สวัสดีครับ
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างไม่ตั้งใจ
ใช้เวลาปุ๊บปั๊บทำพาสปอร์ตไม่ต้องยื่นวีซ่าไม่คิดว่าจะเป็นประเทศที่ไปได้สะดวกสบายขนาดนี้
ซึ่งผมไปด้วยแพคเกจทัวร์ใช้เวลาไม่กี่วัน สถานที่ท่องเที่ยวไม่ได้ศึกษา
ขนมเขนิม สถานที่ยอดฮิต ที่ที่นักท่องเที่ยวต้องไป ผมไม่รู้จัก เขาพาไปไหนก็ไป
มีในหัวที่ผมสนใจคงจะเป็นคือเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติเสียมากกว่า
นอกจากนั้นก็ไปตายเอาดาบหน้าลูกเดียวยังไงไปกับทัวร์สบายอยู่แล้ว
เริ่มกันเลยดีกว่า
ผมบินออกจากสุวรรณภูมิในช่วงเวลาประมาณตีหนึ่งของประเทศไทย
เพื่อไปถึงประเทศญี่ปุ่นในช่วงเช้าเพื่อจะได้ออกสตาร์ทเที่ยวตามกำหนดเวลาที่ค่อนข้างจำกัด
คือนอนให้เต็มอิ่มบนเครื่องถึงนู้นปุ๊บก็ไม่ต้องประบอารมณ์จิบกาแฟเราออกเที่ยวกันเลย
ขอแนะนำว่าเตรียมอะไรอุดไว้ตลอดเวลาดีกว่าระหว่างนั่งเพราะจะมีเสียงรบกวนมากมาย
ถ้าปกติเขาจะมีหูฟังมาให้สำหรบใช้บนเครื่องก็พอกั้นเสียงได้นิดๆ หน่อยๆ
ใส่ไว้แบบไม่ต้องเปิดเสียงอะไรก็ได้ครับ ที่นั่งของผมเข่าชิดที่นั่งช้างหน้าเมื่อยครับ
สี่ห้าชั่วโมงนั่งๆ ปวดๆ แบบทนๆ ไป ดูหนังเพลินๆ ได้สองเรื่องจบแบบครบถ้วน
ผมแลนด์ดิ่งที่สนามบินคันไซน่าจะเป็นเที่ยวบินแรกๆ ที่แตะสนามบินในเวลานั้น
เพราะไม่ได้เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตัวอาคารมีสองส่วน หลังจากลงปุ๊บเราก็นั่งรถไฟฟ้าไปอีกอาคารในระยะสั้นๆ
ถามว่าความรู้สึกแรกเป็นยังไง อากาศไม่ค่อยหนาวมากในตัวอาคาร
แต่แค่เดินออกไปปุ๊บ โอ้โห สบายมากครับ หนาวกว่าเดิมแบบมีลมโชยๆ ให้สบายตัว
ระหว่างรอรถบัสของคณะทัวร์มารับ ผมเลยขอเดินชมสนามบินสักหน่อย
ความรู้สึกที่มาที่นี้ตลอดเวลาคือ ที่นี้มีอะไรแปลกกว่าเมืองไทยของเรากัน
ลืมบอกไปว่าสนามบินคันไซเป็นสนามบินที่ใช้ขยะถมทะเลแล้วสร้าง
ผมเลยจะลงภาพที่เป็นการเดินทางระหว่างตัวสนามบินกับฝั่งที่เราต้องนั่งสะพานข้ามไปทอด
บรรยากาศของสนามบินคันไซ
พอเราจะออกจากสนามบินก็จะต้องนั่งรถผ่านสะพานทุกครั้งครับ
เนื่องจากตัวสนามบินอย่างที่ผมบอกไปถูกถมด้วยขยะไว้กลางทะเล ไฮเทค สมกับเป็นประเทศญี่ปุ่นจริงๆ
สถานที่แรกที่เราจะไปในวันนี้คือวัด Fushimi Inari
หรือวัดจิ้งจอก หรือวัดที่มีไม้ท่อนสีแดงเรียงๆ กัน ที่คนไทยคุ้นเคย
อ่านต่อที่คอมเมนต์เลยครับ
ท่องญี่ปุ่นจากคันไซถึงนาริตะ
สวัสดีครับ
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างไม่ตั้งใจ
ใช้เวลาปุ๊บปั๊บทำพาสปอร์ตไม่ต้องยื่นวีซ่าไม่คิดว่าจะเป็นประเทศที่ไปได้สะดวกสบายขนาดนี้
ซึ่งผมไปด้วยแพคเกจทัวร์ใช้เวลาไม่กี่วัน สถานที่ท่องเที่ยวไม่ได้ศึกษา
ขนมเขนิม สถานที่ยอดฮิต ที่ที่นักท่องเที่ยวต้องไป ผมไม่รู้จัก เขาพาไปไหนก็ไป
มีในหัวที่ผมสนใจคงจะเป็นคือเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติเสียมากกว่า
นอกจากนั้นก็ไปตายเอาดาบหน้าลูกเดียวยังไงไปกับทัวร์สบายอยู่แล้ว
เริ่มกันเลยดีกว่า
ผมบินออกจากสุวรรณภูมิในช่วงเวลาประมาณตีหนึ่งของประเทศไทย
เพื่อไปถึงประเทศญี่ปุ่นในช่วงเช้าเพื่อจะได้ออกสตาร์ทเที่ยวตามกำหนดเวลาที่ค่อนข้างจำกัด
คือนอนให้เต็มอิ่มบนเครื่องถึงนู้นปุ๊บก็ไม่ต้องประบอารมณ์จิบกาแฟเราออกเที่ยวกันเลย
ขอแนะนำว่าเตรียมอะไรอุดไว้ตลอดเวลาดีกว่าระหว่างนั่งเพราะจะมีเสียงรบกวนมากมาย
ถ้าปกติเขาจะมีหูฟังมาให้สำหรบใช้บนเครื่องก็พอกั้นเสียงได้นิดๆ หน่อยๆ
ใส่ไว้แบบไม่ต้องเปิดเสียงอะไรก็ได้ครับ ที่นั่งของผมเข่าชิดที่นั่งช้างหน้าเมื่อยครับ
สี่ห้าชั่วโมงนั่งๆ ปวดๆ แบบทนๆ ไป ดูหนังเพลินๆ ได้สองเรื่องจบแบบครบถ้วน
ผมแลนด์ดิ่งที่สนามบินคันไซน่าจะเป็นเที่ยวบินแรกๆ ที่แตะสนามบินในเวลานั้น
เพราะไม่ได้เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตัวอาคารมีสองส่วน หลังจากลงปุ๊บเราก็นั่งรถไฟฟ้าไปอีกอาคารในระยะสั้นๆ
ถามว่าความรู้สึกแรกเป็นยังไง อากาศไม่ค่อยหนาวมากในตัวอาคาร
แต่แค่เดินออกไปปุ๊บ โอ้โห สบายมากครับ หนาวกว่าเดิมแบบมีลมโชยๆ ให้สบายตัว
ระหว่างรอรถบัสของคณะทัวร์มารับ ผมเลยขอเดินชมสนามบินสักหน่อย
ความรู้สึกที่มาที่นี้ตลอดเวลาคือ ที่นี้มีอะไรแปลกกว่าเมืองไทยของเรากัน
ลืมบอกไปว่าสนามบินคันไซเป็นสนามบินที่ใช้ขยะถมทะเลแล้วสร้าง
ผมเลยจะลงภาพที่เป็นการเดินทางระหว่างตัวสนามบินกับฝั่งที่เราต้องนั่งสะพานข้ามไปทอด
บรรยากาศของสนามบินคันไซ
พอเราจะออกจากสนามบินก็จะต้องนั่งรถผ่านสะพานทุกครั้งครับ
เนื่องจากตัวสนามบินอย่างที่ผมบอกไปถูกถมด้วยขยะไว้กลางทะเล ไฮเทค สมกับเป็นประเทศญี่ปุ่นจริงๆ
สถานที่แรกที่เราจะไปในวันนี้คือวัด Fushimi Inari
หรือวัดจิ้งจอก หรือวัดที่มีไม้ท่อนสีแดงเรียงๆ กัน ที่คนไทยคุ้นเคย