ใครมีประสบการณ์ หรือเคยเป็นแฟนกับคนที่นับถือคนละศาสนาบ้างครับ
เริ่มยังไง ระหว่างคบกันมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ
และความสัมพันธ์ ณ ปัจจุบันเป็นยังบ้างเอ๋ย
มาแชร์กันครับ

ปล.อยากอ่านของเพื่อนๆก่อนครับ เพราะผมก็เคยผ่านเรื่องนี้มาเหมือนกัน
เผื่อมีเพื่อนๆ อยากอ่าน พรุ่งนี้ผมจะมาแชร์ครับ
ก่อนอ่าน ผมจะบอกว่าอาจจะไม่ค่อยตรงกับหัวข้อกระทู้เท่าไหร่นะครับ

Update นะครับ มาฟังเรื่องของผมบ้าง (มีคนรออยู่หรือเปล่าน้อ....พอดีงานยุ่ง ต้องขออภัยครับที่เพิ่งเข้ามาเล่า)
***ผมนับถือศาสนาพุทธ เธอซึ่งก็คือแฟนผม นับถือศาสนาคริสต์ เราสองคนเจอที่บริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ทำงานของผม และจากนั้นก็เป็นของเธอด้วย(ผมทำอยู่นี้นานแล้ว แล้วเธอเพิ่งมาใหม่) ต้องบอกก่อนว่าผมทำงานเป็นไอที เวลามีพนักงานในส่วนของ Office เข้ามาใหม่ จะต้องเจอและรู้จักผมทุกคน เพราะผมจะต้องไปแนะนำวิธีการใช้งานโปรแกรมต่างๆ ที่ใช้ในบริษัท และระเบียบต่างๆ ในการใช้คอมพิวเตอร์
ตอนเจอเธอครั้งแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไร เหมือนเธอเพิ่งตื่นนอน แบบว่าตื่นสายแล้วรีบมา ทรงผมอะไรๆ ก็ดูเหมือนไม่จัดทรง เหอๆ
แต่พอมาวันที่สอง เราเจอกันอีกครั้งตอนกินข้าวที่โรงอาหาร แว็บแรกที่เห็น เธอดูน่ารักครับ ทรงผมเรียบร้อยมาอย่างดี แล้วเธอก็พูดกับผมเบาๆว่า "นั่งด้วยได้มั๊ยค่ะ" แล้วตั้งแต่วันนั้นมาเราได้คุยกันเรื่อยๆ แต่คุยเฉพาะในบริษัทนะครับ วันเสาร์อาทิตย์ หยุดงานก็จะไม่ได้คุย เพราะผมไม่ได้ขออะไรเธอเลยทั้ง Line Facebook เบอร์โทรเพราะยังไงเราก็เจอกันอยู่แล้ว ผมถามไปแต่ชื่อ หลังจากนั้นก็คุยกันมาได้สักประมาณ 4 เดือนผมจึงตัดสินใจขอเธอเป็นแฟน แล้วก็ตอบมาว่า "งั้นเราแลกกัน..." ผมยืนงงแป็บ แล้วถามกลับไปว่า "แลกกับอะไร ยังไง" เธอจึงตอบผมมาว่า "แลกกับไลน์ เบอร์โทรไง เป็นแฟนกันแล้วต้องมีเบอร์โทรซิ..." ตอนนั้นผมแบบว่าทั้งดีใจ และงงไปพร้อมๆ กัน แต่หลังจากนั้นเราสองคนก็ได้เป็นแฟนกัน
เข้าเรื่องเลยละกันครับ เหอๆ (ด้านบนคือ Title ครับ 55555)
ผมว่าถ้าคนเรารักกันจริงๆ ศาสนาก็ไม่ใช่สิ่งขวางกั้น ตอนแรกผมไม่รู้นะว่าเธอนับถือคริสต์ มาตอนหลังจากที่เป็นแฟนกันแล้วเดือนนึง เธอเป็นคนบอกผมเอง ซึ่งผมก็ไม่ติดใจอะไร แต่ก็จะมีถามบ้างว่าศาสนาคริสต์เขาห้ามกินอะไรมั๊ย ,ห้ามคบกับแฟนต่างศาสนาหรือเปล่า ... คือถามแบบคนไม่รู้อะไรเลยครับ เธอก็ตอบมาว่า "กินได้ทุกอย่าง แล้วก็คบใครก็ได้" ตอนเราอยู่ด้วยกัน คบกัน ผมไม่รู้สึกเลยนะว่าเราต่างความเชื่อต่างศาสนา
เวลาผมไปทำบุญ หรือไปลอยกระทงอย่างนี้ เธอก็จะไปด้วยกันกับผม แต่เธอจะไม่ลอยกับผม เหอๆๆ ผมว่าคนทั่วไปเขาคงคิดแหละว่ามาด้วยกันทำไมผู้หญิงไม่ลอยกับผู้ชาย ทะเลาะกันหรือเปล่า เหอๆๆ และพอถึงคิวที่เธอต้องไปโบสถ์ ผมก็ไปด้วย แต่ผมไม่ได้ท่องด้วยนะครับ แค่ไปนั่งดูคนที่นั้นและนั่งรอเธอ ***ตอนนั้นผมมองดูคนอื่นๆ แล้ว ผมคิดว่าทุกคนที่โบสถ์ดูดีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย หรือเด็ก ผู้ใหญ่ คือผมไม่ได้หมายถึงว่าหล่อหรือสวยอะไรแบบนั้น แต่ว่าดูดี อาจจะด้วยการแต่งตัวหรือด้วยบารมีของพระเจ้าหรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ถูกผิดยังไงต้องขออภัยด้วยครับ***
พอเราคบเป็นแฟนกันได้สัก 7 เดือน พ่อเธอก็ป่วยต้องกลับไปเยี่ยมพ่อที่บ้านต่างจังหวัดที่บุรีรัมย์ ประมาณ 4 วัน(ตอนแรกผมว่าจะไปด้วย จะถือโอกาสไปสวัสดีคุณพ่อคุณแม่เธอซะหน่อย แต่เผอิญผมลางานไม่ได้ เลยไม่ได้ไปด้วย) แล้วเธอก็กลับมาพร้อมกับมาเขียนใบลาออก เธอบอกกับผมว่า เธออยากอยู่ทำงานใกล้บ้านจะได้ดูแลครอบครัวได้ เพราะเธอเป็นลูกคนที่สอง และมีน้องอีก 2 คนและพี่สาวหนึ่งคน ซึ่งพี่สาวก็ไม่ค่อยสะดวกที่จะมา เพราะมีครอบครัวแล้ว ตอนแรกผมก็ไม่ยอมนะ คือแบบว่ามันเกิดเร็วมา เราเพิ่งคบกันมาได้แป็บเดียวก็จากกันแล้ว ผมยังไม่ทันได้เตรียมตัวเลย คือเศร้าอะ แล้วเธอก็บอกกับผม "เด่วเราจะหางานทำแถวๆบ้านวันหยุดเราก็มาหากันได้เหมือนเดิม เรามาหาเธอที่กรุงเทพบ้าง หรือเธอจะไปหาเราที่บ้านบ้าง ก็ได้" ผมก็เลย Ok กับข้อเสนอนี้ เพราะตอนแรกผมนึกว่าจะต้องเลิกกัน ไม่ได้ติดต่อกันอะไรแบบนี้ (อย่างว่าละเนอะ ความคิดของเด็ก) พอหลังจากนั้ันสักสองอาทิตย์เธอก็โทรมาบอกผมว่า เธอได้งานแล้วเป็นติวเตอร์ที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งในจังหวัดโคราช เธอบอกว่า ถึงจะไม่ได้แถวบ้านแต่ก็ใกล้บ้านไปมาสะดวก และเราสองคนก็จะได้มาหากันได้สะดวกด้วย ไม่ไกลเท่าไหร่ แล้วเราก็ไปหากันอย่างนี้ ผมไปหาเธอบ้าง เธอมาหาผมบ้าง(แต่ส่วนมากแล้วเธอจะมาหาผมมากกว่า เหอๆๆ) เรื่อยๆๆมา
จนมาถึงเวลาที่เราคบเป็นแฟนกันมาได้ประมาณ 10 เดือน อยู่มาวันนึงเธอก็เล่าเรื่องแฟนเก่าเธอให้ฟังว่า ที่เลิกกันเพราะคบกันไปได้สักระยะเธอขอให้แฟนเก่าเปลี่ยนศาสนาจะได้ใช้วิตกันง่ายขึ้น แต่แฟนเก่าไม่ยอม เธอจึงขอเลิก เลิกกันมาได้ประมาณปีนึงละ แล้วเธอก็ได้มาทำงานที่เดียวกับผมนี่แหละ แล้วเธอก็ยังบอกอีกว่าแฟนเก่าเธออายุมากว่าเธอ 2 ปี(ซึ่งผมอายุน้อยกว่าเธอ 2 ปี)
พอเธอเล่าจบผมสงสัยจึงถามไปว่า "ทำไมมาเล่าให้เราฟัง เราไม่ได้สนใจนะว่าอดีตเธอจะเป็นยังไง ขอเพียงแค่ปัจจุบันฉันรักเธอก็เพียงพอแล้ว" (อุ๊ต๊ะ !! แบบว่านำ้เน่ามาก เนอะ) เธอก็บอกว่าผมว่า "เราไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เธอจะเปลี่ยนมาเป็นเหมือนเรามั๊ย??"
ผมเลยบอกเธอว่า "ได้ซิ ไม่มีปัญหา แต่ให้ผ่านปีไปนี้ไปก่อนละกัน เพราะญาติเราเขาจะบวชสิ้นปี เด๋วเราร่วมด้วยไม่ได้ และขอปรึกษาพ่อกับแม่ด้วยนะ" เธอก็ตกลงตามนั้น และก็ทิ้งท้ายด้วยคำพูดแบบเหนื่อยๆว่า "___(ที่เว้นไว้คือชื่อผมเอง) ตั้งแต่เรามีแฟนมา เราไม่เคยคบกับใครเกิน 1 ปีเลยอะ" ผมเลยตอบเธอกลับไปด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า "เธอไม่ต้องกังวล เรานี่แหละจะเป็นคนแรกที่คบกันเกิน 1 ปี และไม่มีวันบอกเลิกด้วย"
และแล้ววันนั้นก็มาถึง (ต้องบอกว่าช่วงที่เราคบกัน เราทะเลาะกันน้อยมาก แทบจะนับครั้งได้ อาจเพราะเธอเป็นผู้ใหญ่กว่าผมเนื่องจากเธออายุมากกว่าผม 2 ปี เธอจึงไม่ค่อยงอนกับเรื่องเล็กน้อยเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นผมที่เป็นฝ่ายอ้อน 555++) คือวันที่ 14 ธันวาคม 25XX เธอไลน์มาบอกผมว่า "เราเลิกกันเถอะ" (เพราะผมเคยบอกว่าถ้าเกิดถึงวันนึงที่เราไปกันไม่ได้ ถ้าเธอจะบอกอะไรเราให้ไลน์มานะ เราไม่อยากฟังเสียงเธอตอนที่เธอพูดคำนั้น....)ผมตกใจมากนึกว่าเธอล้อเล่นเลยไลน์กับไปถามว่า "____(ชื่อแฟน)ล้อเล่นกับเราเหรอ" เธอตอบกลับมาว่า "เราพูดจริง" เท่านั้นแหละผมลางาน และนั่งรถไปหาเธอที่โคราชเลย เพื่อมาถามเธอว่าทำไม ทำไมเธอจึงพูดคำนั้นออกมา เราทำอะไรผิด หรือไม่ดีตรงไหน บอกเราได้ เราจะได้ไม่ทำอีก แต่คำตอบที่ได้มากลับยิ่งทำให้ผมเสียใจมากขึ้นอีก เธอบอกผมว่า " ___(ชื่อผม)ไม่ได้ทำอะไรผิด หรือไม่ดีอะไร เราต่างหากที่ผิดเอง คือออ......แฟนเก่าเรามาขอคืนดี เราเจอพี่เขาตอนวันที่เรามาเยี่ยมพ่อ พอดีว่าพี่เขาทำงานแถวบ้านรู้ข่าวจากพี่สาวเราก็เลยมาเยี่ยม แล้วพี่เขาก็ขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป และคุยกันไปแบบพี่น้อง จนมาถึงสองวันก่อน พี่เขามาขอคืนดี และบอกว่าจะยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือคริสต์ เรายังรักพี่เขาอยู่ เราก็เลยตอบตกลง และบอกเลิก___(ชื่อผม) เราขอโทษนะ" พอเธอพูดจบนะ อยู่ดีๆ น้ำตาผมมันก็ไหลออกมาซะอย่างนั้น ผมรู้สึกว่าผมเสียใจมาก ผมพยายามประคับประคองทุกอย่างเพื่อจะให้รักครั้งนี้ยาวนาน แต่แล้วความพยายามของผมก็สูญเปล่า ผมเดินออกไปทั้งนำ้ตาอย่างนั้นเลย นั่งรถกลับบ้านที่กรุงเทพ มานอนร้องไห้คนเดียว คืนนั้นผมกินอะไรไม่ลงเลย แบบเข้าใจความรู้สึกเลยที่ว่า เสียใจจนทานอะไรไม่ลง แล้วประวัติศาสตร์ของเธอก็ซ้ำรอย เธอคบกับผมไม่ถึง 1 ปีแล้วเราก็เลิกกัน
พอเช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ไปทำงานตามปกติ แบบตาบวมๆ นิดๆ แล้วก็มีโทรศัพท์สายเข้า มารู้ตอนรับสายว่าเป็นเบอร์ของน้องสาวเธอ น้องเขาโทรมาขอโทษแทนพี่สาวเขา ที่ทำกับผมแบบนั้น สุดท้ายก่อนวางสาย ผมก็ได้ฝากน้องเขาไปบอกเธอว่า "ไม่ใช่แค่เธอที่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เราเองก็เหมือนกัน ที่เคยคบเป็นแฟนมาทุกคนจุดจบคือเธอกลับไปคบกับแฟนเก่าทุกคน" แล้วผมก็วางสายไป จากนั้นผมก็ทำการลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ ทั้งรูปถ่าย เบอร์โทร Line Facebook skype(เราใช้ facetime หากันตอนที่เราแยกกัน ตอนนั้นไลน์ยังไม่ฟังก์ชั่นนี้) คือที่ผมทำ ผมไม่ได้ใจร้ายหรืออะไร แต่จริงๆแล้ว ผมไม่อยากเห็นเรื่องราวของเธอกับแฟนคนปัจจุบัน พอผมเห็นแล้วผมเจ็บ
และแล้วเรื่องราวของผมก็จบลงเพียงเท่านี้
***และผมก็มีคำถามที่ผุดในหัวว่า "คนที่เลิกกับแฟนเก่า แล้วมาคบกับแฟนใหม่ พออยู่มาวันนึงคุณก็กลับไปคบคนเดิมด้วยเหตุผลที่ว่า ยังรักเขาอยู่ ผมอยากถามว่าคุณคิดอะไรกัน แล้วแฟนใหม่คุณละ คุณจะทิ้งมันไปง่ายๆ แบบนี้อะเหรอ แสดงว่าเวลาที่ผ่านมา คุณไม่เคยรักเราเลย เป็นแค่เพียงคนคั้นเวลา หรือไว้แก้เหงาอะไรซักอย่าง ผมอยากบอกนะครับว่าอย่าทำแบบนี้เลย ลองคิดถึงใจของคนใหม่ที่คุณเพิ่งทิ้งเขาไปด้วย ว่าเขาจะเสียใจแค่ไหน แต่ทางคุณกับไปมีความสุขกับคนเก่าที่คุณเพิ่งบอกว่า คุณยังรักเขาอยู่ ทิ้งให้หมาหัวเน่าตัวนึงนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว"
จริงๆแล้วสิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ สำหรับผมไม่ว่าจะป็นศาสนาใด ถ้าคุณรักกันแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็รักกันเถอะครับ สำหรับผม ผมเชื่อว่าศาสนาไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตถ้าคนเรากัน แต่ถ้าทำให้ถูกต้องแล้วมันดีกว่า ก็ทำเถอะครับ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย และผมต้องยินดีกับคู่รักทุกๆคู่ที่สมหวัง และเสียใจกับคู่รักที่ผิดหวัง ถือซะว่าคนๆ นั้นยังไม่ใช่เนื้อคู่เรา
สวัสดีครับ
***แท็กไม่ถูกยังไง ต้องขออภัยด้วยครับ***
เพื่อนๆ ใครมีประสบการณ์คบเป็นแฟนกับคนที่ต่างศาสนา ต่างความเชื่อบ้าง ?? มาแชร์กัน
เริ่มยังไง ระหว่างคบกันมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ
และความสัมพันธ์ ณ ปัจจุบันเป็นยังบ้างเอ๋ย
มาแชร์กันครับ
ปล.อยากอ่านของเพื่อนๆก่อนครับ เพราะผมก็เคยผ่านเรื่องนี้มาเหมือนกัน
เผื่อมีเพื่อนๆ อยากอ่าน พรุ่งนี้ผมจะมาแชร์ครับ
ก่อนอ่าน ผมจะบอกว่าอาจจะไม่ค่อยตรงกับหัวข้อกระทู้เท่าไหร่นะครับ
Update นะครับ มาฟังเรื่องของผมบ้าง (มีคนรออยู่หรือเปล่าน้อ....พอดีงานยุ่ง ต้องขออภัยครับที่เพิ่งเข้ามาเล่า)
***ผมนับถือศาสนาพุทธ เธอซึ่งก็คือแฟนผม นับถือศาสนาคริสต์ เราสองคนเจอที่บริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ทำงานของผม และจากนั้นก็เป็นของเธอด้วย(ผมทำอยู่นี้นานแล้ว แล้วเธอเพิ่งมาใหม่) ต้องบอกก่อนว่าผมทำงานเป็นไอที เวลามีพนักงานในส่วนของ Office เข้ามาใหม่ จะต้องเจอและรู้จักผมทุกคน เพราะผมจะต้องไปแนะนำวิธีการใช้งานโปรแกรมต่างๆ ที่ใช้ในบริษัท และระเบียบต่างๆ ในการใช้คอมพิวเตอร์
ตอนเจอเธอครั้งแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไร เหมือนเธอเพิ่งตื่นนอน แบบว่าตื่นสายแล้วรีบมา ทรงผมอะไรๆ ก็ดูเหมือนไม่จัดทรง เหอๆ
แต่พอมาวันที่สอง เราเจอกันอีกครั้งตอนกินข้าวที่โรงอาหาร แว็บแรกที่เห็น เธอดูน่ารักครับ ทรงผมเรียบร้อยมาอย่างดี แล้วเธอก็พูดกับผมเบาๆว่า "นั่งด้วยได้มั๊ยค่ะ" แล้วตั้งแต่วันนั้นมาเราได้คุยกันเรื่อยๆ แต่คุยเฉพาะในบริษัทนะครับ วันเสาร์อาทิตย์ หยุดงานก็จะไม่ได้คุย เพราะผมไม่ได้ขออะไรเธอเลยทั้ง Line Facebook เบอร์โทรเพราะยังไงเราก็เจอกันอยู่แล้ว ผมถามไปแต่ชื่อ หลังจากนั้นก็คุยกันมาได้สักประมาณ 4 เดือนผมจึงตัดสินใจขอเธอเป็นแฟน แล้วก็ตอบมาว่า "งั้นเราแลกกัน..." ผมยืนงงแป็บ แล้วถามกลับไปว่า "แลกกับอะไร ยังไง" เธอจึงตอบผมมาว่า "แลกกับไลน์ เบอร์โทรไง เป็นแฟนกันแล้วต้องมีเบอร์โทรซิ..." ตอนนั้นผมแบบว่าทั้งดีใจ และงงไปพร้อมๆ กัน แต่หลังจากนั้นเราสองคนก็ได้เป็นแฟนกัน
เข้าเรื่องเลยละกันครับ เหอๆ (ด้านบนคือ Title ครับ 55555)
ผมว่าถ้าคนเรารักกันจริงๆ ศาสนาก็ไม่ใช่สิ่งขวางกั้น ตอนแรกผมไม่รู้นะว่าเธอนับถือคริสต์ มาตอนหลังจากที่เป็นแฟนกันแล้วเดือนนึง เธอเป็นคนบอกผมเอง ซึ่งผมก็ไม่ติดใจอะไร แต่ก็จะมีถามบ้างว่าศาสนาคริสต์เขาห้ามกินอะไรมั๊ย ,ห้ามคบกับแฟนต่างศาสนาหรือเปล่า ... คือถามแบบคนไม่รู้อะไรเลยครับ เธอก็ตอบมาว่า "กินได้ทุกอย่าง แล้วก็คบใครก็ได้" ตอนเราอยู่ด้วยกัน คบกัน ผมไม่รู้สึกเลยนะว่าเราต่างความเชื่อต่างศาสนา
เวลาผมไปทำบุญ หรือไปลอยกระทงอย่างนี้ เธอก็จะไปด้วยกันกับผม แต่เธอจะไม่ลอยกับผม เหอๆๆ ผมว่าคนทั่วไปเขาคงคิดแหละว่ามาด้วยกันทำไมผู้หญิงไม่ลอยกับผู้ชาย ทะเลาะกันหรือเปล่า เหอๆๆ และพอถึงคิวที่เธอต้องไปโบสถ์ ผมก็ไปด้วย แต่ผมไม่ได้ท่องด้วยนะครับ แค่ไปนั่งดูคนที่นั้นและนั่งรอเธอ ***ตอนนั้นผมมองดูคนอื่นๆ แล้ว ผมคิดว่าทุกคนที่โบสถ์ดูดีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย หรือเด็ก ผู้ใหญ่ คือผมไม่ได้หมายถึงว่าหล่อหรือสวยอะไรแบบนั้น แต่ว่าดูดี อาจจะด้วยการแต่งตัวหรือด้วยบารมีของพระเจ้าหรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ถูกผิดยังไงต้องขออภัยด้วยครับ***
พอเราคบเป็นแฟนกันได้สัก 7 เดือน พ่อเธอก็ป่วยต้องกลับไปเยี่ยมพ่อที่บ้านต่างจังหวัดที่บุรีรัมย์ ประมาณ 4 วัน(ตอนแรกผมว่าจะไปด้วย จะถือโอกาสไปสวัสดีคุณพ่อคุณแม่เธอซะหน่อย แต่เผอิญผมลางานไม่ได้ เลยไม่ได้ไปด้วย) แล้วเธอก็กลับมาพร้อมกับมาเขียนใบลาออก เธอบอกกับผมว่า เธออยากอยู่ทำงานใกล้บ้านจะได้ดูแลครอบครัวได้ เพราะเธอเป็นลูกคนที่สอง และมีน้องอีก 2 คนและพี่สาวหนึ่งคน ซึ่งพี่สาวก็ไม่ค่อยสะดวกที่จะมา เพราะมีครอบครัวแล้ว ตอนแรกผมก็ไม่ยอมนะ คือแบบว่ามันเกิดเร็วมา เราเพิ่งคบกันมาได้แป็บเดียวก็จากกันแล้ว ผมยังไม่ทันได้เตรียมตัวเลย คือเศร้าอะ แล้วเธอก็บอกกับผม "เด่วเราจะหางานทำแถวๆบ้านวันหยุดเราก็มาหากันได้เหมือนเดิม เรามาหาเธอที่กรุงเทพบ้าง หรือเธอจะไปหาเราที่บ้านบ้าง ก็ได้" ผมก็เลย Ok กับข้อเสนอนี้ เพราะตอนแรกผมนึกว่าจะต้องเลิกกัน ไม่ได้ติดต่อกันอะไรแบบนี้ (อย่างว่าละเนอะ ความคิดของเด็ก) พอหลังจากนั้ันสักสองอาทิตย์เธอก็โทรมาบอกผมว่า เธอได้งานแล้วเป็นติวเตอร์ที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งในจังหวัดโคราช เธอบอกว่า ถึงจะไม่ได้แถวบ้านแต่ก็ใกล้บ้านไปมาสะดวก และเราสองคนก็จะได้มาหากันได้สะดวกด้วย ไม่ไกลเท่าไหร่ แล้วเราก็ไปหากันอย่างนี้ ผมไปหาเธอบ้าง เธอมาหาผมบ้าง(แต่ส่วนมากแล้วเธอจะมาหาผมมากกว่า เหอๆๆ) เรื่อยๆๆมา
จนมาถึงเวลาที่เราคบเป็นแฟนกันมาได้ประมาณ 10 เดือน อยู่มาวันนึงเธอก็เล่าเรื่องแฟนเก่าเธอให้ฟังว่า ที่เลิกกันเพราะคบกันไปได้สักระยะเธอขอให้แฟนเก่าเปลี่ยนศาสนาจะได้ใช้วิตกันง่ายขึ้น แต่แฟนเก่าไม่ยอม เธอจึงขอเลิก เลิกกันมาได้ประมาณปีนึงละ แล้วเธอก็ได้มาทำงานที่เดียวกับผมนี่แหละ แล้วเธอก็ยังบอกอีกว่าแฟนเก่าเธออายุมากว่าเธอ 2 ปี(ซึ่งผมอายุน้อยกว่าเธอ 2 ปี)
พอเธอเล่าจบผมสงสัยจึงถามไปว่า "ทำไมมาเล่าให้เราฟัง เราไม่ได้สนใจนะว่าอดีตเธอจะเป็นยังไง ขอเพียงแค่ปัจจุบันฉันรักเธอก็เพียงพอแล้ว" (อุ๊ต๊ะ !! แบบว่านำ้เน่ามาก เนอะ) เธอก็บอกว่าผมว่า "เราไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เธอจะเปลี่ยนมาเป็นเหมือนเรามั๊ย??"
ผมเลยบอกเธอว่า "ได้ซิ ไม่มีปัญหา แต่ให้ผ่านปีไปนี้ไปก่อนละกัน เพราะญาติเราเขาจะบวชสิ้นปี เด๋วเราร่วมด้วยไม่ได้ และขอปรึกษาพ่อกับแม่ด้วยนะ" เธอก็ตกลงตามนั้น และก็ทิ้งท้ายด้วยคำพูดแบบเหนื่อยๆว่า "___(ที่เว้นไว้คือชื่อผมเอง) ตั้งแต่เรามีแฟนมา เราไม่เคยคบกับใครเกิน 1 ปีเลยอะ" ผมเลยตอบเธอกลับไปด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า "เธอไม่ต้องกังวล เรานี่แหละจะเป็นคนแรกที่คบกันเกิน 1 ปี และไม่มีวันบอกเลิกด้วย"
และแล้ววันนั้นก็มาถึง (ต้องบอกว่าช่วงที่เราคบกัน เราทะเลาะกันน้อยมาก แทบจะนับครั้งได้ อาจเพราะเธอเป็นผู้ใหญ่กว่าผมเนื่องจากเธออายุมากกว่าผม 2 ปี เธอจึงไม่ค่อยงอนกับเรื่องเล็กน้อยเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นผมที่เป็นฝ่ายอ้อน 555++) คือวันที่ 14 ธันวาคม 25XX เธอไลน์มาบอกผมว่า "เราเลิกกันเถอะ" (เพราะผมเคยบอกว่าถ้าเกิดถึงวันนึงที่เราไปกันไม่ได้ ถ้าเธอจะบอกอะไรเราให้ไลน์มานะ เราไม่อยากฟังเสียงเธอตอนที่เธอพูดคำนั้น....)ผมตกใจมากนึกว่าเธอล้อเล่นเลยไลน์กับไปถามว่า "____(ชื่อแฟน)ล้อเล่นกับเราเหรอ" เธอตอบกลับมาว่า "เราพูดจริง" เท่านั้นแหละผมลางาน และนั่งรถไปหาเธอที่โคราชเลย เพื่อมาถามเธอว่าทำไม ทำไมเธอจึงพูดคำนั้นออกมา เราทำอะไรผิด หรือไม่ดีตรงไหน บอกเราได้ เราจะได้ไม่ทำอีก แต่คำตอบที่ได้มากลับยิ่งทำให้ผมเสียใจมากขึ้นอีก เธอบอกผมว่า " ___(ชื่อผม)ไม่ได้ทำอะไรผิด หรือไม่ดีอะไร เราต่างหากที่ผิดเอง คือออ......แฟนเก่าเรามาขอคืนดี เราเจอพี่เขาตอนวันที่เรามาเยี่ยมพ่อ พอดีว่าพี่เขาทำงานแถวบ้านรู้ข่าวจากพี่สาวเราก็เลยมาเยี่ยม แล้วพี่เขาก็ขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป และคุยกันไปแบบพี่น้อง จนมาถึงสองวันก่อน พี่เขามาขอคืนดี และบอกว่าจะยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือคริสต์ เรายังรักพี่เขาอยู่ เราก็เลยตอบตกลง และบอกเลิก___(ชื่อผม) เราขอโทษนะ" พอเธอพูดจบนะ อยู่ดีๆ น้ำตาผมมันก็ไหลออกมาซะอย่างนั้น ผมรู้สึกว่าผมเสียใจมาก ผมพยายามประคับประคองทุกอย่างเพื่อจะให้รักครั้งนี้ยาวนาน แต่แล้วความพยายามของผมก็สูญเปล่า ผมเดินออกไปทั้งนำ้ตาอย่างนั้นเลย นั่งรถกลับบ้านที่กรุงเทพ มานอนร้องไห้คนเดียว คืนนั้นผมกินอะไรไม่ลงเลย แบบเข้าใจความรู้สึกเลยที่ว่า เสียใจจนทานอะไรไม่ลง แล้วประวัติศาสตร์ของเธอก็ซ้ำรอย เธอคบกับผมไม่ถึง 1 ปีแล้วเราก็เลิกกัน
พอเช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ไปทำงานตามปกติ แบบตาบวมๆ นิดๆ แล้วก็มีโทรศัพท์สายเข้า มารู้ตอนรับสายว่าเป็นเบอร์ของน้องสาวเธอ น้องเขาโทรมาขอโทษแทนพี่สาวเขา ที่ทำกับผมแบบนั้น สุดท้ายก่อนวางสาย ผมก็ได้ฝากน้องเขาไปบอกเธอว่า "ไม่ใช่แค่เธอที่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เราเองก็เหมือนกัน ที่เคยคบเป็นแฟนมาทุกคนจุดจบคือเธอกลับไปคบกับแฟนเก่าทุกคน" แล้วผมก็วางสายไป จากนั้นผมก็ทำการลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ ทั้งรูปถ่าย เบอร์โทร Line Facebook skype(เราใช้ facetime หากันตอนที่เราแยกกัน ตอนนั้นไลน์ยังไม่ฟังก์ชั่นนี้) คือที่ผมทำ ผมไม่ได้ใจร้ายหรืออะไร แต่จริงๆแล้ว ผมไม่อยากเห็นเรื่องราวของเธอกับแฟนคนปัจจุบัน พอผมเห็นแล้วผมเจ็บ
และแล้วเรื่องราวของผมก็จบลงเพียงเท่านี้
***และผมก็มีคำถามที่ผุดในหัวว่า "คนที่เลิกกับแฟนเก่า แล้วมาคบกับแฟนใหม่ พออยู่มาวันนึงคุณก็กลับไปคบคนเดิมด้วยเหตุผลที่ว่า ยังรักเขาอยู่ ผมอยากถามว่าคุณคิดอะไรกัน แล้วแฟนใหม่คุณละ คุณจะทิ้งมันไปง่ายๆ แบบนี้อะเหรอ แสดงว่าเวลาที่ผ่านมา คุณไม่เคยรักเราเลย เป็นแค่เพียงคนคั้นเวลา หรือไว้แก้เหงาอะไรซักอย่าง ผมอยากบอกนะครับว่าอย่าทำแบบนี้เลย ลองคิดถึงใจของคนใหม่ที่คุณเพิ่งทิ้งเขาไปด้วย ว่าเขาจะเสียใจแค่ไหน แต่ทางคุณกับไปมีความสุขกับคนเก่าที่คุณเพิ่งบอกว่า คุณยังรักเขาอยู่ ทิ้งให้หมาหัวเน่าตัวนึงนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว"
จริงๆแล้วสิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ สำหรับผมไม่ว่าจะป็นศาสนาใด ถ้าคุณรักกันแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็รักกันเถอะครับ สำหรับผม ผมเชื่อว่าศาสนาไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตถ้าคนเรากัน แต่ถ้าทำให้ถูกต้องแล้วมันดีกว่า ก็ทำเถอะครับ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย และผมต้องยินดีกับคู่รักทุกๆคู่ที่สมหวัง และเสียใจกับคู่รักที่ผิดหวัง ถือซะว่าคนๆ นั้นยังไม่ใช่เนื้อคู่เรา
สวัสดีครับ
***แท็กไม่ถูกยังไง ต้องขออภัยด้วยครับ***