บาหลีไม่มีเธอ: เริ่มต้นผจญภัย (ตอนที่ 1)

บาหลีไม่มีเธอ: เริ่มต้นผจญภัย (ตอนที่ 1)



ผมนั่งอยู่ริมหน้าผา พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงคล้อยต่ำจนถึงเส้นขอบฟ้า และค่อย ๆ จมลงสู่ใต้ผืนน้ำ วัดอูลูวาตูบนหน้าผาสูงชันมีฉากหลังเป็นผืนทะเลทอดไกลสุดสายตา ท้องฟ้าสีชมพู ลมพัดเย็น มีเสียงคลื่นกระทบฝั่งเป็นดนตรีประกอบ

‘หนึ่งในเกาะที่โรแมนติกที่สุดในโลก’

มันเป็นแบบนี้นี่เอง  


********************


3 เดือนก่อนหน้านั้น

“ยินดีที่ไม่รู้จักนะ”

สิ้นเสียงของหนูนาที่พูดกับเต๋อ หนึ่งในฉากประทับใจจากภาพยนตร์เรื่อง ‘กวน มึน โฮ’

ที่จริงผมเคยดูหนังเรื่องนี้แล้วเมื่อสามปีก่อน วันนี้เกิดครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาก็เลยเปิดหนังเรื่องนี้ดูอีกรอบ ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวแปลกหน้าและชายหนุ่มหน้าแปลกที่เจอกันโดยบังเอิญที่เกาหลี ฝ่ายชายเพิ่งเลิกกับแฟน ออกเดินทางไปเกาหลีกับทัวร์ที่จองไว้แบบไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย ส่วนฝ่ายหญิงหนีแฟนไปตามรอยซีรี่ย์เกาหลีที่ตนชื่นชอบเพียงคนเดียว โชคชะตานำพาให้คนแปลกหน้าทั้งสองได้มาเจอกัน ตัดสินใจเที่ยวรอบเกาหลีด้วยกัน
และตกหลุมรักกันในที่สุด

แม่เจ้า!!

อุ๊ยจะเอาแบบนี้ อุ๊ยจะเอา อุ๊ยจะเอา

ครั้งแรกที่ผมดูกวนมึนโฮ ผมไปดูกับแฟน ตอนนั้นก็รู้สึกว่าหนังน่ารักดีแต่ก็แค่ดูเพลิน ๆ ไม่ได้อินอะไรเท่าไร สามปีผ่านไปกลับมาดูหนังเรื่องนี้ตอนเป็นโสดอีกครั้ง คราวนี้มีอารมณ์ร่วมมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวเลย

‘การออกเดินทางท่องเที่ยวกับหญิงสาวแปลกหน้าแล้วตกหลุมรักกันในที่สุด’ งั้นเหรอ

แสงแห่งความหวังทอเข้ามาในหัวใจที่มืดมิดของผม รู้สึกว่าถ้าเราไปเที่ยวคนเดียวแล้วเจอแบบนี้บ้างก็คงเป็นเรื่องราวที่น่ารักดีเหมือนกัน

แต่ เอ ลองคิดดูดี ๆ แล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไง มันก็คงเป็นแค่พล็อตเรื่องในนิยายเท่านั้นแหละ

หลายวันต่อมา ผมนั่งเล่น Facebook เพลิน ๆ เหลือบไปเห็นเพื่อนแชร์กระทู้ในพันทิป เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่ออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวแล้วเจอกับชายหนุ่มที่น่ารักคนหนึ่ง ทั้งสองทำความรู้จัก แลกเบอร์โทรศัพท์ และติดต่อกันเรื่อยมา ปัจจุบันเขาและเธอได้เป็นแฟนกันเรียบร้อยแล้ว

แม่เจ้า!!

อุ๊ยจะเอาแบบนี้ อุ๊ยจะเอา อุ๊ยจะเอา

เฮ้ย มันมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นจริง ๆ  เหรอเนี่ย ผู้หญิงคนนี้ไปเที่ยวแล้วได้แฟนกลับมาจริง ๆ งั้นเหรอ พระเจ้า ถ้าเราไปเที่ยวแล้วได้แฟนกลับมาแบบนี้บ้างก็คงดีไม่น้อย แสงแห่งความหวังสาดส่องด้วยความเข้มแสงที่รุนแรงมากขึ้นประหนึ่งพระอาทิตย์ตอนเที่ยงที่เกาะฮาวาย

ไอ้อุ๊ยจะมีแฟนแล้วเว้ยเฮ้ย

วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่ความหวังและความฝันของผมสุกงอม ผมตัดสินใจเล่าแนวคิดนี้ให้กับแม่ฟัง

“ม้า หนูจะ backpack ไปเที่ยวคนเดียวนะ”

“ไม่!!”

‘ไม่’ หนึ่งพยางค์สั้น ๆ ที่มีความหมายชัดเจนที่สุด ถ้าความหวังของผมตอนนั้นเป็นเหมือนพระอาทิตย์ตอนเที่ยงที่เกาะฮาวาย คำว่า ‘ไม่’ ของแม่คำนี้ก็คงเป็นพระราหูที่วิ่ง 100 เมตรมากระโดดงับพระอาทิตย์แล้วก็กลืนลงไปในท้องอย่างรวดเร็ว น้ำย่อยในกระเพาะกัดกร่อนพระอาทิตย์ดวงนั้นจนไม่เหลือชิ้นดี จากที่เคยเป็นพระอาทิตย์ร้อนแรง ตอนนี้กลายเป็นแค่เศษหินก้อนเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งที่จมอยู่ใต้ผืนน้ำมืด ๆ เย็น ๆ เท่านั้น

แม่ผมเป็นคนที่หวงลูกชายมาก ไม่รู้จะหวงอะไรนักหนา คือถ้าผมหล่อแบบ ‘เจมส์ จิรายุ’ แล้วแม่กลัวว่าจะมีคนมาหลอกก็พอเข้าใจได้ แต่นี่อะไร หม่ำจ๊กมกก็ไม่เชิง เท่งเถิดเทิงก็ไม่ใช่ ผมว่าคนอื่นน่าจะกลัวผมไปทำร้ายเขามากกว่า

อย่างไรก็ตาม ผมเป็นพวกประเภทที่ถ้าคันแล้วก็ต้องเกาให้ได้ เวลาคิดหรืออยากทำอะไรแล้วไม่ได้ทำมันจะรู้สึกคันคะเยอเหมือนใส่เสื้อขนเฟอร์ที่ทำจากขนตัวบุ้ง ถักทอด้วยเส้นใยจากต้นหมามุ่ย ความรู้สึกแบบนี้สำนวนนิยายกำลังภายในเขาเรียกว่า ‘คันที่หัวใจยากจะเกา’ มันเหมือนมีหนามเล็ก ๆ ตำอยู่ที่ตีน ไม่ได้เจ็บปวดทุรายทุรนจนทนไม่ไหว แต่ก็จะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ อยากจะใช้แหนบหนีบมันออกไปให้ได้ มันเหมือนขี้แล้วขี้ไม่สุดก็จะรู้สึกมวน ๆ ท้องไปตลอดทั้งวัน

หัวหน้าเก่าผมมักสอนผมเสมอว่า อุ๊ย เวลาคุณจะทำอะไรให้ยึดเป้าหมายเป็นหลัก แล้วค่อยคิดวิธีการที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเวลาคุณไปเชียงใหม่ คุณอย่าไปยึดติดว่าจะต้องไปขึ้นรถทัวร์นครชัยแอร์ที่หมอชิตตอนสองทุ่ม เพราะถ้ารถเต็มคุณก็จะไปไหนไม่ได้ คุณต้องคิดว่าเป้าหมายของคุณคือเชียงใหม่ แล้วค่อยคิดหาวิธีการที่จะไปให้ถึงที่นั่น อาจจะนั่งรถทัวร์ นั่งรถไฟ นั่งเครื่องบิน ขับรถเอง ติดรถเพื่อนไป หรือแม้กระทั่งนั่งเครื่องบินไปลงเชียงรายแล้วค่อยนั่งรถทัวร์ลงมาเชียงใหม่ก็ยังได้ การยึดเป้าหมายเป็นหลักจะทำให้คุณไม่นอยด์เวลารถทัวร์หมดเพราะยังมีอีกร้อยแปดวิธีที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ขอแค่คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน เดี๋ยววิธีการที่หลากหลายมันก็พรั่งพรูออกมาเองแหละ

ถ้าเป้าหมายของผมคือ ‘การออกเดินทางตามหาความรัก’ และวิธีการที่หนึ่งคือการ backpack ไปคนเดียวใช้ไม่ได้ งั้นก็ต้องใช้วิธีการที่สอง

ลองชวนเพื่อนไปก็แล้วกัน

ผมค้นพบว่าการจะหาเพื่อนไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน 4 – 5  วัน ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อนที่เรียนบัญชีด้วยกันนี่ตัดไปได้เลยเพราะว่าทุกคนคงกำลังง่วนกับงบไตรมาสสามกันอยู่ ผมเลยลองชวนเพื่อนที่เรียนโทด้วยกันดู

พวกเธอชื่อ เติ้ล กับ ฝ้าย

สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทผมครับ (อย่าไปบอกมันนะ เดี๋ยวมันจะอุทานว่า เอ๊ะ นี่กรุสนิทกับมันเหรอ) พวกเราทำรายงานอยู่กลุ่มเดียวกันมาตลอดตั้งแต่วิชาแรกจนถึงวิชาสุดท้าย ตอนนี้เติ้ลกลับไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ส่วนฝ้ายก็อยู่บ้านเลี้ยงหลาน เอ ทำไมฟังแล้วดูแก่จัง เอาเป็นว่าช่วงนี้ฝ้ายช่วยพี่สาวเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้าน ยังไม่ได้ทำงานประจำจริงจัง ดูแววแล้วก็มีแค่เพื่อนสองคนนี้เท่านั้นแหละครับ ที่น่าจะพอมีเวลาไปเที่ยวยาว ๆ ด้วยกันได้มากที่สุด

เติ้ลดูตื่นเต้นและตอบรับคำชวนของผมแทบจะในทันที ส่วนฝ้ายดูเหมือนจะมีความในใจอะไรบางอย่าง เลยขอคิดดูก่อน

“อุ๊ย แล้วนี่แกจะไปประเทศอะไร”

เออว่ะ ยังไม่รู้เลย

********************



คืนนั้นผมเลยลองโพสต์ถามเพื่อน ๆ ใน Facebook ว่าคนอย่างผมเหมาะที่จะไปเที่ยวประเทศไหนดี เพื่อน ๆ ที่น่ารักของผมก็เข้ามาแสดงความเห็นกันอย่างล้มหลาม ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ (เชียงใหม่นี่ต่างประเทศบ้านเมิงเหรอ) เคนยา ปาดังเบซาร์ หนองคาย เกาะพะงัน เกาหลีเหนือ สวนสยาม และ RCA

อืม ที่จริงสวนสยามก็เป็นความคิดที่ดีนะ

ถูย!!

ดูจากความเห็นของแต่ละคนแล้ว ผมว่าผมวางแผนการเที่ยวเองน่าจะเหมาะกว่า ดูแนะนำกันมาแต่ละที่ อย่าง เกาหลีเหนือเนี่ย เมิงจะให้กุไปตามรอยซีรี่ย์เกาหลีเหนือ ‘ยัยตัวร้ายกับนายคิม จอง อึน’ งั้นเรอะ!! ไว้เมิงไปฮันนีมูนก่อน แล้วค่อยกลับมาเล่าให้กุฟังก็แล้วกัน

พุทธสุภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘อัตตาหิ อัตตโน นาโถ’ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ในเมื่อพึ่งเพื่อนไม่ได้ก็ต้องพึ่งตนเอง

เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมต้องวางแผนการเที่ยวด้วยตัวเองทั้งหมด ผมเลยอยากเริ่มจากประเทศเล็ก ๆ ก่อน เอาแบบเดินทางไม่ลำบากมาก วางแผนเที่ยวได้ไม่ยากนัก ไม่ต้องถึงขนาดผจญภัยใน 23 มณฑลของจีน นั่นอาจจะยากเกินไปสำหรับมือใหม่อย่างผม

นอกจากนี้ มันก็ควรเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในระดับหนึ่ง ถ้าไปโผล่ในสงครามกลางเมืองก็คงไม่ไหว แทนที่จะได้ประสบการณ์ท่องเที่ยวอาจได้ประสบการณ์หลังความตายแทน

และสุดท้าย ที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูงนัก การท่องเที่ยวแบบพอเพียงน่าจะเหมาะกับสถานภาพทางการเงินของผมมากที่สุด

เอ หรือเราจะไปตามรอย พี่เต๋อ พี่หนูนา ที่เกาหลีดีนะ

ที่จริง ผมเคยไปเกาหลีอยู่ครั้งนึงครับ ก็ไปกับเติ้ลกับฝ้ายนี่แหละ ตอนนั้นมหาวิทยาลัยจัดทริปดูงานที่เกาหลี พวกเราตัดสินใจส่งใบสมัครแทบจะในทันที ไม่ใช่เพราะอยากไปศึกษานวัตกรรมใหม่ ๆ ของบริษัทซัมซุงหรอกนะ แต่อยากไปเกาะนามิ อยากไปสวนสนุก อยากไปช้อปปิ้งอะไรแบบนั้นมากกว่า วันสุดท้ายของทริปพวกเราตัดสินใจประสานเสียงกันในบทเพลง ‘อยู่ต่อเลยได้ไหม’ ของสิงโต นำโชค แล้วก็อยู่ที่โน่นต่ออีกสองสามวัน

ส่วนตัวผมรู้สึกเฉย ๆ กับเกาหลีนะ อาจเป็นเพราะไม่ได้ตั้งใจไปเที่ยวแบบจริงจังก็เลยไม่ค่อยอินเท่าไร สาวเกาหลีก็ไม่ได้ cute เหมือนที่เห็นในซีรีย์ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ศัลยกรรมมา ส่วนที่ผ่านมีดหมอมาแล้วหน้าตาก็เหมือนกันเป๊ะ คางแหลม ๆ หน้าเรียว ๆ จมูกโด่ง ๆ ยังกะหล่อออกมาจากเบ้าพิมพ์เดียวกัน  

เมื่อก่อนเวลาเจอคนหน้าเหมือนกัน เรามักจะทักว่า “เป็นพี่น้องกันรึเปล่า” หรือ “พ่อแม่เดียวกันรึเปล่า” แต่เดี๋ยวนี้พอเจอคนหน้าเหมือนกัน ต้องเปลี่ยนไปถามว่า “หมอเดียวกันรึเปล่า” หรือ “คลินิกเดียวกันรึเปล่า” มากกว่า

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวในเกาหลี ผมก็ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร ‘เกาะนามิ’ ที่เพื่อนคุยนักคุยหนาว่าเป็นไฮไลท์ของทริป ผมว่ามันก็คล้าย ๆ สวนรถไฟหลังตลาดจตุจักรเปล่าวะ โอเค สวนรถไฟของเขาอาจจะสวยกว่าของเราเกือบทุกมุม แต่สำหรับผม มันก็คือสวนสาธารณะดี ๆ นี่เอง

และที่สำคัญ เกาะนามินี่เมิงจะมีคนไทยจะเยอะไปไหนครับ ตั้งแต่ตอนข้ามเรือละ ธงชาติไทยเด่นหราเคียงคู่กับธงชาติเกาหลีประหนึ่งได้สร้างเกาะนี้ร่วมกันมา หันไปทางซ้ายก็เจอพี่ไทย หันไปทางขวาก็เจอพี่ไทย ได้ยินแต่เสียงคนไทยจนคิดว่าเกาะนี้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาประจำเกาะ ไม่แน่ใจว่านี่กรุอยู่เกาะนามิหรือเกาะเกร็ดกันแน่

ผมเริ่มรู้สึกว่าไอเดียตามรอย พี่เต๋อ พี่หนูนา ที่เกาหลีอาจจะไม่ค่อยโดนใจเท่าไร

งั้นเราไปประเทศไหนดีนะ

ตอนนั้นมีรายการทีวีรายการหนึ่งพูดถึงเกาะ ‘บาหลี’ ว่าเป็นเกาะแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย และเป็นหนึ่งในเกาะที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุดในโลก

หืม? เกาะที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุดในโลกงั้นเหรอ?

ที่จริงมันก็ดูเข้ากับเราเหมือนกันนะ การออกเดินทางตามหาความรักบนเกาะที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุดในโลก เออ ๆ ซื้อ ๆ กุตัดสินใจไปเกาะนี้นี่แหละ  

ผมลองค้นหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบาหลี พบว่าเมืองนี้มีคุณสมบัติของเมืองท่องเที่ยวที่ผมต้องการ คือตัวเกาะก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก จากเหนือสุดถึงใต้สุดของเกาะมีระยะทางแค่ 100 กว่าโลเอง น่าจะขับรถพอไหว นอกจากนี้บาหลีก็ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ก็น่าจะมีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวพอสมควร ตั๋วเครื่องบินของสายการบินแอร์เอเชียก็ไม่แพงมาก อยู่ในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ ส่วนค่าครองชีพก็โอเคนะ พอ ๆ กับบ้านเราเลย

เอาวะ ตกลงกุไป ‘บาหลี’ เกาะที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุดในโลกนี่แหละ

เปลี่ยนจาก ‘เกาหลี’ ไป ‘บาหลี’ ก็ได้

ชื่อคล้าย ๆ กัน

To be continued

บาหลีไม่มีเธอ: วางแผนเดินทาง (ตอนที่ 2) --> http://pantip.com/topic/34086290

*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ --> https://www.facebook.com/lovenaioui ***

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่