คนญี่ปุ่นไปวัดเหมือนอย่างคนไทยหรือไม่ ? ประสบการณ์แม่บ้านไทยในเซนได

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา (12 สค.) จขกท.แม่บ้านไทยแห่งเมืองเซนได ทำหน้าที่พาแม่สามีไปวัดเป็นครั้งที่สองของปีนี้  
คราวก่อนที่ไปนั้นเป็นช่วงวิษุวัต (Spring equinox) หรือวันที่ 21 มีค.ที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Shunbun no hi เป็นวันที่ระยะเวลากลางวันและกลางคืนในฤดูใบไม้ผลิเท่ากัน
ครั้งที่สองคราวนี้ ไปในช่วงที่เรียกว่า Obon ซึ่งตรงกับวันที่ 13-16 สคของทุกปี เป็นช่วงที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าวิญญานบรรพบุรุษจะกลับมายังโลกมนุษย์และมาเยี่ยมบ้าน  ชาวญี่ปุ่นไม่ได้ไปวัดกันบ่อยๆเหมือนคนไทย โดยทั่วๆไปแล้วจะไปกันปีละ 3 ครั้งเท่านั้นแหละค่ะ คือ ในเดือนมีนาคม สิงหาคม และกันยายน

สามวันก่อนหน้าและหลังวันที่ 21 มีค. และวันที่ 23 กย. เรียกว่าเป็นช่วง" Ohigan" ครอบครัวจะไปสุสานเพื่อเซ่นไหว้และสวดภาวนาให้ดวงวิญญานบรรพบุรุษที่เชื่อว่าอยู่แดนสวรรค์นิรันดรน์ ส่วนการไปวัดช่วง Obon เดือนสค.นั้นเป็นการต้อนรับบรรพบุรุษที่กลับมาเยี่ยมโลก

การไปแต่ละครั้งนั้นคือไปความสะอาดสุสาน (Ohaka) ถวายเครื่องเซ่นไหว้และดอกไม้เป็นหลัก แต่ช่วงโอบ้งก็จะทำบุญและฟังพระสวดให้ดวงวิญญานบรรพบุรุษเป็นพิเศษเสียหน่อย

บริเวณ Kitayama ของเมืองเซนไดมีวัดเก่าๆเยอะมาก แต่ว่าวัดญี่ปุ่นหลายๆวัดมองดูแล้วคล้ายบ้าน เพื่อนคนไทยมาเที่ยวรำพึงว่าไม่ค่อยเห็นวัด
ค่ะ ก็เพราะวัดญี่ปุ่นทั่วๆไปนั้นไม่ใหญ่ ไม่มีเจดีย์หรืออาคารที่มีลวดลายวิลิศมาหรา ส่วนใหญ่มีพระอยู่องค์เดียวกับครอบครัว
จะรู้ว่าเป็นวัดได้โดยดูจากทางเข้าที่มีประตูเป็นซุ้มหลังคา เขียนชื่อวัดไว้ข้างบน สองข้างประตูบางทีจะมีเทวบาลอยู่ หากไม่มีเทวบาลก็จะมีเหมือนมีห้องเล็กๆขนาบข้างทางเข้า

นี่คือโบสถ์

สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว ไฮไลต์ของการไปวัด คือการไปเยี่ยม "สุสาน" (Ohaka) สุสานไม่น้อยอยู่แทรกไปตามบริเวณบ้านเรือนคนทั่วไป

การไปวัดของชาวญี่ปุ่น เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดสุสาน เช่นผ้าขี้ริ้ว ถุงขยะ ถุงมือ พลั่วหรือกรรไกรไว้จัดการกับวัชพืช และอุปกรณ์เซ่นไหว้เช่น ธูป ไม้ขีด ดอกไม้ ของกินที่ผู้ตายชอบเมื่อตอนมีชีวิตอยู่

ทุกครั้งก่อนถึงวัด แม่ญี่ปุ่นของจขกท. จะต้องบอกให้แวะร้านดอกไม้ก่อน  ซึ่งเป็นกิจวัตรเหมือนคนญี่ปุ่นอื่นๆที่ไปวัดกัน ในสามช่วงเวลาดังกล่าวของปี ทำให้ช่วงนั้นร้านดอกไม้จะมีลูกค้าเยอะมาก ดอกไม้ที่ขายดีเป็นพิเศษคือดอกไม้ที่จัดทำไว้สำหรับถวายวิญญานผู้ตาย มีป้ายติดว่า 供花 (เคียวคะ) แปลว่าดอกไม้เพื่อถวาย

มักจะมีดอกเบญจมาศเป็นหลักแซมด้วยดอกไม้อื่นๆ สมัยก่อนตอน จขกท.มาอยู่ญี่ปุ่นใหม่ๆ เคยได้ยินเพื่อนฝรั่ง 2-3 คนเล่ากันว่าเพราะเห็นว่าสวยดี มีคนซื้อเยอะ เลยซื้อมาประดับบ้านบ้าง เอาไปเยี่ยมคนป่วยกันมั่ง พอมารู้ที่หลังเมื่อเห็นผู้รับสีหน้าไม่ดี ร้อง Oh no! กันจ๊ากเลย


พอถึงวัด ก่อนอื่นใดจะตรงไปเอาถังที่มีตั้งเรียงไว้หลายใบ รองน้ำจากก๊อกน้ำ ฉวยผ้าขี้ริ้วและดิ่งไปที่สุสานของครอบครัวตนเอง ทำความสะอาดขัดถูจนเอี่ยมอ่องแล้ว รินน้ำใส่กรวยพลาสติคซึ่งอยู่ในช่องที่กำหนด แล้วใส่ดอกไม้ลงไป จากนั้นจุดธูปซึ่งก้านจะสั้นและผอมบางกว่าธูปไทยมาก แจกให้สมาชิกครอบครัวที่มาเพื่อนำไปใส่ในช่องที่มีไว้ตรงหินสุสาน เราจะเรียงแถวกันตามอาวุโสและความใกล้ชิดกับผู้ตายเข้าไปไหว้และใส่ธูปในช่องทีละคน

เมื่อใกล้เวลาที่พระสวด ทุกคนจะเข้าไปในโบสถ์เพื่อรอการเริ่มพิธี ในรูปคือบริเวณหน้าองค์พระประธาน ซึ่งองค์ไม่ใหญ่นัก ส่วนข้างหน้าเป็นอาสน์พระสงฆ์นั่งสวด ผู้คนที่มาก็นั่งบนเก้าอี้ (ทั้งๆที่บางตอนท่านเจ้าอาวาสจะย้ายไปนั่งกับพื้นตรงหน้าพระประธาน)


พระแต่ละลัทธิ มีเครื่องแต่งกายไม่เหมือนกัน วัดที่จขกท.พาแม่ไปนั้นเป็นวัดลัทธิ Jodo(浄土宗)ซึ่งเป็นลัทธิที่มีผู้นับถือมากที่สุดในญี่ปุ่น มีพระประธานคือพระ Amiddha Nyorai หลักคือให้เชื่อในพระอมิตาภพุทธะอย่างไม่มีข้อสงสัย และให้ท่อง Namuamiddha-butsu เข้าไว้ เมื่อเราตายไปจะไปสู่ดินแดนสุขาวดี ซึ่งที่นั่นจะมีพระอมิตาภพุทธะประทับอยู่ ณ ที่นั่นจะปฏิบัติธรรมกันอีกทีเพื่อเข้าสู่นิพพาน


การสวดจะเป็นการส่งผลบุญให้วิญญานผู้ตายเป็นหลัก เมื่อสวดเสร็จ ท่านเจ้าอาวาสก็ออกมากล่าวคำปาฐกถา โดยมักพูดเรื่องทั่วๆไป ไม่จำเป็นต้องเป็นการเทศนา วันที่จขกท.ไปนั้น ท่านเล่าถึงประสบการณ์สงครามโลก และโรคภัยไข้เจ็บที่ท่านรอดพ้นมาได้อย่างปาฏิหารย์ ท่านเสริมว่าที่รอดมาได้นั้นเพราะการท่องคำว่า Namuamiddha-butsu นี่เอง แล้วก้อเชื่อในพระอมิตาภพุทธะอย่างไม่มีเงื่อนไข

เสร็จจากปาฐกถา ท่านก็เชิญให้มรรคทายกทุกคนไปถวายธูปให้วิญญานบรรพบุรุษ ธูปคราวนี้เป็นธูปเม็ดที่อยู่ในโถค่ะ และจะมีไฟกรุ่นๆจุดอยู่ข้างๆ


เราจะใช้นิ้วหยิบธูป ยกขึ้นมาระดับหน้าผากแล้วขยี้ๆเบาๆ เสร็จแล้วโรยลงไปบนไฟกรุ่นๆที่อยู่ในโถข้างๆ


ยกมือไหว้ แล้วรีบเปิดทางให้คนที่รอคิวอยู่ข้างหลัง ประเทศนี้คนเยอะค่ะ ยืนแช่เพื่อสวดอะไรนานๆไม่ได้ คนต่อแถวรอกันเพียบ

เวลาเราต่อแถว มักไม่เห็นว่าคนที่อยู่ข้างหน้าทำอะไรกับธูป เพื่อนชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งที่เคยไปร่วมงานพิธี พยายามชะเง้อดูว่าคนข้างหน้าเค้าทำอย่างไร จะได้ทำตามบ้าง แต่เมื่อมองไม่เห็น เธอคิดว่าเขาเอาเข้าปาก ก็เลยทำมั่ง!! นึกภาพออกไหมคะว่าแทบบ้วนออกมาไม่ทันเลย

ชาวญี่ปุ่นไม่ได้ไปวัดด้วยจุดประสงค์อย่างเดียวกับคนไทย แต่จะเป็นการไปเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษเสียมากกว่า และที่ต่างจากของไทยมากๆคือเขาจะไปวัดที่บรรพบุรุษมีสุสานอยู่เท่านั้น ตระกูลเขาสังกัดลัทธิใด ณ วัดใด ก็จะต้องมีหน้าที่ต้องดูแลสุสานบรรพบุรุษของเขาที่วัดนั้นสืบไป ไม่มีการข้ามไปทำพิธีที่วัดอื่น  เนื่องจากญี่ปุ่นไม่ลอยอ้ฐลงน้ำ แต่จะใส่ทั้งหมดลงผอบใหญ่ๆและฝังร่วมกับบรรพบุรุษของตระกูล บางทีถึงกับเป็นเรื่องเบาะแว้งกันในครอบครัวเมื่อคู่สามีเป็นพุทธต่างนิกาย แลัวตกลงกันไม่ได้ว่าอัฐนั้นจะฝังไว้ที่สุสานวัดใด

ที่ญี่ปุ่นทุกอย่างถูกกำหนดให้อยู่ในกรอบอย่างเป็นระเบียบ แม้ตายแล้วยังถูกกำหนดว่าต้องกลับมาเยี่ยมครอบครัวลูกหลานทุกปีวันที่ 13 และกลับวันที่ 16 เดือนสิงหา เรียกว่าวิญญานก็ยังต้องมาตารางเวลาที่กำหนดไว้เลย เห็นด้วยไหมคะ ว่าสุดยอดของความเป็นระเบียบจริงๆ !!!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่