"สะบายดีเมืองลาว"
ครั้งแรกกับการไปเที่ยวต่างประเทศ และเป็นครั้งแรกที่ไปเที่ยวตามลำพัง ไม่ได้อกหัก ไม่ได้รักคุด ไม่ได้มีปัญหาครอบครัว แต่อยากพิสูจน์ตัวเองว่าเราอยู่ได้ เราสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเรา นำความรู้ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามาใช้ และที่สำคัญคือ เราชอบเดินทางท่องเที่ยวมากเป็นหนึ่งในความฝันของเราเลย ที่อยากจะเดินทางไปหลาย ๆ ประเทศให้ได้มากที่สุด นั่นจึงบังเกิดทริปโดดเดียวแต่ไม่เดียวดายขึ้น เหตุผลที่เราเลือกประเทศลาว เพื่อนบ้านผู้แสนดีของเรา คือ
1. ภาษา-ภาษาลาว คล้าย ๆ ภาษาอีสาน ดังนั้นเราเลยคิดว่าไม่น่ามีปัญหาเรื่องการสื่อสารเท่าไหร่
2. ค่าเงิน-แน่นอนว่าเงินกีบถูก และลำพังเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเรา ปัจจัยนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
3. ความปลอดภัย-ถึงแม้จะไม่ใช้ประเทศที่ปลอดภัยสุด ๆ แต่สำหรับเราแล้วลาวยังถือได้ว่าปลอดภัยสำหรับนักเดินทางคนเดียว
4. ใกล้บ้าน--ภูมิประเทศที่ใกล้กับบ้านเราอย่างน้อยถ้ามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นยังใกล้บ้าน
เราเริ่มวางแผนโดยการมองหาวันหยุดที่ไม่ต้องใช้วันลาพักร้อนมากนัก บวกกับเจ้านายบอกว่าให้ทุกคนส่งแผนการลาพักร้อนมาให้ เพื่อที่จะได้ทำแผนการทำงานส่งให้ต้นสังกัด เราเลยตัดสินใจเอาเดือนสิงหาคม เพราะสิ้นปีของเราคือ เดือนกันยายนไม่ใช่เดือนธันวาคมอย่างคนอื่น ๆ เมื่อวันแม่เป็นวันพุธกลางสัปดาห์ ใครเล่าอยากมาทำงานสองวันหยุดหนึ่งวัน มาทำอีกสองวัน เราเลยจัดให้ลาสี่วันบวกหนึ่งเป็นห้า และบวกเสาร์ อาทิตย์ หน้าหลัง เลยกลายเป็นเก้าวัน สุดสนุก นั่งหาข้อมูลในพันทิปนานมาก กว่าจะร่างเป็นทริปขึ้นมา พอได้ข้อมูลอันน่าพึงพอใจแล้ว เราเริ่มเสาะหาที่พักตาม booking/agoda บางคนบอกว่าให้ไปหาเอาตอนถึงเลย ด้วยความที่ไปครั้งแรกและไม่อยากเสี่ยงเราเลยเลือกที่จะจองที่พักไปเลยดีกว่า อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่ามีที่ซุกหัวนอนแน่นอน

เราเริ่มแผนการเดินทางโดยนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ ไปเมืองเลย เย็นวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม และต่อรถทัวร์ระหว่างประเทศที่บขส จังหวัดเลยไปหลวงพระบางเช้าวันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม และอยู่หลวงพระบางสองคืน (8-10 สิงหาคม) จากนั้นเดินทางต่อไปวังเวียง และอยู่อีกสองคืน (10-12 สิงหาคม) และลงมาที่เวียงจันทน์ เป้าหมายสุดท้าย (12-13 สิงหาคม) และข้ามกลับมาขึ้นเครื่องที่อุดรธานี วันที่ 13 สิงหาคม รวมทั้งหมดใช้เวลาเดินทางสำหรับทริปนี้หกวันรวมวันเดินทางด้วยนะค่ะ หลังจากรถถึงบขส เลยเรารีบลงมาซื้อตั๋วไปหลวงพระบาง อย่างที่เรารู้กันเนอะว่าไปลาวถ้าไปหลายวันควรจะต้องมีพาสปอร์ต เราจัดแจงซื้อตั๋วเสร็จ เข้าห้องน้ำล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัวให้ดูเป็นคนมานิดนึง แล้วก็ออกไปหาอะไรกินแถว ๆ บขส นั่นแหล่ะ กินข้าวไข่เจียว เพราะกลัวว่าเดี๋ยวเดินทางจะท้องเสีย เลยไม่อยากกินอะไรหนัก ๆ แต่สุดท้ายราคาข้าวไข่เจียวหมูสับที่เลย น่าจะแพงกว่าหรือเท่ากับกรุงเทพฯ เลยทีเดียว นั่นคือ 40 บาทถ้วน หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราก็นั่งรอ สักประมาณยี่สิบนาทีก่อนรถออกตอนแปดโมงเช้า พนักงานขายตั๋วก็นำพาสปอร์ตของเหล่านักเดินทางมาคืน พร้อมกับตั๋วและใบเข้าออกของไทยและลาวมาให้กรอก เราจัดการกรอกทั้งหมดทีเดียวเลย เพราะไม่อยากกังวล ตั๋วขาเข้าไทยกับขาออกจากลาวต้องเก็บไว้ให้ดี ๆ นะค่ะเดี๋ยวจะออกลาวและกลับเข้าประเทศไม่ได้ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเขาก็มีฟอร์มให้ที่ด่านนะค่ะ ณ เวลาแปดนาฬิกาตรง ผู้โดยสารทุกคนขึ้นรถ ดีใจที่ครั้งนี้คนไม่เต็มคันรถ อยากนั่งตรงไหนก็เลือกได้เลย แต่จริง ๆ แล้วเขามีที่นั่งระบุไว้ในตั๋ว แต่ในกรณีที่รถไม่เต็มเราก็สามารถเลือกนั่งได้ตามใจเลยค่ะ รถวิ่งออกมาห่างเรื่อย ๆ จนถึงด่านท่าลี่ จังหวัดเลย รถจอดให้ผู้โดยสารลงไปทำเรื่องที่ด่าน ใช้เวลาไม่นานเลยค่ะ แค่สักสิบนาทีเห็นจะได้ เพราะคนน้อยมาก หลังจากทุกคนขึ้นรถเสร็จสรรพ (ทุกครั้งที่ผู้โดยสารลง และขึ้นจะมีน้องเด็กประจำรถมานับจำนวนผู้โดยสารว่าครบไหมทุกครั้งเลย เพื่อเป็นการไม่หลงปล่อยผู้โดยสารทิ้งไว้กลางทาง เพราะไม่อยากเป็นปั๊ป โปเตโต้? พูดเล่นค่ะ)

รถวิ่งสักพักก็มาถึงด่านของลาวไม่แน่ใจเรียกว่าด่านอะไรนะค่ะ มีเรื่องตลก ๆ เกิดขึ้นกับเราที่ด่านนี้ นึกแล้วขำตัวเองมาก เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลย ประเทศลาวเป็นการเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก ดังนั้นจึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น รถบัสจอดที่ฝั่งไทยเพื่อให้พวกเราลงไปยื่นพาสปอร์ตและเอกสารขาเข้าลาว เราก็ลงเดินตามพี่ ๆ ที่เข้ามาด้วย และไม่ทันได้มองว่ารถเขาขับเข้าไปรอในฝั่งลาวแล้ว พอทำเสร็จ เราก็เดินด้วยท่าทางมาดมั่นกลับทางเดิมแบบว่ามั่นจริง ๆ ค่ะ เจ้าหน้าที่ของลาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นเรียกเราใหญ่เลย แล้วแอบแซวว่า จะเดินกลับไทยเหรอ โน้นรถรออยู่ฝั่งลาวแล้ว มาครั้งแรกซิท่า เรานี่อยากจะเอาหน้าซุกแผ่นคอนกรีตต้องนั้นมาก ๆ อายสุด ๆ ได้แต่พยักหน้าแล้วบอกว่าใช่ค่ะ (แต่แอบแหล่หนุ่มลาวคนนี้ หล่ออ่ะขอบอก) เมื่อครบกันแล้วออกเดินทางต่อเลยค่ะ ณ จุดนี้เราหลับค่ะ บอกตรง ๆ เพราะเหนื่อยมาจากนั่งรถจากกรุงเทพฯ แต่สักพักก็ตื่นเพราะถึงเวลากินข้าว เขาจอดกินข้าว ไม่ต้องจ่ายค่าข้าวนะค่ะ เพราะรวมอยู่ในราคาตั๋วแล้วค่ะ เรากินข้าวกระเพาเหมือนเดิม อาหารกันตายของเรา แต่แอบบ่นค่ะ ให้ข้าวเยอะมาก แต่ข้าวไม่สุก เราเลยกินแค่ไม่กี่คำก็อิ่มแล้ว จากนั้นก็จัดแจงเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าเหมือนเดิม กินเสร็จก็ขึ้นรถมานั่งรอคนอื่น ๆ เมื่อพร้อมก็ออกเดินทางกันต่อ ถนนจากเลยไปหลวงพระบางค่อนข้างดีค่ะ เราเลยหลับเหมือนเคย มีเป็นบางช่วงที่ตื่นขึ้นมาดูบ้านเมืองเขา และก็ถ่ายรูปวิวไปเรื่อย ๆ เหมื่อยก็หลับตามสเต็ป เราชอบก้อนเมฆที่ประเทศลาวมาก ๆ แอบหลงรักเลยก็ว่าได้ มันสวยมาก ดูได้จากภาพถ่ายข้างล่างเลยค่ะ



วิ่งมานานเท่าไรไม่รู้ (เพราะหลับ ตามเคย) มาสะดุ้งตกใจตื่นก็ตอนได้ยินเสียงครูดอย่างแรงเหมือนกันเราขับรถไปฝากรอยไว้ที่ข้างฝา แต่ตื่นขึ้นมาก็เห็นรถอีกคันอยู่ข้าง ๆ โอ้แม่เจ้า คุณพี่โชเฟอร์ขับรถถากรถที่จอดอยู่ข้างทางนี่เอง ถนนก็แคบ รถสวนมาก็ไม่ยอมฉะลอเลย พี่แกเล่นผ่ากลางมาซะงั้น เสียเวลาอีกครึ่งชั่วโมง นี่ไม่ได้รอประกันมาถึงนะค่ะ ถ้ารอคงจะประมาณสองชั่วโมง เขาจัดการคุยกันเสร็จแล้วขีดเครื่องหมายไว้บนถนน แลกเบอร์กันไว้ แล้วต่างคนต่างไป ขับรถมาสักประมาณครึ่งชั่วโมง สงสัยประกันนัดเจอกลางทาง พี่แกจอดรถเคลียร์กับประกันเสร็จ อีกครึ่งชั่วโมง เสร็จสรรพ ถึงหลวงพระบางหกโมงเย็นจ้า จากแปดโมงเช้าถึงหกโมงเย็น โอ้แม่เจ้า มันยาวนานมาก นั่งรถเหมื่อยก้นเลยทีเดียว พอลงจากรถพี่พลขับ แกก็ขอโทษขอโพยเรื่องอุบัติเหตุ ทำให้มาถึงช้า เราก็บอกว่าไม่เป็นไรจ๊ะ แค่ถึงโดยครบสามสิบสองก็ดีใจแล้วจ๊ะ เราเลยรวมตัวกับพี่คนไทยที่มากันสี่คน และไปซื้อตั๋วรถตู้ไปวังเวียงไว้ก่อน ได้มาจ่ายเงินไทยคนละ 447 บาทถ้วน หลังจากนั้นก็แอบตามเขาหารค่ารถเข้าเมืองด้วย แอบบ่นขนาดห้าคนตั้ง 50 บาทไทย ห้าคนก็ 250 บาทแล้ว แต่สำหรับเราถึงว่าคุ้ม เพราะเขาไปส่งให้ถึงที่พักเลยไม่ต้องเดินต่อ เพราะพี่ ๆ เขาลงที่ Joma Coffee กัน ก่อนลงเราก็นัดกันว่าพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวน้ำตกตาดกวางซี ด้วยกันจะได้หารค่ารถกัน เลยนัดกันว่าเจอกันที่ Joma Coffee ตอนเก้าโมงเช้าตรงนะ
วันแรกกับการเที่ยวหลวงพระบาง ณ น้ำตกตาดกวางซี
เรานัดคนขับรถว่าจะกลับตอนเที่ยงตรง แต่พี่ไทย ไม่ได้ช้านะค่ะ แต่แอบหาขอกิน ครั้งแรกที่เราลอง Sandwich ลาว มันใหญ่มากในราคาสิบห้าพันกีบค่ะ อันละสามสิบบาทได้ กินได้แค่ครึ่งเดียวก็ยอมแพ้ เก็บไว้กินมื้อเย็นดีกว่า 5555
ครึ่งวันเช้าเราหมดไปกับน้ำตก ตอนแรกว่าจะกลับที่พักไปขอนอนเอาแรง แต่นึกไปนึกมาไม่เอาดีกว่า เสียเวลามาแค่สองวันต้องเอาให้คุ้มทุกวินาที เราเลยจัดการเดินไปเที่ยววัดต่าง ๆ ต่อ เดินไปทั้ง ๆ ที่มีแผนที่แต่ก็ยังหลงเหมือนเดิมค่ะ แต่เรากลับพบว่าการหลงทางไม่ได้แย่อย่างที่หลาย ๆ คนคิดไว้ แต่กลับทำให้เราได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ สถานที่ ๆ เราไม่คิดว่าจะไปตั้งแต่แรก เราเดินกลับไปทางตลาดเช้า ซึ่ง ณ เวลานั้นเราไม่คิดว่ามันเป็นตลาดเช้าเพราะสภาพมันไม่เหมือนตลาดเช้า เพราะมีแผงผักอยู่ไม่กี่ร้าน เราตื่นเต้นกับสีสันของผักที่นี่มากจนอดถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ไวจริง ๆ ค่ะ สีสันสวยงามมาก ๆ



เราเดินมาสักพักตอนแรกว่าจะขึ้นพระธาตุภูสี แต่ขึ้นไปประมาณสิบขั้นได้ เราก็เปลี่ยนใจเดินลงมาดีกว่า ไว้ไปถ่ายพระอาทิตย์ตกดินน่าจะคุ้มค่าเข้ามากกว่า เราเลยหาน้ำดื่มเย็น ๆ ทาน เลยขอลองแป๊ปซี่ลาวซะหน่อย สนนราคาที่ 7000 กีบนั่นแเอง 28 บาทไทย นั่งดื่มพร้อมพักขาตรงนั้นแหล่ะค่ะ เลยได้รูปนี้มามีวัดเป็นแบ็คกราวน์ สวยไปอีกแบบ พอเสร็จเราก็จัดแจงตัวเองสะพานกระเป๋ากล้องเดินไปตามถนน เพื่อที่จะไปวัดต่าง Xieng Thong ซึ่งอยู่สุดปลายถนนเลยทีเดียว เดินไปเดินมาหลงอีก เลยแวะนั่งพัก และก็เดินมาเจอดอกไม้ขึ้นข้างทางที่หน้าวัดน้อง เราชอบนะมันสวยดี




หลังจากไปวัด XiengThong แล้วเราตัดสินใจเดินกลับที่พักซึ่ง ณ เวลานั้นเราคล่องเรื่องแผนที่แล้วค่ะ เลยเดินกลับได้อย่างสบายใจกลับมาก็แวะนั่งพักที่หน้าเคาเตอร์ เจ้าของแม่หญิงลาวนั่งอยู่เลยคุยกัน พร้อมกับมีหนุ่มมาเลย์นั่งอยู่ด้วยเลยคุยกันสนุกไปเลยหนึ่งวันจบไปอย่างประทับใจเจ้าของประเทศ และภูมิใจในตัวเองตอนเช้าวันสุดท้ายที่จะต้องออกจากหลวงพระบาง เราอุตส่าห์ตั้งนาฬิกาปลุกตอนตีห้า เพื่อที่จะมาตักบาตรข้าวเหนียว แต่ไหงเราไม่ยอมตื่นซะงั้น ตัดใจออกจากที่นอนตอนหกโมงครึ่ง ซึ่งกว่าจะอาบน้ำทำธุระเก็บของเตรียมพร้อม Checkout ก็ปาเข้าไปเจ็ดโมงกว่าๆ เราตัดสินใจแบกกล้องเดินตามทางไปถ่ายรูปก็แวะขึ้นไปไหว้พระธาตุภูสี ในที่สุด (หลังจากไม่ได้มาถ่ายพระอาทิตย์ตก) เหนื่อยมากกกกกกกก บันได้146ขั้นเล่นเอาเราหอบเลยทีเดียว บรรยากาศไม่เป็นใจ เพราะอาทิตย์ไม่ออกเลย เราเลยได้แต่ร่ำลาและหวังว่าจะมีโอกาสมาเยือนที่นี่ใหม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
[CR] เมื่อหัวใจตามหาฝัน ณ เมืองลาว
ครั้งแรกกับการไปเที่ยวต่างประเทศ และเป็นครั้งแรกที่ไปเที่ยวตามลำพัง ไม่ได้อกหัก ไม่ได้รักคุด ไม่ได้มีปัญหาครอบครัว แต่อยากพิสูจน์ตัวเองว่าเราอยู่ได้ เราสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเรา นำความรู้ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามาใช้ และที่สำคัญคือ เราชอบเดินทางท่องเที่ยวมากเป็นหนึ่งในความฝันของเราเลย ที่อยากจะเดินทางไปหลาย ๆ ประเทศให้ได้มากที่สุด นั่นจึงบังเกิดทริปโดดเดียวแต่ไม่เดียวดายขึ้น เหตุผลที่เราเลือกประเทศลาว เพื่อนบ้านผู้แสนดีของเรา คือ
2. ค่าเงิน-แน่นอนว่าเงินกีบถูก และลำพังเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเรา ปัจจัยนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
3. ความปลอดภัย-ถึงแม้จะไม่ใช้ประเทศที่ปลอดภัยสุด ๆ แต่สำหรับเราแล้วลาวยังถือได้ว่าปลอดภัยสำหรับนักเดินทางคนเดียว
4. ใกล้บ้าน--ภูมิประเทศที่ใกล้กับบ้านเราอย่างน้อยถ้ามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นยังใกล้บ้าน