ผิดมั้ยที่เลือกดรอปเรียน 1 ปีและตอนนี้ก็อยู่บ้านเฉยๆ ยังไม่ได้ทำงาน

กระทู้คำถาม
สวัสดีค่ะ...
ดิฉันขอขอบทุกคนที่ให้ความกรุณาเข้ามาอ่านกระทู้ของดิฉันนะคะ กระทู้นี้ที่ดิฉันสร้างขึ้นก็เพื่อเล่าความรู้สึก ระบายความในใจ และอยากรู้มีเพื่อนๆ พี่ๆ คนไหนเป็นแบบดิฉันบ้างหรือเปล่าค่ะ

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะคะ ว่าดิฉันไม่เคยตั้งกระทู้ในพันทิปเลย "กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกค่ะ" และนี้ก็เป็นการสมัคสมาชิกในพันทิปครั้งแรกของดิฉันด้วยค่ะ
ส่วนใหญ่ที่เข้ามาอ่านกระทู้ของพันทิปก็เข้าโดยการค้นหาจาก google ค่ะ ถ้ากระทู้นี่ดิฉันพิมพ์อะไรอ่านแล้วไม่เข้าใจต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ขอเริ่มเลยนะคะ... ตอนนี้ดิฉันอายุ 20 ปี ค่ะ ตอนจบม.6 ดิฉันได้เข้าเรียนมหาลัยเอกชนชื่อดังประมาณอันดับ 3-4 ในกรุงเทพฯ ค่ะ ส่วนตัวดิฉันไม่เคยคิดอยากจะเรียนมหาลัยรัฐบาลเลย ไม่ได้แอนตี้นะคะ คือรู้ตัวเองค่ะว่าเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ รู้ว่าถ้าไปสมัครสอบก็อาจจะสอบไม่ได้
เพราะดิฉันเองเคยไปสอบม.สวนดุสิตค่ะ ตอนนั้นดิฉันอยากเรียนการบินและการโรงแรมมากๆ ค่ะ ดิฉันชอบภาษาอังกฤษ อยากเก่งภาษา อยากพูดได้เก่งๆ อยากไปเรียนต่อเมืองนอก แต่คือดิฉันสอบไม่ติด ฝันก็สลายไปกับตา จนพอใกล้จะเปิดเรียน คือใจจริงดิฉันอยากดรอปค่ะ ไม่อยากเรียนปีนี้อยากรอสอบใหม่ปีหน้า ตอนที่ดรอปก็จะใช้เวลาไปเรียนเสริมวางพื้นใหม่ให้แน่นๆ แต่แม่ก็จะมาพูดกับดิฉันตลอดเหมือนไม่อยากให้ดรอป ไม่อยากให้เสียเวลา บลาๆ ค่ะ
และดิฉันก็เลนต้องหามหาลัยที่จะเข้าไปเรียนต่อ ตอนนั้นดิฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนมหาลัยไหน คณะอะไร สาขาอะไร เพราะดิฉันอยากดรอปปีนี้ยังไม่อยากเริ่มเรียน

จนแม่และพี่สาวของดิฉันตกลงกันว่าจะให้ดิฉันเข้าเรียน มหาลัยที่พี่สาวดิฉันจบมาค่ะ ก็คือมหาลัยเอกชนที่ดิฉันบอกตอนแรก
แม่ก็มาถามดิฉันว่าอยากเรียนสาขาอะไร
ก่อนหน้านี้บอกก่อนนะคะว่าแม่ดิฉันเลือกคณะกับสาขามาให้แล้ว เพราะแม่ได้มาถามดิฉันว่าอยากเรียนเกี่ยวกับอะไรหรือชอบอะไรมั้ย ดิฉันก็ตอบแม่ไปว่า "ไม่รู้" (ตอนนั้นดิฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะอยากเรียนอะไรดี รู้แต่ว่าชอบภาษาอังกฤษอยากเรียนที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ)

สรุปดิฉันเข้าเรียนคณะมนุษย์ศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารฯ (คล้ายๆ ประมาณว่าเรียนเน้นภาษาอังกฤษอย่างเดียว) ดิฉันก็ไม่รู้นะคะว่าตัวเองอยากเรียนคณะนี้สาขานี้หรือเปล่า แต่ที่รู้ๆ ดิฉันคิดว่าโอเค เรียนนี้ก็ได้ มันยังเรียนเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ก็ยังดีได้เรียนในสิ่งที่เราชอบ

...แต่พอเรียนปี 1 ไปได้ประมาณ 1 เทอม พอเข้าเทอม 2 เรียนไปสักพักดิฉันเริ่มรู้สึกท้อ เพราะมันยากมากดิฉันเรียนไม่ค่อยทัน และไม่ค่อยเข้าใจ บางครั้งในคาบที่ดิฉันเข้าเรียน ถ้าคาบไหนดิฉันเรียนวิชานี้ไม่รู้เรื่อง ตามไม่ทัน มันก็ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากเรียนจนจบคาบเลยค่ะ เพราะเรียนไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ พอเลิกเรียน กลับมาหอ ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อย และท้อแท้มากช่วงนี้ เกรดเฉลี่ยเทอมแรกดิฉันได้ประมาณ 2.33 นะคะ สำหรับตัวดิฉันก็ถือว่ามันไม่ได้แย่มากค่ะ แต่ดิฉันรู้สึกว่ามันยาก ดิฉันเหนื่อย และรู้สึกขี้เกียจที่จะต้องพยายามทำความเข้าใจทีหลังตลอด เพราะในคาบเรียนบางครั้งดิฉันเรียนไม่ทันเลยและไม่เข้าใจ ก็ต้องมาทำความเข้าใจทีหลังพอมาทำความเข้าใจทีหลังกับเพื่อน ตอนแรกดิฉันเหมือนจะเข้าใจพอสักพักเอาจริงๆ คือดิฉันก็ยัง งง ในเรื่องนั้นค่ะ พอเวลามีเทสหลังเรียนจบบทดิฉันก็จะทำไม่ค่อยได้ และคะแนนที่ออกมามันก็แย่ ทำให้ดิฉันรู้สึกแย่ เครียด อยากร้องไห้ ไม่อยากเรียนต่อ...

และช่วงนั้นดิฉันจะกลับบ้านบ่อยค่ะ บ้านดิฉันอยู่ต่างจังหวัด ดิฉันมาเรียนในกรุงเทพฯ และอยู่หอ พอกลับบ้านก็จะมาคุนกับแม่ ดิฉันก็จะเล่าให้แม่ฟัง พูดกับแม่เรื่องเรียนตลอด บ่นว่าเหนื่อยอยู่บ่อยๆ แม่ดิฉันก็จะบอกเสมอว่าให้พยายาม เราต้องพยายามนั่นนี่ บลาๆ บางครั้งดิฉันก็ร้องไห้เพราะมันรู้สึกเหนื่อย บางครั้งก็จะคุยกับเพื่อนเก่าสมัยม.6 เพื่อนที่สนิทมากรู้จักกันมาเกือบ 10 ปี บ่นให้เพื่อนฟังว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้
พอนานๆ เข้าดิฉันก็พูดบ้างไม่พูดบ้างกับแม่ จนวันนึงดิฉันบ่นเหนื่อยอ่ะแม่ แล้วก็ร้องไห้ ดิฉันบอกเรียนไม่ไหวยาก เรียนไม่ค่อยรู้เรื่องกลัวเกรดไม่ดี วันนั้นแม่บอกดิฉันว่าย้ายคณะมั้ย ดิฉันก็คิดว่าจะย้ายไปไหน ไม่อยากย้าย ดิฉันอยากดรอปเรียนไปวางพื้นใหม่ ดิฉันอยากเริ่มเรียนใหม่ เหมือนที่ดิฉันเข้าเรียนปีนี้ตัวดิฉันเองคิดว่าตัวเองไม่พร้อมเรียนเลย แต่เพราะแม่มาพูดว่าไม่อยากให้เรียนช้า ไม่อยากให้ดรอป ให้ปล่อยเวลาว่างเปล่า อยากให้เรียนจบทันเพื่อน

...จนดิฉันจบเทอม 2 พอสอบเสร็จปิดเทอม ดิฉันก็กลับมาอยู่บ้านเลย ไม่อยู่กรุงเทพต่อ ดิฉันอยากกลับบ้านตลอดเวลาในทุกครั้งที่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อ เพราะคิดว่าเวลากลับบ้านแล้วรู้สึกสบายใจค่ะ ชอบอยู่กับคนในครอบครัว
ก่อนหน้าที่จะสอบ (ตอนสอบจบเทอม 2 ดิฉันก็ทำข้อสอบไม่ได้เยอะมากค่ะ ไม่รู้ว่าต้องตอบข้อไหน ไม่รู้ว่าข้อเขียนข้อนี้ต้องเขียนอะไรลงไป) ดิฉันคิดไว้แล้วว่าถ้าจบเทอมนี้ดิฉันอยากดรอป ดิฉันคิดว่าตั้งแต่แรกดิฉันยังไม่พร้อมเรียน ดิฉันอยากหยุดและไปวางพื้นให้แน่น อยากเริ่มเรียนใหม่เวลาเข้าเรียนก็อยากเรียนให้ทันเพื่อนในคาบเรียน พอสอบก็อยากทำได้  ดิฉันจึงคิดว่าจะดรอปปีนี้ไม่ลงเรียน และรอลงเรียนปีหน้าที่เดิม คือเรียนต่อปี 2 หรือเริ่มเรียนปี 1 ใหม่ค่ะ ตอนนั้นดิฉันยังไม่แน่ใจ แต่ที่คิดไว้แน่ๆ คือดิฉันอยากดรอปก่อน อยากมาวางพื้นใหม่ ให่แน่นๆ และมาคิดใหม่ว่าตัวเองอยากเรียนอะไรกันแน่ เลือกเรียนเอง ถึงจะชอบภาษาอังกฤษ หรืออาจจะรอไปสอบสวนดุสิตใหม่อีกครั้งสอบให้ติดค่ะ

พอกลับบ้านสักพักดิฉันก็คุยกับแม่เรื่องนี้ แม่ดิฉันก็จะคอยพูดตลอดประมาณว่าไม่อยากให้ดรอป อดทนเรียนต่อหน่อย ไม่อยากให้เสียเวลาไปเปล่าๆ ไม่งั้นก็ให้ย้ายคณะแทน และพอดิฉันไปคุยกับพี่สาว พี่สาวก็จะบอกว่าไม่รู้ แล้วแต่ตัวดิฉันเอง ให้เลือกเอง แม่ดิฉันเวลามีเรื่องอะไรก็จะไปคุยกับพี่สาวตลอด และเช่นกันเรื่องดิฉันแม่ก็ไปคุย แม่ไปคุยกับพี่สาวดิฉัน อารมณ์เหมือนคุยกับดิฉัน ไม่อย่กให้ดรอป อยากให้อดทนเรียน อยากให้สู้ ถ้าแค่นี้ก็ท้อก็เหนื่อยอนาคตจะไปทำไรได้ประมาณนี้ค่ะ จนสุดท้าย "ดิฉันก็ลงเรียน ปี 2 ต่อค่ะ"
เพราะแม่ไม่อยากให้ดรอป อยากให้เรียนต่อ และถ้าย้ายดิฉันก็ไม่รู้อยากจะย้ายไปคณะไหนสาขาอะไรอีก ดิฉันจบปี 1 ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.33 นะคะ และดิฉันดรอป 2 ตัว ที่ดิฉันดรอป 2 ตัวนี้ก็เพราะว่ารู้แน่ๆ ตัวเองต้องติด F ไม่งั้นก็ได้ D ค่ะ คือดิฉันไม่อยากได้ D แล้วมันฉุดเกรดมาก

พอเข้าปี 2 เริ่มเรียน ดิฉันเรียนไปสักพักดิฉันเริ่มรู้สึก เหมือนเดิม คือเหนื่อนและท้อเพราะมันยาก แต่ตอนนี้เลเวลความยาก มันมากขี้นกว่าเดิมอีกเยอะ จากตอนแรกเลเวลนั้นดิฉันก็เรียนไม่ค่อยเข้าใจ ทำข้อสอบไม่ค่อยได้ ปวดหัวและเครียดกับการเรียนมาก พอดิฉันเรียนมาเรื่อยๆ จนประมาณอีก 2 เดือนกว่าๆ หรือ 3 เดือนนี่แหละคะดิฉันไม่แน่ใจ เพื่อนของดิฉัน ก็มาพูดคุยกันว่าอยากย้ายคณะ ดิฉันก็เคยบอกเพื่อนๆ ก่อนหน้านี้ว่าอยากดรอปอยากหยุดเรียน เพราะรู้ว่าตัวเองไม่พร้อมอยากเริ่มเรียนใหม่ และรู้ว่าถ้าเรียนต่อไปเรื่อยๆ เกรดก็จะไม่ดี พอจบมา GPA น้อย ก็จะสมัครงานหางานทำยาก
เพื่อนในกลุ่มของดิฉันคิดว่าจะย้ายคณะกัน จะย้ายไปเรียนนิเทศ เพราะรู้ตัวเองกันว่าคณะนี้เรียนไม่ไหว ไม่เหมาะสำหรับพวกเขา ตอนแรกดิฉันก็คิดว่าจะย้ายไปเรียนนอเทศ กับเพื่อนดีมั้ย แต่ดิฉันรู้สึกว่าไม่อยากย้าย คือดิฉันอยากดรอปค่ะ จริงๆ ดิฉันรู้สึกมาตลอดตั้งแต่ตอนจบปี 1 ดิฉันอยากดรอปมาวางพื้นใหม่ มาปรับตัวใหม่หมด
...หลังจากที่ดิฉันได้คุยกับเพื่อนๆ สรุปคือเริ่มเทอม 2 เพื่อนๆ ของดิฉันจะย้ายไปเรียนนิเทศกัน หลังจากวันนั้นสักพักดิฉันก็เริ่มคุยกับแม่ บอกให้แม่ฟังว่าเพื่อนจะย้ายไปเรียนนิเทศ แม่ก็บอกให้ดิฉันย้ายคณะมั้ย แม่ถามว่าอยากเรียนนิเทศหรือเปล่า ถ้าอยากเรียนก็ย้ายไปกับเพื่อน ไม่งั้นก็ย้ายไปเรียนบริหารเหมือนพี่สาวมั้ย แต่ดิฉันก็บอกแม่ไปว่า "นู๋ไม่อยากย้ายอยากดรอป" อยากวางพื้นใหม่ อยากใช้เวลาคิดว่าอยากเรียนอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่ว่ารู้ตัวเองชอบแค่ภาษาอังกฤษแต่เรียนไม่ไหว ดิฉันก็ได้คุยกับพี่สาวเช่นกัน พี่สาวดิฉันก็ตอบเหมือนเดิมว่า ไม่รู้ แล้วแต่อยากดรอปก็ดรอปแล้วอยากเรียนอะไร เขาก็ถามบลาๆ

แต่พอดิฉันกลับมาบ้านเหมือนเคยๆ เวลาคุยกับแม่แม่ก็จะพูดประมาณว่าอดทนหน่อยลูก ไม่อยากให้ดรอป งั้นก็ย้ายคณะ ไม่ต้องดรอปหรอกมันเสียเวลา เสียดายเวลาที่เรียนไป บลาๆ จนสุดท้าย ก่อนสอบปิดเทอม ประมาณ 3 สัปดาห์ ดิฉันตัดสินใจไม่ไปเรียนต่อ และไม่ไปสอบให้จบเทอม ดิฉันบอกแม่ นู๋ตัดสินใจแล้ว ขอดรอป 1 ปีรอเรียนปีหน้านู๋ขอวางพื้น นู๋เรียนไม่ไหวไม่อยากเรียน นู๋เหนื่อย ปวดหัว เครียดที่เรียนไม่เข้าใจ ไม่ทันเพื่อน นู๋ไม่อยากย้ายเพราะไม่รู้จะย้ายไปคณะไหน ไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร นู๋ไม่อยากเริ่มใหม่บ่อยๆ บลาๆ ตอนดิฉันพูดก็ร้องไห้ไปพูดไป เพราะเครียดเบื่อที่แม่ต้องคอยมาพูดเหมือนอยากให้เรียนต่อ ไม่อยากให้ดรอป ตัวดิฉันก็เข้าใจแม่นะคะ ว่าทำไมถึงไม่อยากให้ดรอป แต่ดิฉันเองก็อยากให้แม่เชื่อในการตัดสินใจของตัวดิฉันหน่อย ให้ดิฉันได้เลือกด้วยตัวเอง

สุดท้ายแล้วดิฉันก็ได้ดรอป เรียนค่ะ...
ดิฉันคิดว่าจะรอเรียนใหม่ปีหน้า ดิฉันหยุดเรียนประมาณเดือนพฤศจิกายน หรือเดือนธันวาคมไหนนี่แหละค่ะ ไม่มั่นใจนะคะ มีลืมบ้างขอภัยด้วยค่ะ

ตอนที่เด็กม.6 ปิดเทอมเพื่อนรอเข้ามหาลัยใหม่ดิฉันก็ได้ขอแม่เรียนเสริมเพื่อวางพื้นใหม่ แม่ดิฉันไม่ยอมให้เรียน แม่บอกว่าให้ขนขวายเองบ้าง หาดูทางในเน็ตทำความเข้าใจเอง คือดิฉันเป็นคนที่ถ้าขนขวาบเองบางครั้งก็ไม่เข้าใจ ดิฉันเป็นคนคิดช้าระดับนึงค่ะ ก็เลยไม่ค่อยทันทำความเข้าใจช้า ไม่รู้ว่าตัวเองหัวช้านิดหน่อยด้วยหรือเปล่าค่ะ แม่ดิฉันก็บอกอย่ามัวแต่พึ่งคนอื่น และบอกประมาณว่าเรียนไปทำไมเดี๋ยวก็ลืม เพราะยังไม่ได้ใช้เรียน เรียนตั้งปีหน้า ดิฉันก็อธิบายให้แม่ฟังว่าทำไมดิฉันถึงจะเรียนเพื่อวางพื้นใหม่ และมันเป็นยังไง แต่สรุปแล้วคือแม่ไม่ยอมให้เรียนค่ะ... ดิฉันก็โอเค ไม่เป็นไร ค่อยคุยใหม่ขอใหม่ทำความเข้าใจใหม่

พอใกล้จะเปิดเทอมใหม่ของปี 1 เมื่อต้นเดือนสิงหาที่ผ่านมานี้เองค่ะ คือดิฉันไม่ได้ลงเรียนนะคะเทอมนี้ เพราะดิฉันอยากเรียนปีหน้า ปี 2559 แม่ก็ถามทำไมไม่ลงเรียนปีนี้ ดิฉันบอกว่ายังไม่พร้อมดิฉันยังไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไรเลย คือดิฉันพึ่งหยุดเรียนมาเอง และยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร และยังได้ลงเรียนเสริมเพื่อวางพื้นใหม่เลย เมื่อต้นเดือน ดิฉันก็ได้ขอแม่เรียนใหม่ และแม่ก็ตอบแบบเดิมๆ และเพิ่มเติมมาก็คือช่วงนี้ใช้เงินเยอะ ส่งพี่สาวคนโตเรียนหนัก (พี่สาวคนโตเป็นคนเกเร ตอนนี้ยังเรียนไม่จบค่ะ แต่พี่สาวคนกลางเรียนจบแล้ว ดิฉันมีพี่สาว 2 คนนะคะ) ไหนจะค่านั่นค่านี่ ช่วงนี้ค่าอะไรนักหนาก็ไม่รู้ อย่าพึ่งเรียนเลย ไม่มีเงินให้ แม่ช่วงนี้ใช้เงินเยอะ พอดิฉันฟังดิฉันก็คิดว่าไม่เป็นไร เข้าใจ เพราะรู้ว่าพี่สาวคนโตใช้เงินเก่ง และรู้ว่าเดือนนึงแม่ เพราะครอบครัวดิฉันไม่มีพ่อค่ะ พ่อเสียตั้งแต่ดิฉันยังเด็ก มีแค่ แม่และดิฉันกับพี่ รวมกันทั้งหมด 4 คน

พักหลังๆ แม่ก็เริ่มมาพูดกับดิฉันว่าจะอยู่บ้านเฉยๆ หรอ ไม่คิดจะทำอะไร เช่นทำงานจะได้ฝึกไว้ หาเงินไว้ใช้ดีกว่ามาอยู่เฉยๆ ดิฉันก็เลยตอบแม่ว่า นู๋ไม่ได้อยากอยู่บ้านเฉยๆ นู๋ขอแม่เรียนเสริมวางพื้นใหม่ แม่ก็ไม่ให้นู๋เรียน พอนู๋ไปข้างนอกไปหาเพื่อนก็ว่าอีก
หลังจากนั้นนานๆ เข้าแม่ก็พูดว่าไปสมัครงานทำมั้ย มีคนรู้จักเป็นหัวหน้าดูแลโลตัส ที่นี่ๆ ไปสมัคทำงานโลตัส เช็คสต็อกของอะไรพวกนี้ ดีกว่า ดีกว่ามาอยู่เฉยๆ และแม่ก็จะพูดเรื่องๆ ชีวิตไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือไง งานก็ไม่ทำอยู่แต่บ้าน ดิฉันก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวไปสมัครงานร้านกาแฟ อยากทำร้านกาแฟ แม่ดิฉันก็บอกว่า จะไปทำทำไมไปทำแบบนี้ดีกว่า พวกเช็คสต็อกของเนี่ยมีคนรู้จักอยู่โลตัส บอกให้ไปสมัครก็ไม่ไป ดิฉันก็เลยบอกว่าดิฉันไม่อยากทำ ใจจริงดิฉันอยากเรียนเสริม ทำไมไม่ให้เรียน แต่พี่สาวคนโตขอเรียนเสริมวิชานี้ๆ แม่ให้เรียน นู๋รู้แต่ไม่พูดนะ ไม่อยากอะไร (คือความจริงดิฉันน้อยใจแม่มากค่ะ ทำไมดิฉันขอเรียนแม่ไม่ให้เรียนแต่พอพี่สาวคนโตขอแมาดิฉันให้ พอวันต่อมาก็ไปโอนเงินให้พี่สาวคนโตไปจ่ายค่าเรียนเลย) และแม่ก็ตอบดิฉัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
และแม่ก็ตอบดิฉัน เหมือนเดิมๆ ว่า เดี๋ยวก็ลืม พี่คนโตเขาเรียนไปด้วยก็เลยต้องให้เรียนเสริม มันเรียนยากบางทีมันเรียนไม่ทัน (พี่คนโตเรียนวิศวะไฟฟ้าค่ะ) ตอนที่ดิฉันพูดกับแม่ดิฉันก็ร้องไห้ด้วยความน้อยใจด้วยค่ะ ดิฉันก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวไปอยู่กับพี่สาวคนกลางไปอยู่กรุงเทพ ไปหางานร้านกาแฟในห้างเอา ไม่งั้นก็งานอื่น ไม่อยากทำงานทีนี่แม่เข้าใจมั้ย

"คือบอกก่อนนะคะตัวดิฉันเองพูดตรงๆ ดิฉันรู้จักคนเยอะระดับนึงเพราะจังหวัดที่ดิฉันอยู่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็เจริญค่ะ ดิฉันไม่อยากทำงานที่จังหวัดตัวเองเพราะ ไม่อยากเจอคนรู้จัก ไม่อยากตอบคำถามใคร ดิฉันเบื่อจะตอบ และดิฉันก็ไม่อยากโดนนินทา เพราะดิฉันเคยเห็นเพื่อนของเพื่อนทำงานในห้าง ดิฉันไปกับเพื่อนคนนี้ พอไผเจอเขา เพื่อนดิฉันก็ถามว่าไม่เรียนหรอ คนนี้ก็ตอบว่าดร็อป พอเดินผ่านเพื่อนดิฉันก็พูดเหมือนประมาณเลิกเรียนหรือเปล่า ท้องหรือเปล่า งั้นงี้ ดิฉัน อาย ค่ะ บอกตรงๆ อีกครั้ง เพราะดิฉันไปเรียนในกรุงเทพ มหาลัยที่ดีเอกชน และแม่ของดิฉันเองก็ทำงานมีหน้ามีตา และดิฉันไปทำงานหนักแบบนั้น และเจอคนรู้จักดิฉันไม่อยากโดนนินทาค่ะ" ขอบอกก่อนนะคะว่าไม่ได้ดูถูกคนที่ทำงานแบบนี้ค่ะ!!!
แม่ดิฉันก็บอกว่าถ้าไปอยู่กรุงเทพ ใครจะดูหมา ไม่มีใครให้อาหารมันอีก คือบ้านดิฉันมีหมา 2 ตัวค่ะ ก่อนหน้านี้แม่เป็นคนดูแลและแม่ก็อยู่บ้านคนเดียว ในช่วงที่ดิฉันดรอปหยุดเรียนก็อยู่กับแม่ปกติค่ะ พอช่วงปลายเดือนมกราคม มีจดหมายย้ายตัวแม่ดิฉันให้ไปทำงานอีกจังหวัดนึง จึงทำให้ดิฉันต้องอยู่บ้านคนเดียว และมีหน้าที่ดูแลหมา บางครั้งดิฉันจะไปไหนค้างคืน หรือไปเที่ยวก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่มีใครดูแลหมา ให้อาหารมัน สรุปดิฉันก็ไม่ได้ไป นานๆ เข้าดิฉันคิดว่าชีวิตดิฉันคือมีหมา มาขัดตลอด จะทำอะไรก็ไม่ได้ไปไหนไม่ได้ ดิฉันเบื่อมากค่ะ พอได้ยินแม่พูดแบบนั้นดิฉันรู้สึกแย่มาก ดิฉันบอกแม่ว่าเอาไปให้ยายเลี้ยงได้ไหม นู๋จะได้ทำอย่างอื่นบ้าง แม่ก็บอกไม่อยากให้ไปเป็นภาระของเขาคอยให้อาหาร คอยดูแล ดิฉันก็เลยบอกว่า "นู๋เบื่อ!!! จะทำอะไรก็ไม่ได้ ชีวิตมาติดอยู่กับหมา ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ ดิฉันพูดไปก็น้ำตาไหลไปค่ะ ทั้งเบื่อ ทั้งน้อยใจตัวเอง" แม่ก็บอกว่ารอซื้อบ้านใหม่ก่อน (คือแม่จะซื้อบ้านอยู่ในจังหวัดที่โดนย้ายค่ะ ตอนนี้แม่อยู่บ้านพักที่ทางที่ทำงานจัดให้นะคะ สำหรับคนโดนย้ายมาจากต่างจังหวัด) เดี๋ยวจะเอาหมามาอยู่ด้วย แล้วอยากไปไหนก็ไป อยากทำไรก็ทำ ดิฉันก็น้ำตาไหลค่ะตอนนั้น ทั้งโมโห ทั้งเบื่อ หลายอารมณ์มากๆ

พอผ่านไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ แม่ดิฉันก็มาพูดอีก ไปหางานทำไป ดีกว่ามาอยู่บ้านเฉยๆ ดิฉันก็บอกแม่ว่าสรุปจะไม่ให้ไปลงเรียนเสริมวางพื้นใช่มั้ย เพราะรอมานานแล้วพูดมาหลายครั้ง พูดจนเบื่อ แม่ก็บอกว่าอย่าเรียนเลยลูกเดี๋ยวก็ลืมบลาๆ
ดิฉันก็เลยบอกแม่ว่า งั้นเดี๋ยวไปอยู่กรุงเทพกับพี่ หางานทำที่ห้างแถวบ้าน และพอดิฉันคุยกับแม่จบสรุปตกลงกันกับแม่เรียบร้อย ค่ะ แม่จะเอาหมา 1 ตัวไปฝากยาย และอีกตัวไปให้พี่สาวเลี้ยงค่ะ แต่... พอแม่โทรไปคุยกับพี่สาวคนกลาง พี่สาวดิฉันก็บอกว่าได้ไม่มีปัญหา และพี่สาวดิฉันก็ถามแม่ทำไมไม่ทำที่นั่นมาอยู่ที่นี่มันลำบากไหนจะเดินทางนั่นนี่ เสียค่ารถทำไม อยู่ที่นั่นขับรถไปเอง เดินทางก็สะดวก (สำหรับดิฉันเรื่องการเดินทางในกรุงเทพ ชินแล้วค่ะเพราะก็เคยอยู่ รู้ค่ะถ้ายู่ไกลๆ ก็ต้องตื่นเช้า) และแม่ดิฉันก็บอกให้พี่สาวฟังว่าทำไมดิฉันไม่อยากทำงานที่นี่ บลาๆๆ พี่สาวดิฉันก็บอกแม่ว่า เนี่ยไปทำงานในห้างนี่สิ่ ไปทำพวกโซนขายเสื้อผ้า ห้างนี้หน้าทำคนเยอะ และแม่ก็มาถามดิฉันว่าไปทำห้างนี้มั้ย พี่สาวถาม ดิฉันก็บอกว่านู๋ไม่อยากทำงานที่นี่ก็บอกแล้วเข้าใจมั้ย นู๋ไม่อยากเจอคนรู้จัก ไม่อยากตอบคำถามใคร เข้าใจนู๋บ้าง และพี่สาวดิฉันก็ให้แม่เปิดโฟน พี่สาวดิฉันพูดว่า "หัดยอมรับความจริงบ้าง ไม่มีใครหนีความจริงพ้นอยู่แล้ว" ก็ต้องยอมรับตัวเองเลือกที่จะไม่เรียน จะมาอยู่ที่นี่ทำไมวุ่นวาย ที่นั่นก็มี ขนาดจะทำงานยังต้องเลือกงาน ดิฉันก็บอกพี่สาวไปว่า นู๋ไม่ได้หนีความจริง แต่นู๋ไม่ชอบ นู๋ก็บอกแม่แล้วว่าจะลองไปสมัคแถวนี้ พวกร้านกาแฟ ถ้ามันไม่มีที่ไหนรับพนักงานก็จะไปทำที่นั่น คือดิฉันสังเกตุตอนแรกแล้วที่แม่คุยกับพี่สาวเรื่องดิฉันจะไปอยู่กรุงเทพ แมดิฉันไม่ได้บอกพี่สาวว่าฉันจะหางานร้านกาแฟที่นี่ก่อน ถ้าไม่เจอค่อยไปทำ ดิฉันก็เลยบอกแม่ว่า แม่พูดอะไรพูดให้หมดบ้าง และแม่ดิฉันก็บอกกับพี่สาวว่าเออมันจะไปหางานที่นี่ก่อนถ้าไม่ได้ค่อยไป และพี่สาวดิฉันก็พูดว่าตอนกูให้มาอยู่ที่นี่ไม่มา พอทีนี้อยากจะมา ดิฉันก็เลยถามว่า ตอนไหน ก็ทะเลาะกันดิฉันก็เริ่มน้ำตาไหล และพอทะเลาะกันไป พี่สาวดิฉันได้พูดออกมาว่า "น้ำหน้าอย่างจะทำได้หรอ" ขนาดงานยังเลือก แถมจะไปไหนมาไหนก็เดินทางไม่ใช่สะดวก หลังจากที่ดิฉันได้ยินคำว่า น้ำหน้า.... ดิฉันเสียใจมาก ดิฉันเลยพูดว่า "เออน้ำหน้าอย่างกูนี่แหละจะทำงานให้มีงกู" พี่สาวดิฉันก็บอกว่า เออกูจะคอยด


สำหรับตัวดิฉันรู้สึกเสียใจที่ได้ยินคำพูดนี้ และก่อนหน้านี้ดิฉันก็เสียใจเรื่องแม่ ที่ทำไมไม่ให้ดิฉันเรียนเสริมวางพื้น แต่ทำไมทีพี่สาวคนโตของเรียนแม่ดิฉันให้เรียน

และก่อนหน้าเรื่องพวกนี้ดิฉันก็รู้สึกแย่ คือแม่ดิฉัน จะให้เงินใช้รายสัปดาห์ ดิฉันไม่ได้เรียนและอยู่แต่บ้าน แม่ให้ใช้สัปดาห์ล่ะ 1,500 จากแต่ก่อนตอนเรียนจะได้มากกว่านี้นะคะ แต่ตอนนี้คือไม่ได้เรียนดิฉันก็เข้าใจถ้าให้เงินน้อย
ซึ่งดิฉันได้เงินมา ดิฉันก็เก็บไว้ซื้อครีมบำรุงผิวต่างๆ ทั้งหน้าทั้งตัว ซื้ออาหารเสริม เสื้อผ้า บลาๆ เพราะของพวกนี้ดิฉันไม่เคยขอเงินแม่ซื้อเลย จะซื้อด้วยเงินตัวเองตลอด มีบางเดือนถ้าดิฉันไม่มีเงินถ้าครีมหมด ก็จะขอเงินแม่ซื้อค่ะ หลังจากดิฉันดรอปหยุดเรียนมาอยู่บ้าน + กับเสียใจเรื่องความรัก ดิฉันก็ปล่อยตัวจากผอมๆ หน้าใสผิวพรรณหมั่นบำรุง ก็ปล่อยตัวจนสภาพตอนนี้โทรมมากๆ ค่ะ เพราะไม่ได้ไปไหนดิฉันก็ไม่รู้จะแต่งตัว จะบำรุงอะไรเยอะแยะ พอนานๆ เข้าเวลาแม่กลับบ้านก่อนแม่จะไปทำงานดิฉันก็จะบอกแม่ว่าอย่าลืมทิ้งเงินให้นู๋ด้วยนะ แม่ดิฉันก็พูดว่าจะใช้อะไรเยอะแยะทุกอาทิตย์ ซึ่งดิฉันได้เท่านี้ไม่เคยขอเพิ่มเลย และแม่ดิฉันก็บอกว่าไม่เรียนอยู่บ้านเฉยๆ ยังจะใช้เงิน สักพักแม่เริ่มพูดแบบนี้บ่อยๆ คือดิฉันรู้สึกแย่เสียใจค่ะ ทำไมหรอคะคนไม่เรียนนี่ห้ามใช้เงินหรอ และดิฉันก็ไม่ได้ใช้เยอะเพราะไม่เคยขอเพิ่ม และเสียใจตรงที่แม่พูดว่า "ไม่เรียน ยังจะใช้เงิน" ไม่ใช่ดิฉันไม่เรียน ดิฉันรอเวลาจะเรียนใหม่ เริ่มต้นใหม่ อยากให้ดีกว่าเดิม และดิฉันขอแม่เรียนเสริมวางพื้นก็ไม่ให้เรียน ดิฉันถึงต้องอยู่บ้านเฉยๆ พอจะไปไหนก็ไปไม่ได้ติดที่ต้องดูแลหมา ไม่มีคนให้อาหารหมา พอจะทำงานก็ทำไม่ได้อยากไปทำที่กรุงเทพ พี่สาวก็ใช้คำพูดที่ดูถูก ดูแคลงดิฉัน  มันเจ็บใจมากค่ะ เสียใจที่สุดค่ะที่คนในครอบครัวไม่เข้าใจและใช้คำพูดแบบนี้

ดิฉันก็ถามเพื่อนที่สนิทมากๆ เหมือนกันค่ะ ดิฉันก็มักที่จะเล่าจะระบายให้เขาฟัง เพราะดิฉันเสียใจมากที่สุด เพราะเป็นคนในครอบครัว

ตอนนี้ดิฉันรู้สึกแย่มากๆ รู้สึกเหมือนอยากอยู่คนเดียว ตอนที่ดิฉันพิมพ์เล่ามาทั้งหมดน้ำตาก็ไหลค่ะ เจ็บใจเสียใจ อยากให้แม่และพี่สาวเข้าใจดิฉันบ้าง คำพูดของคนนอกไม่ค่อยเจ็บ เท่าคำพูดของคนในครอบจริงมั้ยคะ

.....และตอนนี้ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองใช้ชีวิตว่างเปล่ามากค่ะ ดิฉันไม่รู้ว่าความฝันของตัวเองคืออะไร ดิฉันเคยถามพี่ที่สนิท ถามเขาว่าความฝันเขาคืออะไร เขาตอบดิฉันว่าอยากไปเรียนเมืองนอก ดิฉันก็คิดว่าความฝันของดิฉันอาจจะคืออยากไปเรียนต่อเมืองนอกก็ได้ เพราะดิฉันก็คิดมาตลอดตั้งแต่ม.4 ถ้าจบปริญญาตรีแล้วอยากไปเรียนต่อเมืองนอก และอีกอย่าง ถ้าดิฉันเรียนปีหน้า แม่ไม่ให้ดิฉันลงเรียนมหาลัยเอกชนอีกค่ะ แม่บอกดิฉันว่าให้เรียนแล้วแต่ไม่ตั้งใจ ไม่มีเงินส่งแล้ว ดิฉันก็เข้าใจค่ะ เพราะดิฉันก็คิดว่าจะสอบเข้ารัฐให้ได้ เพราะดิฉันเลือดจะดรอปแล้ว


...ถ้ามีใครอ่านจบ ขอบคุณนะคะ ที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ และสุดท้ายดิฉันอยากจะถามคนที่อ่านค่ะ มีใครมีชีวิตเหมือนดิฉันบ้างมั้ยค่ะ หรือมีใครมีความรู้สึกเหมือนดิฉันบ้างหรือเปล่า ขอบคุณค่ะ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่