มีเพื่อนไปทำงานอยู่ญี่ปุ่น เลยถือโอกาสไปเที่ยวซะเลย ระหว่างวันที่ 3-16 พ.ค 58 ที่ผ่านมาค่ะ
(พึ่งจะได้รีวิวไม่มีเวลา 555)
เริ่มต้นออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง เช้าวันที่ 3 พ.ค 58 โดยสายการบิน Airasia X เวลา 10.40-19.00 น. พร้อมกระเป๋าลาก 1 ใบ และของไปฝากเพื่อนสักหน่อย บ่นอยากกินขนมเลย์ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ทุเรียนอบกรอบ อยากกินไปซะทุกอย่าง555
พอเช็คอินเสร็จ ก็ผ่านด่าน ตม. เข้ามาข้างในจะเจอ Duty Free แค่เดินผ่านค่ะ ไม่กล้าเข้าไปของน่าจะแพง
แล้วก็เดินไปที่ Gates 15 จะเป็นทางขึ้นเครื่องของ Airasia X เดินมาก็งงๆ นะค่ะ ไม่เคยไปต่างประเทศ
ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วค่ะ ออกเดินทางไปญี่ปุ่น Go. Japan Only
ถึงแล้วสนามบินนาริตะ เป็นสนามบินที่ใหญ่ในญี่ปุ่น คล้ายกับสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเราค่ะ แล้วก็เดินต่อไปเพื่อไปผ่านด่าน ตม. และด่านศุลกากรของญี่ปุ่น รู้สึกจะเคร่งครัดนะค่ะ เพราะเราเป็น ผญ. เดินทางมาคนเดียว เลยสอบถามหนักหน่อย ภาษาก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
พอผ่านด่าน ตม. และด่านศุลกากรออกมาแล้ว จะเจอผู้คนที่มาคอยรับญาติๆ (เพื่อนเราอยู่ไหนนนน)
เดินไปทั่วสนามบินเพื่อหาเพื่อน หาจุดนัดกันไม่เจอเราบ้านนอกอ่ะค่ะ ไม่เคยมา555 สุดท้ายได้เจอกันที่ป้ายรถเมย์หน้าสนามบิน
หลังจากนั้นเพื่อนก็พาไปขึ้นรถไฟ JR กลับที่พัก ซึ่งพักอยู่แถว Kawasaki ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก รถไฟบ้านเขากับบ้านเราแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตรงเวลา รวดเร็วทันใจจิงๆ
พอถึงที่พักก็ดึกมาก นอนสายยยยย
ตื่นเช้ามาเพื่อนพาขับรถออกไปเที่ยว Nagano ซึ่งอยู่ไกลมากกก
ระหว่างทางก็จะมีอุโมงค์ลอด ตัดถนนผ่านภูเขา เอ๊ะ!!! มันก็สวยดี บ้านเขานี่เจริญจิงๆ ทำได้ทุกอย่าง
ผ่านไป 3 ชม. ก็ยังไม่ถึง แวะพักรถสักหน่อย เฮ้อ... เพลียยย ชมวิวเมืองโตเกียวไปก่อนละกัน
ใกล้จะถึงจุดหมายละ ท้องมันร้องต้องเติมพลังก่อน จำชื่อไม่ได้ชี้สั่งอย่างเดียวค่ะ น่ากินดี!!!
และก็ถึงที่หมายจุดแรก แช่ออนเซ็นเท้า ร้อนมากกก 42 องศา แช่ได้แปปเดียวเท้านี่แดงไปหมด ที่ทะเลสาบ Suwa (เข้าฟรีค่ะ)
ที่นี่ยังพอมีดอกซากุระให้เห็นอยู่น๊าาา
ทะเลสาบ Suwa
ออกเดินทางต่อไปยังวัด Matsumoto ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบ Suwa
ภายในวัดยังมีต้นเมเปิ้ลให้เห็น แต่ยังเขียวอยู่ เพราะยังไม่ถึงช่วงฤดูที่ใบเมเปิ้ลจะเปลี่ยนสี
วันนี้มาถึงก็ดึกแล้ว เราจะนอนพักที่โรงแรมใน Nagano ก่อน ราคาประมาณ 12000 เยน พัก 2 คน (จำชื่อโรงแรมไม่ได้ค่ะ)
เช็คอินเข้าที่พัก เดินออกจากโรงแรมมาหาอะไรกินกันหน่อย มาถึงแดนปลาดิบ ก็ต้องลองชิมกันหน่อย อร่อยยย หวานๆ นุ่มลิ้น
เช้าวันต่อมา ออกเดินทางต่อไปยัง Tateyama , Nakaniikawa-Gun ซึ่งเป็นจุดหมายที่เราจะมากันค่ะ ว๊าว...นี่คืออะไร!!!
แค่ลานจอดรถยังมีน้ำแข็งที่ยังไม่ละลาย ณ เวลาประมาณเกือบๆ 10 โมงเช้าได้
ที่ขายบัตร ก่อนขึ้นรถรางไฟฟ้าไปบนยอดเขาค่ะ
ได้บัตรมาแล้ว ราคา 2570 เยน แค่ด่านแรกนะค่ะ ยังต้องซื้อบัตรขึ้นด่านต่อไปอีก เงิบ!!! แต่มาครั้งหนึ่งก็ต้องขึ้นไปแหละว่ะ
ถึงแล้ว!!! วิวสวยมากกก คนเยอะๆ
บันไดทางเดินขึ้นมา ก็รู้สึกเสี่ยวๆ ดี
เห็นเขาทำ ก็เลยอยากลองบ้าง!!! ตักน้ำขึ้นมาแล้วเทลงบนมือ เอาปากแตะๆ กับน้ำที่มือเรา เพื่อจะได้เป็นสิริมงคลกับชีวิต
Kurobedam Resthouse สูง 1508 เมตร โอ๊...สูงมากกก
ซื้อบัตรอีกรอบ ด่านที่ 2 ราคา 3240 เยน (แพงดีเนาะ) หมดตูด555 กว่าจะถึงยอดเขา
นั่งกระเช้าขึ้นมาได้สักพัก ก็มาถึง
ทางที่ขึ้นมาค่ะ
ทางเดินขึ้นมา หู๊ยยยสวยมาก
ฟินนนนนกันหน่อย555
หนาววววจนปากและมือสั่น ซะใจดี!!!
ใครมาปั้นตุ๊กตาหิมะไว้นิ แอบถ่ายซะเลย น่ารักๆ ดี
บนยอดเขายังมีของฝาก หรืออาหารขายอยู่นะ ขนขึ้นมากันยังไงงง
ไอติมๆ คลายหนาวค่ะ 555 ปากชา!!!
มาถึงญี่ปุ่นยังได้เห็นภาษาไทยอยู่นะ
ขอแชะภาพก่อนกลับสักหน่อย บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยภูเขาน้ำแข็ง วิวสวยๆ
กลับลงมาถึงพื้นข้างล่าง ไม่ต้องถามถึงสภาพร่างกาย ทุรักทุเรลงมาพร้อมกับไข้รับประทาน
ออกเดินทางกลับกรุงโตเกียว เพลียยยยยยย
ถึงห้องก็หิว ทำราดหน้ากิน แล้วก็นอนนนนนยาวไปๆ
นอนพักร่างกายอยู่หลายวัน พอเริ่มจะไหวก็หาที่เที่ยวอีก555 ออกเดินทางจากสถานีรถไฟ Kawasaki station
เพื่อไปยังย่านช็อปปิ้ง Ginza ของกรุงโตเกียว ที่ๆ ทุกคนจะชอบมาเที่ยว ช็อปกันมาก
ถึงแล้วแหล่งช็อป ตื่นตาตื่นใจเลย คนญี่ปุ่นนี่ก็แปลกเนาะ เดินเร๊วเร็ว หรือว่าเราจะแปลก555
ช็อปเสร็จก็เดินออกไปทำบุญที่วัด Meiji Jingu แถวๆ Shibuya ประตูทางเข้าวัดค่ะ
มีสวนให้นั่งเล่นร่มรื่นมากค่ะ เขามาพักผ่อนกันเป็นครอบครัว เอาสื่อมาปูนอนเล่น ชมบรรยากาศสวยๆ ภายในวัดกันเลยทีเดียว
คล้ายๆ กับหลายที่ วัฒธรรมเขาทำแบบนี้กันหรือป่าว เราก็งงๆ
ภายในวัดค่ะ
ประตูทางออกของวัดจะมีถึงหมักเหล้า เรียงอยู่เยอะเลย ถังเปล่าค่ะ
นั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พักค่ะ เร็วมากกก
เย็นนี้ก็มาลองกินราเมน ขึ้นชื่อของญี่ปุ่น จะอร่อยเหมือนมาม่าซองละ 6 บาท บ้านเราไหมน๊าาา
ภายในร้านราเมน
800 เยน ค่ะ อุ๊บ!!! แพงจุงเบย ก็อร่อยดีนะ
วันต่อมาเพื่อนบอกว่า เรายังไม่ได้ไปวัดดังๆ ในโตเกียวหมดนะ จัดต่อเลยจร้า
วัดเซ็นโซจิ Asakusa เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่น ไม่มาไม่ได้ละ
สัญลักษณ์ของวัดนี้เป็นที่น่าสังเกตคือ โคมแดงใหญ่มาก
ภายในวัดยังมีที่ขายของฝาก เต็มสองข้างทางที่เราจะเดินเข้าไปในวัดเลยค่ะ คนเยอะมาก
ระหว่างทางเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ ได้เจองานขบวนแห่งของคนญี่ปุ่น ไม่รู้ว่างานอะไร
กลับมาถึงห้องนอนหลับป่านตาย พุ่งนี้ต้องเดินทางกลับประเทศไทยแล้วสินะ ฮือๆๆ ไม่อยากกลับบบบบ อยู่ต่อเลยได้ไหม!!!
ผ่านไปเร็วจังเนาะ 14 วัน ยังเที่ยวไม่หมดเลย Japan Only
รุ่งเช้าของวันที่ 16 พ.ค 58 เดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบิน Airasia X เวลา 09.15-13.50 น.
Go to Thailand. ฟริ้ววววววววววว
ที่นั่งรอภายในสนามบินนาริตะ
หน้าทางเดินเข้าไปผ่าน ตม. จะมีจอไฟร์บินของสายการบินต่างๆ ไว้ให้ดู
Duty Free ของสนามบินนาริตะ ขายของฝากของญี่ปุ่นเยอะมาก อยากได้ไปซะทุกอย่าง แต่ตังอยู่ไหนนน555
ระหว่างทางเดินไป Gates ของเรา Gates 88 ไกลจุง
นี่ไงๆ ลำนี่แหละที่จะพาเรากลับประเทศไทย น้องหางแดง
มีน้องฝนมาส่งเรากลับด้วย อ๊าก...หยุดตกๆ เถอะ กลัววว
ผ่านไป 6 ชม. 45 นาที เดินทางถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ขอบคุณน้องหางแดงที่พาเรามาถึงจุดหมาย ขอบคุณเพื่อนที่น่ารัก ที่พาเที่ยว กิน ช็อปกันอย่างเมามัน สนุกสุดเหวี่ยงกันไปเเลย เป็นครั้งแรกที่ออกไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว ไม่ได้ศึกษาข้อมูลก่อนไป ก็แอบกลัวๆ เหมือนกัน แถมภาษาก็มั่วๆ ปาๆ ก่อนจะตัดสินใจไปเที่ยวครั้งนี้ ก็อุ่นใจที่ยังมีเพื่อนที่คอยมารอรับเราที่สนามบิน ไปไปที่นั่นที่นี้ได้ สะดวกสบายมีที่พัก (ประหยัดตังได้เยอะเลย)
"ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ในครั้งนี้ ที่ทำให้ ผญ. ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่มีความฝันอยากไปญี่ปุ่น สุดท้ายฝันของฉันก็เป็นจริง"
**ประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมด 14 วัน ที่ใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่น ไม่รวมค่าที่พัก (อยู่กลับเพื่อนพักฟรี) แถมเพื่อนเลี้ยงอีก555
แลกเงินเยนไปจากไทยประมาณ 80000 เยน**
ครั้งแรกที่ออกเดินทางไป Japan คนเดียว 14 วัน หาประสบการณ์ใหม่ๆ ตื่นเต้นดี!!!
(พึ่งจะได้รีวิวไม่มีเวลา 555)
เริ่มต้นออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง เช้าวันที่ 3 พ.ค 58 โดยสายการบิน Airasia X เวลา 10.40-19.00 น. พร้อมกระเป๋าลาก 1 ใบ และของไปฝากเพื่อนสักหน่อย บ่นอยากกินขนมเลย์ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ทุเรียนอบกรอบ อยากกินไปซะทุกอย่าง555
พอเช็คอินเสร็จ ก็ผ่านด่าน ตม. เข้ามาข้างในจะเจอ Duty Free แค่เดินผ่านค่ะ ไม่กล้าเข้าไปของน่าจะแพง
แล้วก็เดินไปที่ Gates 15 จะเป็นทางขึ้นเครื่องของ Airasia X เดินมาก็งงๆ นะค่ะ ไม่เคยไปต่างประเทศ
ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วค่ะ ออกเดินทางไปญี่ปุ่น Go. Japan Only
ถึงแล้วสนามบินนาริตะ เป็นสนามบินที่ใหญ่ในญี่ปุ่น คล้ายกับสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเราค่ะ แล้วก็เดินต่อไปเพื่อไปผ่านด่าน ตม. และด่านศุลกากรของญี่ปุ่น รู้สึกจะเคร่งครัดนะค่ะ เพราะเราเป็น ผญ. เดินทางมาคนเดียว เลยสอบถามหนักหน่อย ภาษาก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
พอผ่านด่าน ตม. และด่านศุลกากรออกมาแล้ว จะเจอผู้คนที่มาคอยรับญาติๆ (เพื่อนเราอยู่ไหนนนน)
เดินไปทั่วสนามบินเพื่อหาเพื่อน หาจุดนัดกันไม่เจอเราบ้านนอกอ่ะค่ะ ไม่เคยมา555 สุดท้ายได้เจอกันที่ป้ายรถเมย์หน้าสนามบิน
หลังจากนั้นเพื่อนก็พาไปขึ้นรถไฟ JR กลับที่พัก ซึ่งพักอยู่แถว Kawasaki ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก รถไฟบ้านเขากับบ้านเราแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตรงเวลา รวดเร็วทันใจจิงๆ
พอถึงที่พักก็ดึกมาก นอนสายยยยย
ตื่นเช้ามาเพื่อนพาขับรถออกไปเที่ยว Nagano ซึ่งอยู่ไกลมากกก
ระหว่างทางก็จะมีอุโมงค์ลอด ตัดถนนผ่านภูเขา เอ๊ะ!!! มันก็สวยดี บ้านเขานี่เจริญจิงๆ ทำได้ทุกอย่าง
ผ่านไป 3 ชม. ก็ยังไม่ถึง แวะพักรถสักหน่อย เฮ้อ... เพลียยย ชมวิวเมืองโตเกียวไปก่อนละกัน
ใกล้จะถึงจุดหมายละ ท้องมันร้องต้องเติมพลังก่อน จำชื่อไม่ได้ชี้สั่งอย่างเดียวค่ะ น่ากินดี!!!
และก็ถึงที่หมายจุดแรก แช่ออนเซ็นเท้า ร้อนมากกก 42 องศา แช่ได้แปปเดียวเท้านี่แดงไปหมด ที่ทะเลสาบ Suwa (เข้าฟรีค่ะ)
ที่นี่ยังพอมีดอกซากุระให้เห็นอยู่น๊าาา
ทะเลสาบ Suwa
ออกเดินทางต่อไปยังวัด Matsumoto ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบ Suwa
ภายในวัดยังมีต้นเมเปิ้ลให้เห็น แต่ยังเขียวอยู่ เพราะยังไม่ถึงช่วงฤดูที่ใบเมเปิ้ลจะเปลี่ยนสี
วันนี้มาถึงก็ดึกแล้ว เราจะนอนพักที่โรงแรมใน Nagano ก่อน ราคาประมาณ 12000 เยน พัก 2 คน (จำชื่อโรงแรมไม่ได้ค่ะ)
เช็คอินเข้าที่พัก เดินออกจากโรงแรมมาหาอะไรกินกันหน่อย มาถึงแดนปลาดิบ ก็ต้องลองชิมกันหน่อย อร่อยยย หวานๆ นุ่มลิ้น
เช้าวันต่อมา ออกเดินทางต่อไปยัง Tateyama , Nakaniikawa-Gun ซึ่งเป็นจุดหมายที่เราจะมากันค่ะ ว๊าว...นี่คืออะไร!!!
แค่ลานจอดรถยังมีน้ำแข็งที่ยังไม่ละลาย ณ เวลาประมาณเกือบๆ 10 โมงเช้าได้
ที่ขายบัตร ก่อนขึ้นรถรางไฟฟ้าไปบนยอดเขาค่ะ
ได้บัตรมาแล้ว ราคา 2570 เยน แค่ด่านแรกนะค่ะ ยังต้องซื้อบัตรขึ้นด่านต่อไปอีก เงิบ!!! แต่มาครั้งหนึ่งก็ต้องขึ้นไปแหละว่ะ
ถึงแล้ว!!! วิวสวยมากกก คนเยอะๆ
บันไดทางเดินขึ้นมา ก็รู้สึกเสี่ยวๆ ดี
เห็นเขาทำ ก็เลยอยากลองบ้าง!!! ตักน้ำขึ้นมาแล้วเทลงบนมือ เอาปากแตะๆ กับน้ำที่มือเรา เพื่อจะได้เป็นสิริมงคลกับชีวิต
Kurobedam Resthouse สูง 1508 เมตร โอ๊...สูงมากกก
ซื้อบัตรอีกรอบ ด่านที่ 2 ราคา 3240 เยน (แพงดีเนาะ) หมดตูด555 กว่าจะถึงยอดเขา
นั่งกระเช้าขึ้นมาได้สักพัก ก็มาถึง
ทางที่ขึ้นมาค่ะ
ทางเดินขึ้นมา หู๊ยยยสวยมาก
ฟินนนนนกันหน่อย555
หนาววววจนปากและมือสั่น ซะใจดี!!!
ใครมาปั้นตุ๊กตาหิมะไว้นิ แอบถ่ายซะเลย น่ารักๆ ดี
บนยอดเขายังมีของฝาก หรืออาหารขายอยู่นะ ขนขึ้นมากันยังไงงง
ไอติมๆ คลายหนาวค่ะ 555 ปากชา!!!
มาถึงญี่ปุ่นยังได้เห็นภาษาไทยอยู่นะ
ขอแชะภาพก่อนกลับสักหน่อย บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยภูเขาน้ำแข็ง วิวสวยๆ
กลับลงมาถึงพื้นข้างล่าง ไม่ต้องถามถึงสภาพร่างกาย ทุรักทุเรลงมาพร้อมกับไข้รับประทาน
ออกเดินทางกลับกรุงโตเกียว เพลียยยยยยย
ถึงห้องก็หิว ทำราดหน้ากิน แล้วก็นอนนนนนยาวไปๆ
นอนพักร่างกายอยู่หลายวัน พอเริ่มจะไหวก็หาที่เที่ยวอีก555 ออกเดินทางจากสถานีรถไฟ Kawasaki station
เพื่อไปยังย่านช็อปปิ้ง Ginza ของกรุงโตเกียว ที่ๆ ทุกคนจะชอบมาเที่ยว ช็อปกันมาก
ถึงแล้วแหล่งช็อป ตื่นตาตื่นใจเลย คนญี่ปุ่นนี่ก็แปลกเนาะ เดินเร๊วเร็ว หรือว่าเราจะแปลก555
ช็อปเสร็จก็เดินออกไปทำบุญที่วัด Meiji Jingu แถวๆ Shibuya ประตูทางเข้าวัดค่ะ
มีสวนให้นั่งเล่นร่มรื่นมากค่ะ เขามาพักผ่อนกันเป็นครอบครัว เอาสื่อมาปูนอนเล่น ชมบรรยากาศสวยๆ ภายในวัดกันเลยทีเดียว
คล้ายๆ กับหลายที่ วัฒธรรมเขาทำแบบนี้กันหรือป่าว เราก็งงๆ
ภายในวัดค่ะ
ประตูทางออกของวัดจะมีถึงหมักเหล้า เรียงอยู่เยอะเลย ถังเปล่าค่ะ
นั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พักค่ะ เร็วมากกก
เย็นนี้ก็มาลองกินราเมน ขึ้นชื่อของญี่ปุ่น จะอร่อยเหมือนมาม่าซองละ 6 บาท บ้านเราไหมน๊าาา
ภายในร้านราเมน
800 เยน ค่ะ อุ๊บ!!! แพงจุงเบย ก็อร่อยดีนะ
วันต่อมาเพื่อนบอกว่า เรายังไม่ได้ไปวัดดังๆ ในโตเกียวหมดนะ จัดต่อเลยจร้า
วัดเซ็นโซจิ Asakusa เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่น ไม่มาไม่ได้ละ
สัญลักษณ์ของวัดนี้เป็นที่น่าสังเกตคือ โคมแดงใหญ่มาก
ภายในวัดยังมีที่ขายของฝาก เต็มสองข้างทางที่เราจะเดินเข้าไปในวัดเลยค่ะ คนเยอะมาก
ระหว่างทางเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ ได้เจองานขบวนแห่งของคนญี่ปุ่น ไม่รู้ว่างานอะไร
กลับมาถึงห้องนอนหลับป่านตาย พุ่งนี้ต้องเดินทางกลับประเทศไทยแล้วสินะ ฮือๆๆ ไม่อยากกลับบบบบ อยู่ต่อเลยได้ไหม!!!
ผ่านไปเร็วจังเนาะ 14 วัน ยังเที่ยวไม่หมดเลย Japan Only
รุ่งเช้าของวันที่ 16 พ.ค 58 เดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบิน Airasia X เวลา 09.15-13.50 น.
Go to Thailand. ฟริ้ววววววววววว
ที่นั่งรอภายในสนามบินนาริตะ
หน้าทางเดินเข้าไปผ่าน ตม. จะมีจอไฟร์บินของสายการบินต่างๆ ไว้ให้ดู
Duty Free ของสนามบินนาริตะ ขายของฝากของญี่ปุ่นเยอะมาก อยากได้ไปซะทุกอย่าง แต่ตังอยู่ไหนนน555
ระหว่างทางเดินไป Gates ของเรา Gates 88 ไกลจุง
นี่ไงๆ ลำนี่แหละที่จะพาเรากลับประเทศไทย น้องหางแดง
มีน้องฝนมาส่งเรากลับด้วย อ๊าก...หยุดตกๆ เถอะ กลัววว
ผ่านไป 6 ชม. 45 นาที เดินทางถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ขอบคุณน้องหางแดงที่พาเรามาถึงจุดหมาย ขอบคุณเพื่อนที่น่ารัก ที่พาเที่ยว กิน ช็อปกันอย่างเมามัน สนุกสุดเหวี่ยงกันไปเเลย เป็นครั้งแรกที่ออกไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว ไม่ได้ศึกษาข้อมูลก่อนไป ก็แอบกลัวๆ เหมือนกัน แถมภาษาก็มั่วๆ ปาๆ ก่อนจะตัดสินใจไปเที่ยวครั้งนี้ ก็อุ่นใจที่ยังมีเพื่อนที่คอยมารอรับเราที่สนามบิน ไปไปที่นั่นที่นี้ได้ สะดวกสบายมีที่พัก (ประหยัดตังได้เยอะเลย)
"ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ในครั้งนี้ ที่ทำให้ ผญ. ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่มีความฝันอยากไปญี่ปุ่น สุดท้ายฝันของฉันก็เป็นจริง"
**ประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมด 14 วัน ที่ใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่น ไม่รวมค่าที่พัก (อยู่กลับเพื่อนพักฟรี) แถมเพื่อนเลี้ยงอีก555
แลกเงินเยนไปจากไทยประมาณ 80000 เยน**