอนนี้วิ่งผ่านไปเร็วๆจัง มินตราอดเผลอคิดไม่ได้ก่อนจะเสริ์ฟลูกแรกออกไป...
ไม่ผ่านลูกเสิร์ฟของเธอเบาเกินไป....
เหลือเวลาอีกไม่มากนักจะหมดเวลาซ้อมแล้ว ตอนนี้มินตรารู้สึกเครียดจนปวดตึงที่ขมับอาการเจ็บหน้าร้าวมาถึงลำคอเริ่มกำเริบอีกรอบ
มิน!!!!! ระวัง!!!!
เธอได้ยินเสียงร้องเตือนของลิลินดังมาจากที่ไหนสักที่ เธอเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้กำลังมีลูกวอลเล่ย์ที่พุ่งจี๋หมุนด้วยความเร็วสูง
ผ่านเน็ตตรงดิ่งเข้าสู่ใบหน้าเธอ
มินตราตัวแข็ง ยืนขาตายตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่ง....
ผลั่กกกกก!!!
เสียงลูกบอลกระแทกกับหน้าเธอจังๆทำให้มินตราถึงกับเซถลาล้มไปกองที่พื้น เลือดกำเดาจำนวนมากไหลออกมา
ลิลินถลาเข้ามาประคองเพื่อนรักด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่ามิน”
ลิลินสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนสาว ตัวมินตราเย็นเฉียบ ตาเบิกโพลงอ้าปากค้าง ราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่างสุดชีวิต
“แก....เป็นอะไรไป” ลิลินเขย่าตัวเพื่อนเมื่อ
“ฉันเห็นหัวตัวเองลอยข้ามเน็ตมา....”
มินตราพึมพำเสียงเบาหวิว ก่อนความรู้สึกทั้งมวลจะดับวูบลงไป....
“ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองนะ!?” แม่ขึ้นเสียงกราดเกรี้ยวใส่เธอเมื่ออยู่ในรถสองต่อสอง ลิลินคงจัดการโทรไปบอกแม่ให้
“หนูขอโทษค่ะ” มินตราก้มหน้าพูด ดวงตารื้นด้วยน้ำตา เรื่องแค่นี้ทำไมแม่ต้องตวาดด้วย เธอน้อยใจและเสียความรู้สึก
อีกแล้ว...ความอึดอัดที่บรรยายไม่ถูก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมันกำลังพุ่งขึ้นมาจากช่องท้องแล่นเข้าจับหัวใจ
มินตราค่อยๆเหลียวมองดูใบหน้าด้านข้างของแม่ที่กำลังขับรถอยู่ แว่บหนึ่ง.....มีเสียงในใจบอกเธอว่า คนๆนี้ไม่ใช่แม่ของเธอ!!!
นี่มันอะไร....มินตราไม่รู้ว่าเธอควรเชื่อใจตัวเองหรือเปล่า...หรือนี่คือจุดเริ่มต้นของความเจ็บป่วยทางจิต
ถ้าคนที่กำลังขับรถพาเธอไปโรงพยาบาลไม่ใช่แม่ของมินตรา แล้วเธอคือใครกันแน่!!!!
แม่ไม่ได้พาเธอไปโรงพยาบาล แต่ตรงดิ่งกลับบ้าน ประคองมินตรานอนบนเตียงแล้วหยิบยาเม็ดสีชมพูสองเม็ดส่งมาให้เธอพร้อมแก้วน้ำ
“กินยาแล้วดื่มน้ำตามเยอะๆ”
มินตราจำใจทำตามคำสั่งของแม่เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ แม้ในใจเธออยากขัดขืน
แม่ทำอย่างนี้ทุกครั้งเวลาเธอป่วย ยาเม็ดสีชมพูนั่นเปรียบเสมือนยามรณะ มันทำให้ง่วงมึน
หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกได้ร้าวไปทั้งกระโหลก หน้าและลำคอ....
เธอเดาว่ามันคือยานอนหลับ แต่แม่ทำอะไรกับเธอหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่มินตราไม่เคยมีคำตอบให้ตัวเอง
ครั้งนี้ต้องไม่พลาด..
มินตราบอกตัวเอง ทำทีรับแก้วน้ำและยามากิน
แต่แอบเก็บยาไว้ใต้ลิ้นไม่ได้กลืนลงลำคอและเมื่อแม่รับแก้วไปแล้วเดินไปวางที่โต๊ะเครื่องแป้งมิตราก็บ้วนยาทิ้งซ่อนไว้ใต้หมอน...
มันถึงเวลาที่เธอควรจะรู้ความจริงเสียทีว่าแม่แอบทำอะไรกับเธอหลังสลบไป
มินตราจะรู้ตัวหรือไม่ว่าสิ่งที่ทำถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เรื่องบางเรื่องถ้าไม่รู้....คงจะดีกว่า