หลงอยู่ในแดนพิศวง
หลังจากที่ผมได้โพสรีวิวอัลบั้ม Trilogy มาให้ชาวพันทิปได้อ่านกัน เพื่อความต่อเนื่องและย้อนความหลังก่อนที่อัลบั้ม Beauty Behind The Madness กำลังจะวางจำหน่ายในไอจูนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า วันนี้ผมหยิบสตูดิโอชุดแรกอย่างเป็นทางการที่มีชื่อว่า
Kiss Land มาให้อ่านเรียกน้ำย่อยกันก่อนจะได้ฟังอัลบั้มใหม่กัน หลายๆคนอาจเข้าใจผิดว่า
Trilogy เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของ Abel แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่นะฮ๊าฟ มันเป็นการนำมิกซ์เทปทั้งสามชุดอย่าง
House Of Balloon , Thursday และ Echoes Of Silence มารวมกัน
Kiss Land เนี่ยแหละสตูดิโอชุดแรกจริงๆ
Kiss Land ชุดนี้ผมว่ามันซอฟต์กว่า
Trilogy เยอะ ลดความดาร์กลงเยอะ ลดคำหยาบได้บ้าง แต่ตัวเพลงโดยรวมยังให้บรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล ลึกลับ หลอนๆ อีโรติค สองแง่สองง่ามอยู่ดี
ใครที่พลาดรีวิวอัลบั้ม Trilogy คลิ๊กที่ลิ้งก์นี้เลยครับผม >>>>
http://pantip.com/topic/34090960
ถึงแม้ว่าชื่ออัลบั้มจะไปในทางโรแมนติกกะโหลกกะลานิดนึง แต่คอนเซปต์ของ
Kiss Land เป็นการออกเดินทางไปในสถานที่ๆไม่คุ้นเคย เจอคนแปลกหน้ามากมาย การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนไม่ใช่การออกเดินทางเพื่อเปิดโลกทัศน์แต่อย่างใด เจตนารมณ์ลึกๆต้องการหลีกหนีเมือง Toronto (อันเป็นสถานที่ที่เอเบลพูดถึงบ่อยมากๆ ในมิกซ์เทปไตรภาค Trilogy) นอกจากนี้ยังหลีกหนีผู้หญิงที่เอเบลเคยคบออกไปให้ไกลที่สุดอีกด้วย ไปเจอหญิงใหม่มากหน้าหลายตา เสพสุขอยู่ในดินแดนแห่งกิเลสตัณหาที่แฝงด้วยอันตรายที่ซ่อนอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ นั่นแหละคือ
Kiss Land หนังThriller ในจินตนาการของ
Abel Tesfaye
แผนโปรโมทอัลบั้มชุดนี้มีความน่าสนใจมาก ด้วยความที่
Abel ชอบญี่ปุ่น เลยเลือกใช้โลเคชั่นเมืองโตเกียวในการถ่ายทำเอ็มวี หน้าปกซิงเกิ้ลก็มีภาษาญี่ปุ่น ภาพหนังเอวี ตัวการ์ตูนญี่ปุ่น มาปะปนในงานชุดนี้ด้วย ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีครับ ที่จะเจาะตลาดพี่ยุ่น เพราะพี่ยุ่นอุดหนุนของถูกลิขสิทธ์อยู่แล้ว ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศสุดป็อบปูล่าที่ศิลปินหลายๆคนเลือกที่จะมาโปรโมทงานเพลงกัน
Kiss Land ประกอบไปด้วย 10 แทร็คพร้อมโบนัสแทร็ค 2 แทร็คด้วยกัน จำนวนแทร็คดูน้อย แต่ความยาวของแต่ละเพลงยาวไม่ใช่เล่น ขั้นต่ำห้านาทีฮับผม ฟังกันยาวๆ 1 ชั่วโมง
อยากให้ลองดูคลิปนี้ แล้วจะเข้าใจคอนเซปต์ของ Kiss Land มากขึ้นครับ
เริ่มจากเพลงแรก
Professional เปิดแบบเงียบๆ เสียงเอื้อนๆ เนิบๆ มีบีทเคาะแทรกเป็นช่วงๆ ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นแทร็คเปิดที่ยังไม่โปรเฟสชั่นน่อลซะเท่าไหร่ ค่อนข้างน่าเบื่อและเนิบนาบไปนิดนึง แต่ก็ไม่ได้แย่มากฮับ
คลิปซ้อมร้องเพลงวอร์มอัพหลังเวที Belong To The World และ The Town
The Town เพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่เอเบลเพื่อหนีผู้หญิงคนนึงที่เคยทิ้งเอเบลไปหาคนอื่น มาแบบช้าๆ ชอบน้ำเสียงอันละเมียดละไมของพี่แกมากๆ ให้ความรู้สึกสมูทในตอนแรก แต่ต่อมาโทนเพลงเริ่มเปลี่ยนไปใช้บีทสังเคราะห์ อิเล็คโทรนิคนิดๆ พาคนฟังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนวุ่นวาย เจ๋งดีฮับ
3 แทร็คต่อไปให้ความต่อเนื่องดีฮับ ไม่ว่าจะเป็น
Adaptation อาร์แอนด์บีผสมผสานความเป็นกอสเปลได้ฮึกเหิมมากๆฮับ ถึงจะไม่ใช่แทร็คที่โชว์พลังเสียงอะไรมาก แต่ให้ความตื่นเต้นไม่น้อย ต่อเนื่องด้วย
Love In The Sky แฝงความเซ็กซี่อยู่ไม่น้อยด้วยน้ำเสียงสุดละเมียดละไมของเอเบลอีกเช่นเคย ฟังเพลิน เนื้อหาอีโรติกโคตรๆ
Belong To The World อินโทรเปิดด้วยดับสเต็ปเท่ๆ เป็นป็อบที่มาแปลกแหวกแนวมากๆฮับ ตัวเพลงอลังกาล ส่วนเอ็มวีอันนี้ It A Must จริงๆ อลังกาลงานสร้างโคตรๆระดับเดียวกับเอ็มวีของศิลปินซุปตาร์เลยล่ะครับท่าน ลงทุนถ่ายทำถึงญี่ปุ่น แถมได้คนญี่ปุ่นมาแสดงร่วมในเอ็มวีเยอะมากๆ คารวะความเป็นญี่ปุ่นมากๆ ทั้งเรื่องวัฒนธรรมและภาษา เป็น 7 นาทีที่คุ้มค่าแก่การรับชม
Live For (Feat. Drake) อันนี้ก็มาแปลกๆดิบๆ มีเสียงพิณญี่ปุ่นเคล้าคลอกับเสียงร้องสุดสมูทของเอเบล เสนาะหูดีแท้ แถมยังได้เดรกผู้เป็นเพื่อนสนิทมาร่วมแร็พแจมสร้างสีสันให้กับเพลงได้เป็นอย่างดี ไม่อยากจะบอกว่าเดรกกับเอเบลเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ Crew Love และ The Zone แล้ว
Wanderlust รีฟกีตาร์เปิดอินโทรพี่ไทยโคตรๆ sound ดูมั่วไปหน่อย แต่เสียงร้องในแทร็คนี้ทำให้นึกถึง Michael Jackson
มาถึง Title Track ประจำชุดนี้อย่าง
Kiss Land Styles เพลงชวนให้นึกถึง
Trilogy อยู่ไม่น้อย เนื้อหายังไม่ทิ้งลายหนุ่มปาร์ตี้พี้ยา มั่วเซ็กส์ อยู่ดี ขึ้นต้นเพลงด้วยเอฟเฟ็คเสียงผู้หญิงกรี๊ดร้อง กระตุ้นความระทึกนิดๆ เสียงร้องมาแบบเรียบๆกลางแต่ยั่วยวนได้ใจสุดๆ ไม่มีต้องอาศัยเสียงหลบเสียงสูงแต่อย่างใด
Pretty ชื่อเพลงออกแนวชื่นชมผู้หญิง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดเล๊ย เนื้อหาด่าผู้หญิงที่แอบมีชู้สู่ชาย เอเบลเคยให้สัมภาษณ์ในรายการของลุง David Letterman ว่า เพลงนี้ได้รับอิทธิพลมาจากเพลง
In The Air Tonight ของ Phill Collin ที่พูดถึงความรักครั้งเก่าที่จบได้ไม่สวยเท่าไหร่นัก จะว่าไปแล้วเพลงของลุง Phill จะตัดพ้อผู้หญิงแบบอ้อมๆ แต่

นี่ด่าตรงๆ ส่วนเอ็มวี

โหดสัส ไม่ไว้หน้า ไม่ปราณี เป็นอีกหนึ่งเอ็มวีที่ถ่ายทำในญี่ปุ่น แต่ น18+ นะฮับ (เห็นนม เลือดสาดด้วย)
ปิดท้ายStandard Version ด้วยเพลง
Tears In The Rain เพลงเศร้าบอกลาสาวเพื่อไปตามทางของตัวเอง เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากฉากสำคัญที่มีชื่อเดียวกับเพลง ในหนังsci-fi สุดคลาสสิค
Blade Runner ผมชอบอินโทรเปียโนเพลงนี้มากๆ ติดหูดี ถือเป็นเพลงปิดท้ายที่ทำได้ดีฮับ
มาถึงโบนัสแทร็คแถมมาให้ 2 เพลง คุ้มค่าแก่การฟัง ประเดิมด้วย
Wanderlust ได้
Pharrell Williams มารีมิกซ์ให้ในสไตล์ ฟังก์ นีโอ-โซล ตามสไตล์ถนัดของฟาเรล ไม่อยากจะบอกจริงๆว่า เวอร์ชั่นรีมิกซ์เจ๋งโคตรๆ ฟังครั้งแรกคลิ๊กเลย เจ๋งกว่าออริจินอลเสียอีก ผมว่าออริจินอลมันดูมั่วๆระคนปนเปไปหน่อย มันเจ๋งกว่าตรงที่มันลงตัว กรูฟเท่ ฟังลื่น ดนตรีมีทิศทางเดียวกัน ฟังเพื่อรีแล็กซ์ได้เลยล่ะ ต้องยกความดีความชอบให้เฮียฟาเรลจริงๆที่ช่วยทำให้เพลงมันดีขึ้น จริงๆผมอยากให้เพลงนี้เป็นเพลงหลักในอัลบั้มซะด้วยซ้ำ
มาถึงโบนัสแทร็คเพลงสุดท้าย
Odd Look จริงๆแล้วเพลงนี้เป็นเพลงดั้งเดิมของ
Kavinsky ศิลปินซิงค์ป็อบชาวฝรั่งเศสที่รวมอยู่ในอีพีอัลบั้ม Odd Look ไหนๆเอเบลก็อยู่ในสถานะแขกรับเชิญแล้วก็เอามารวมเป็นโบนัสแทร็คซะเลย ยอมรับตามตรงว่าไม่รู้จัก kavinsky มากเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยได้ฟังเพลงแนวนี้ แต่ตัวเพลงเป็นซิ้งค์ป็อบที่แปลกแหวกแนวมากๆ ซาวน์ดไม่โหล อินดี้ๆ
สิ้นสุดการท่องราตรีไปยังดินแดนของ
The Weeknd เป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่อัลบั้มชุดนี้พัฒนาจากชุดที่แล้วอย่างชัดเจนก็คือ โทนของเพลงที่ฟังไม่เลี่ยนจนเกินไป ผมว่า
Trilogy มันดูเลี่ยนไปหน่อย ขนาดผมชอบฟังสายดาร์กแล้วนะ ยังรู้สึกเอียนเลย แต่ชุดนี้โทนดนตรีทำออกมาได้พอดี ฟังได้เรื่อยๆ มีลูกเล่นแปลกใหม่เพียบ มีมิติ
จะว่าไปแล้วจุดเสียของผลงานชุดนี้ ผมว่ามันขาดความดาร์กไปเยอะเลย มันแทบจะใกล้เคียงความเป็นป็อบเลยล่ะสาวกเดนตายของ
The Weeknd อาจไม่ถูกใจซะเท่าไหร่นะ และอีกอย่างหนึ่งที่ขาดหายไปคือ ความหนักแน่น ผมสังเกตจากงานเพลงชุดที่แล้วโดยเฉพาะมิกซ์เทปปิดไตรภาค
Trilogy อย่าง
Echoes Of Silence นั่นถือเป็นตัวอย่างที่ดีครับ สัดส่วนของความดาร์กพอดิบพอดี ยังมีเพลงที่ให้ความหนักแน่น พอเติมเต็มผู้ฟังได้บ้าง แต่ชุดนี้มันช่างเบาบางซะเหลือเกิน นั่นแหละครับคือสิ่งที่ทำให้
Kiss Land ยังเป็นผลงานที่ไม่มาสเตอร์พีสและเป็นที่จดจำมากนัก ผมเข้าใจในตัวเอเบลนะที่ต้องการหาอะไรใหม่ๆให้ผู้ฟัง ไม่วกวนอยู่กับสไตล์ของตัวเองซะทีเดียว เกือบดีแล้วล่ะครับ
Trilogy บวกกับ Kiss Land แล้วหารสอง น่าจะลงตัวกว่า
Top Track : Live For (Ft.Drake) , Wanderlust (Pharrlell Remix) , Adaptation , Love In The Sky , Belong To The World
Give 7.5/10
เข้าไปกด Like ใน Facebook ติดตามงานรีวิวอัลบั้มต่อๆไปได้ที่ >>>>>
https://www.facebook.com/fungpaifungma
3 ดาวครึ่งนะคร้าบบบบบ เบลอไปนิดนึงโทดทีครับ
[CR] [รีวิวอัลบั้ม] Kiss Land - The Weeknd [น18+]
หลังจากที่ผมได้โพสรีวิวอัลบั้ม Trilogy มาให้ชาวพันทิปได้อ่านกัน เพื่อความต่อเนื่องและย้อนความหลังก่อนที่อัลบั้ม Beauty Behind The Madness กำลังจะวางจำหน่ายในไอจูนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า วันนี้ผมหยิบสตูดิโอชุดแรกอย่างเป็นทางการที่มีชื่อว่า Kiss Land มาให้อ่านเรียกน้ำย่อยกันก่อนจะได้ฟังอัลบั้มใหม่กัน หลายๆคนอาจเข้าใจผิดว่า Trilogy เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของ Abel แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่นะฮ๊าฟ มันเป็นการนำมิกซ์เทปทั้งสามชุดอย่าง House Of Balloon , Thursday และ Echoes Of Silence มารวมกัน Kiss Land เนี่ยแหละสตูดิโอชุดแรกจริงๆ Kiss Land ชุดนี้ผมว่ามันซอฟต์กว่า Trilogy เยอะ ลดความดาร์กลงเยอะ ลดคำหยาบได้บ้าง แต่ตัวเพลงโดยรวมยังให้บรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล ลึกลับ หลอนๆ อีโรติค สองแง่สองง่ามอยู่ดี
ใครที่พลาดรีวิวอัลบั้ม Trilogy คลิ๊กที่ลิ้งก์นี้เลยครับผม >>>> http://pantip.com/topic/34090960
ถึงแม้ว่าชื่ออัลบั้มจะไปในทางโรแมนติกกะโหลกกะลานิดนึง แต่คอนเซปต์ของ Kiss Land เป็นการออกเดินทางไปในสถานที่ๆไม่คุ้นเคย เจอคนแปลกหน้ามากมาย การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนไม่ใช่การออกเดินทางเพื่อเปิดโลกทัศน์แต่อย่างใด เจตนารมณ์ลึกๆต้องการหลีกหนีเมือง Toronto (อันเป็นสถานที่ที่เอเบลพูดถึงบ่อยมากๆ ในมิกซ์เทปไตรภาค Trilogy) นอกจากนี้ยังหลีกหนีผู้หญิงที่เอเบลเคยคบออกไปให้ไกลที่สุดอีกด้วย ไปเจอหญิงใหม่มากหน้าหลายตา เสพสุขอยู่ในดินแดนแห่งกิเลสตัณหาที่แฝงด้วยอันตรายที่ซ่อนอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ นั่นแหละคือ Kiss Land หนังThriller ในจินตนาการของ Abel Tesfaye
แผนโปรโมทอัลบั้มชุดนี้มีความน่าสนใจมาก ด้วยความที่ Abel ชอบญี่ปุ่น เลยเลือกใช้โลเคชั่นเมืองโตเกียวในการถ่ายทำเอ็มวี หน้าปกซิงเกิ้ลก็มีภาษาญี่ปุ่น ภาพหนังเอวี ตัวการ์ตูนญี่ปุ่น มาปะปนในงานชุดนี้ด้วย ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีครับ ที่จะเจาะตลาดพี่ยุ่น เพราะพี่ยุ่นอุดหนุนของถูกลิขสิทธ์อยู่แล้ว ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศสุดป็อบปูล่าที่ศิลปินหลายๆคนเลือกที่จะมาโปรโมทงานเพลงกัน
Kiss Land ประกอบไปด้วย 10 แทร็คพร้อมโบนัสแทร็ค 2 แทร็คด้วยกัน จำนวนแทร็คดูน้อย แต่ความยาวของแต่ละเพลงยาวไม่ใช่เล่น ขั้นต่ำห้านาทีฮับผม ฟังกันยาวๆ 1 ชั่วโมง
เริ่มจากเพลงแรก Professional เปิดแบบเงียบๆ เสียงเอื้อนๆ เนิบๆ มีบีทเคาะแทรกเป็นช่วงๆ ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นแทร็คเปิดที่ยังไม่โปรเฟสชั่นน่อลซะเท่าไหร่ ค่อนข้างน่าเบื่อและเนิบนาบไปนิดนึง แต่ก็ไม่ได้แย่มากฮับ
The Town เพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่เอเบลเพื่อหนีผู้หญิงคนนึงที่เคยทิ้งเอเบลไปหาคนอื่น มาแบบช้าๆ ชอบน้ำเสียงอันละเมียดละไมของพี่แกมากๆ ให้ความรู้สึกสมูทในตอนแรก แต่ต่อมาโทนเพลงเริ่มเปลี่ยนไปใช้บีทสังเคราะห์ อิเล็คโทรนิคนิดๆ พาคนฟังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนวุ่นวาย เจ๋งดีฮับ
3 แทร็คต่อไปให้ความต่อเนื่องดีฮับ ไม่ว่าจะเป็น Adaptation อาร์แอนด์บีผสมผสานความเป็นกอสเปลได้ฮึกเหิมมากๆฮับ ถึงจะไม่ใช่แทร็คที่โชว์พลังเสียงอะไรมาก แต่ให้ความตื่นเต้นไม่น้อย ต่อเนื่องด้วย Love In The Sky แฝงความเซ็กซี่อยู่ไม่น้อยด้วยน้ำเสียงสุดละเมียดละไมของเอเบลอีกเช่นเคย ฟังเพลิน เนื้อหาอีโรติกโคตรๆ
Belong To The World อินโทรเปิดด้วยดับสเต็ปเท่ๆ เป็นป็อบที่มาแปลกแหวกแนวมากๆฮับ ตัวเพลงอลังกาล ส่วนเอ็มวีอันนี้ It A Must จริงๆ อลังกาลงานสร้างโคตรๆระดับเดียวกับเอ็มวีของศิลปินซุปตาร์เลยล่ะครับท่าน ลงทุนถ่ายทำถึงญี่ปุ่น แถมได้คนญี่ปุ่นมาแสดงร่วมในเอ็มวีเยอะมากๆ คารวะความเป็นญี่ปุ่นมากๆ ทั้งเรื่องวัฒนธรรมและภาษา เป็น 7 นาทีที่คุ้มค่าแก่การรับชม
Live For (Feat. Drake) อันนี้ก็มาแปลกๆดิบๆ มีเสียงพิณญี่ปุ่นเคล้าคลอกับเสียงร้องสุดสมูทของเอเบล เสนาะหูดีแท้ แถมยังได้เดรกผู้เป็นเพื่อนสนิทมาร่วมแร็พแจมสร้างสีสันให้กับเพลงได้เป็นอย่างดี ไม่อยากจะบอกว่าเดรกกับเอเบลเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ Crew Love และ The Zone แล้ว
Wanderlust รีฟกีตาร์เปิดอินโทรพี่ไทยโคตรๆ sound ดูมั่วไปหน่อย แต่เสียงร้องในแทร็คนี้ทำให้นึกถึง Michael Jackson
มาถึง Title Track ประจำชุดนี้อย่าง Kiss Land Styles เพลงชวนให้นึกถึง Trilogy อยู่ไม่น้อย เนื้อหายังไม่ทิ้งลายหนุ่มปาร์ตี้พี้ยา มั่วเซ็กส์ อยู่ดี ขึ้นต้นเพลงด้วยเอฟเฟ็คเสียงผู้หญิงกรี๊ดร้อง กระตุ้นความระทึกนิดๆ เสียงร้องมาแบบเรียบๆกลางแต่ยั่วยวนได้ใจสุดๆ ไม่มีต้องอาศัยเสียงหลบเสียงสูงแต่อย่างใด
Pretty ชื่อเพลงออกแนวชื่นชมผู้หญิง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดเล๊ย เนื้อหาด่าผู้หญิงที่แอบมีชู้สู่ชาย เอเบลเคยให้สัมภาษณ์ในรายการของลุง David Letterman ว่า เพลงนี้ได้รับอิทธิพลมาจากเพลง In The Air Tonight ของ Phill Collin ที่พูดถึงความรักครั้งเก่าที่จบได้ไม่สวยเท่าไหร่นัก จะว่าไปแล้วเพลงของลุง Phill จะตัดพ้อผู้หญิงแบบอ้อมๆ แต่
ปิดท้ายStandard Version ด้วยเพลง Tears In The Rain เพลงเศร้าบอกลาสาวเพื่อไปตามทางของตัวเอง เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากฉากสำคัญที่มีชื่อเดียวกับเพลง ในหนังsci-fi สุดคลาสสิค Blade Runner ผมชอบอินโทรเปียโนเพลงนี้มากๆ ติดหูดี ถือเป็นเพลงปิดท้ายที่ทำได้ดีฮับ
มาถึงโบนัสแทร็คแถมมาให้ 2 เพลง คุ้มค่าแก่การฟัง ประเดิมด้วย Wanderlust ได้ Pharrell Williams มารีมิกซ์ให้ในสไตล์ ฟังก์ นีโอ-โซล ตามสไตล์ถนัดของฟาเรล ไม่อยากจะบอกจริงๆว่า เวอร์ชั่นรีมิกซ์เจ๋งโคตรๆ ฟังครั้งแรกคลิ๊กเลย เจ๋งกว่าออริจินอลเสียอีก ผมว่าออริจินอลมันดูมั่วๆระคนปนเปไปหน่อย มันเจ๋งกว่าตรงที่มันลงตัว กรูฟเท่ ฟังลื่น ดนตรีมีทิศทางเดียวกัน ฟังเพื่อรีแล็กซ์ได้เลยล่ะ ต้องยกความดีความชอบให้เฮียฟาเรลจริงๆที่ช่วยทำให้เพลงมันดีขึ้น จริงๆผมอยากให้เพลงนี้เป็นเพลงหลักในอัลบั้มซะด้วยซ้ำ
มาถึงโบนัสแทร็คเพลงสุดท้าย Odd Look จริงๆแล้วเพลงนี้เป็นเพลงดั้งเดิมของ Kavinsky ศิลปินซิงค์ป็อบชาวฝรั่งเศสที่รวมอยู่ในอีพีอัลบั้ม Odd Look ไหนๆเอเบลก็อยู่ในสถานะแขกรับเชิญแล้วก็เอามารวมเป็นโบนัสแทร็คซะเลย ยอมรับตามตรงว่าไม่รู้จัก kavinsky มากเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยได้ฟังเพลงแนวนี้ แต่ตัวเพลงเป็นซิ้งค์ป็อบที่แปลกแหวกแนวมากๆ ซาวน์ดไม่โหล อินดี้ๆ
สิ้นสุดการท่องราตรีไปยังดินแดนของ The Weeknd เป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่อัลบั้มชุดนี้พัฒนาจากชุดที่แล้วอย่างชัดเจนก็คือ โทนของเพลงที่ฟังไม่เลี่ยนจนเกินไป ผมว่า Trilogy มันดูเลี่ยนไปหน่อย ขนาดผมชอบฟังสายดาร์กแล้วนะ ยังรู้สึกเอียนเลย แต่ชุดนี้โทนดนตรีทำออกมาได้พอดี ฟังได้เรื่อยๆ มีลูกเล่นแปลกใหม่เพียบ มีมิติ
จะว่าไปแล้วจุดเสียของผลงานชุดนี้ ผมว่ามันขาดความดาร์กไปเยอะเลย มันแทบจะใกล้เคียงความเป็นป็อบเลยล่ะสาวกเดนตายของ The Weeknd อาจไม่ถูกใจซะเท่าไหร่นะ และอีกอย่างหนึ่งที่ขาดหายไปคือ ความหนักแน่น ผมสังเกตจากงานเพลงชุดที่แล้วโดยเฉพาะมิกซ์เทปปิดไตรภาค Trilogy อย่าง Echoes Of Silence นั่นถือเป็นตัวอย่างที่ดีครับ สัดส่วนของความดาร์กพอดิบพอดี ยังมีเพลงที่ให้ความหนักแน่น พอเติมเต็มผู้ฟังได้บ้าง แต่ชุดนี้มันช่างเบาบางซะเหลือเกิน นั่นแหละครับคือสิ่งที่ทำให้ Kiss Land ยังเป็นผลงานที่ไม่มาสเตอร์พีสและเป็นที่จดจำมากนัก ผมเข้าใจในตัวเอเบลนะที่ต้องการหาอะไรใหม่ๆให้ผู้ฟัง ไม่วกวนอยู่กับสไตล์ของตัวเองซะทีเดียว เกือบดีแล้วล่ะครับ
Top Track : Live For (Ft.Drake) , Wanderlust (Pharrlell Remix) , Adaptation , Love In The Sky , Belong To The World
Give 7.5/10
เข้าไปกด Like ใน Facebook ติดตามงานรีวิวอัลบั้มต่อๆไปได้ที่ >>>>> https://www.facebook.com/fungpaifungma