สวัสดีค่ะ...^^ หลังจากที่ตามอ่านรีวิวของใครหลายคน และบทความต่างๆของคุ้งน้ำแห่งนี้มาพอสมควร
คุ้งน้ำที่ได้รับคำกล่าวขานว่า "ปอดของคนเมือง" แล้ววันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่ได้มาเยือนแล้วจริงๆ เย้ๆ โดยทริปนี้เราจะ ปั่น ปั่น จักรยานไป ปั่น ปั่น จักรยานกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.sarakadee.com/2015/01/27/bangkajao/
เริ่มจากเดินทางมาถึงวัดคลองเตยนอก เดินเข้ามาสุดซอยจะเจอท่าเรือ จากนั้นก็จัดการซื้อตั๋วเรือข้ามฟาก ราคา 10 บาท/คน/เที่ยว
เรือข้ามฟากมีทั้งขนาดเล็ก โดยสารได้ไม่เกิน 10 คน และเรือขนาดกลางโดยสารได้ประมาณ 20 คน ระยะเวลาแค่อึดใจเดียวค่ะ ไม่ถึง 10 นาที
แล้วเราก็จะเจอท่าเรือของอีกฟาก ชาวบ้านเรียกว่า "ท่าเรือกำนันขาว"
ลักษณะเรือข้ามฟาก มี 2 ขนาดอย่างที่บอกค่ะ อันนี้ถ่ายรูปตอนขากลับ เพราะขาไปมัวตื่นเต้นกับคลื่นแรงจากเรือขนส่งสินค้าผ่าน
ณ ท่าเรือกำนันขาว ก็มีร้านเช่าจักรยานตรงนี้เลยค่ะ การเช่าจักรยานก็วางบัตรประชาชน แล้วจ่ายเงินค่าเช่า 100 บาท/คัน/วัน
ก่อนจะตกลงปลงใจกับจักรยานคันเก่ง ก็ลองปั่นก่อนซักเล็กน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าจักรยานคันที่เราเลือกโอเคสำหรับเรา เพราะบางคันสูง ขาเราอาจจะไม่ถึง เช็คลมยาง เช็คเบรคให้ดี พอแน่ใจแล้วว่า คันนี้แหละที่ใช่ ก็รับแผนที่และที่ล๊อกจักรยาน จากนั้นก็สามารถปั่นได้เลยค่ะ
>>> ใครที่กลัวหลง บอกได้เลยไม่ต้องกลัวค่ะ สำหรับเราแผนที่ช่วยได้บ้าง แต่ทางอยู่ที่ปากค่ะ คนในชุมชนนี้เขาจะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลมากๆค่ะ แค่เราจอดจักรยาน มองซ้ายมองขวา เกาหัวทำหน้างง เขาก็บอกทางแล้วว่า ไปทางนั้นสิหนู ทางนี้ทางตัน หรือก็จะถามก่อนเลยว่า จะไปไหน ถามกันได้นะ บอกเลยว่าน่ารักมากจริงๆ รักเลยค่ะ

ลักษณะเส้นทางหลัก เป็นทางใหญ่รถราก็วิ่งกันราวทำความเร็วกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นในวันเสาร์-อาทิตย์มีตลาดน้ำ จึงทำให้รถค่อนข้างเยอะ ตอนปั่นบนเส้นทางหลักบอกเลย รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยค่ะ ต้องปั่นจักรยานอย่างระมัดระวังมากๆ และชิดซ้ายให้มากที่สุด จะให้ดีเลือกทางลัดเข้าหมู่บ้านดีที่สุดนะคะ
>>> เริ่มที่แรกกันเลยค่ะ ปั่นมาตามถนนหลักประมาณไม่ถึงกิโลเมตร จะเจอป้ายบอกว่าพิพิธภัณฑ์ปลากัดไทยอยู่ซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยค่ะเราก็จะถึง พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย ที่นี่นอกจากจะมีปลากัดให้ทำความรู้จักแล้ว ก็ยังมีร้านกาแฟและบริการที่พักอีกด้วยค่ะ
พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทยสร้างในลักษณะเป็นบ้านเรือนไทยและสร้างขึ้นในสวนที่ร่มรื่นค่ะ ใต้ถุนบ้านมีน้องปลากัดที่ว่ายอยู่ในขวดโหลให้เราได้ทำความรู้จักทักทาย แต่อย่าเคาะโหลนะคะ เดี๋ยวน้องปลากัดตกใจ...

ในรูปนี้ ชื่อว่า Half Moon พระจันทร์ครึ่งดวง ก็คงดูที่ลักษณะของครีบหางที่สั้นกลม เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง
ปลากัดชนิดนี้เราชอบเป็นพิเศษ หูใหญ่ฟรุ้งฟริ้งค่ะ ชื่อว่าปลากัดหูช้าง
นอกจากพ่อพันธ์แม่พันธุ์ตัวเต็มไว้แล้ว เราก็ยังสามารถส่องปลากัดตัวเล็กตามบ่อใต้ต้นไม้ได้อีกค่ะ
น้องปลาขี้อายมากค่ะ พอส่องกล้องก็โผล่ออกมาแอบดูว่า แล้วพูดว่า "สวัสดี มนุษย์!!! มาแอบดูฉันใช่ไหม ฉันเขินนะคะ"


หลังจากนั้นเราก็มานั่งพักร้านกาแฟ กรอกกาแฟสดใส่ร่างกายของนกฮูกในร่างผู้หญิงคนนี้

แล้วก็นั่งชิว....นั่งฟังเสียงนกตามประสาคนนอนเช้าอย่างเรา พอมีแรงก็ปั่นต่อไปอย่างช้าๆ
ทีนี้เราเลือกปั่นเข้าซอยเล็กๆ ซอกซอยไหนเข้าหมด ส่วนทางข้างหน้าจะไปโผล่ไหนอยู่ที่พระเจ้าจะนำทาง ทางต่อไปนี้เป็นทางแคบค่ะ เวลามีคนอื่นปั่นสวนมาต้องจอดแล้วยิ้ม โบกมือ .....ถ้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีหน่อยก็ยิ้มหวานตาเป็นสระอิ ส่งจุ๊บ! อ่ะ มโนไปเรื่อนเปื่อย

....เลิกมโนแล้วเข้าเรื่องค่ะ คือว่าต้องปั่นแบบมีสตินะลูกนะ สติ! ลูก! สติ อ่านว่า สะ-ติ! (ตาปรืออออ)

คือว่าถ้าพลาด ก็คือท้องร่องค่ะ กลายเป็นชุบโคลนไปเลยค่ะ...แต่ก็ดีกว่าปั่นผจญภัยกลางถนนสายหลัก เสี่ยงโดยสอยจะรถยนต์
ข้างทาง ณ จุด จุดนี้ เราก็จะผ่านหน้าบ้านบ้าง หลังบ้านบ้าง ....สวนผัก สวนผลไม้ ส้มโอ มะนาว มะพร้าว ตะไคร้ ขิง ข่า ผักบุ้ง ดูแล้วน่าจะมีเยอะแยะมากมายค่ะ เอาเป็นว่าปลูกทุกอย่างที่คิดว่าปลูกได้ ปลูกหมดค่ะ
รูปนี้เป็นตัวอย่างค่ะ แต่รกนิดหน่อย ลักษณะของสวนแบบนี้ว่ากันว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยแท้ เรียกว่า สวนยกร่อง ที่ต้องขุดมาก็เพื่อพื้นที่เหล่านี้เป็นที่ลุ่มใกล้กับทะเล พอน้ำทะเลขึ้น น้ำเค็มก็จะมา ทีนี้พืชผักก็จะตายเป็นโรคไตกันหมดเพราะกินเค็มเยอะเกิน (ล้อเล่นค่ะ พืชผักมีไตที่ไหนล่ะ เอ้อออ!!!)

ก็เลยขุดดินยกขึ้นหนีน้ำ แล้วก็ได้ผลดีค่ะ ทีนี้หล่ะทำกันทั่วคุ้งเลย
จอดจักรยานถ่ายรูปซักหน่อย
นี่ไง พอคุณป้าเดินมา คุณป้ายิ้มแล้วบอกว่าไปทางนี้ได้เลย คือเขากลัวเราหลงค่ะ มีคนบอกทางตลอด ย้ำว่าคนในนี้อัธยาศัยน่ารักมากๆค่ะ
ตามทางไปเรื่อยค่ะ ถามคนบ้างดูป้ายบ้าง ก็มาโผล่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ขนม อาหารการกิน เสื้อผ้า ต้นไม้มีขายทุกสิ่งค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะคนค่อนข้างเยอะ เราจะยืนถ่ายรูปกลางทางก็กระไรอยู่ หวั่นคนข้างหลังตาขวางใส่เพราะเรากำลังขวางทางเขาอยู่
นี่ลูกอะไรคะ มีคนเอามาวางขาย ถามว่าต้นเป็นยังไง เขาชี้ขึ้นข้างบน เรามองตาม โอ้!! ห้อยโตงเตง จะหล่นใส่หัวอิฉันไหมคะ ฮึ๊!!
เดินหาของกินกรุ๊บๆกริ๊บๆ ก็มาหาที่นั่งหลบมุม เป็นบ้านทรงไทยข้างในมีร้านกาแฟ แต่เขาติดป้ายบอกว่า เชิญนั่งพักฟรี อิฉันก็ไม่ขัดศรัทธา ดิ่งเข้าไปเลยจ้า
ก็มีกลุ่มที่เขาเอาจักรยานมาปั่นเองก็มี เอาใส่เรือข้ามาเลยก็เยอะค่ะ
กินอิ่ม นั่งพัก ก็ไปจุดหมายต่อไป คือบ้านธูป ที่นี่เป็นศูนย์กลางของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เป็นศูนย์เรียนรู้ค่ะ รับสอนทำธูป ทำผ้ามัดย้อม มีกิจกรรมสำหรับคนที่มาคนเดียว สองคน สามคน เป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ มาได้หมดค่ะ มาเองก็เดินไปเลยค่ะ อุปกรณ์พร้อมให้ทดลองทำ ส่วนกลุ่มใหญ่ต้องติดต่อไปก่อนนะคะ
ในวันนี้ก็มีกลุ่มแม่บ้านมาฝึกทำธูปค่ะ คุณป้าบอกว่ามาเรียนแล้วก็จะเอาไปพัฒนาทำของกลุ่มตัวเอง
ส่วนเรานี่เลยค่ะ เลือกที่จะทำผ้ามัดย้อม งานศิลเปอะ เอ้ย! ศิลปะ เอ้ย! ถูกแล้ว...ศิลปะเท่านั้นที่เราคู่ควร

โดยกระบวนการก็คือ เจ้าหน้าจะแจกอุปกรณ์ แล้วจ่ายเงิน 60 บาท ทำเสร็จแล้วนำกลับไปเป็นของที่ระลึกได้เลย แล้วน้องเจ้าหน้ามาสอนว่าวิธีการพับผ้าว่าจะมัดสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือจะมัดยังไงก็แล้วแต่ แล้วก็จัดการใช้หนังยางมัดผ้า มัดอย่างไร มัดแน่น มัดหลวมแล้วแต่เลยค่ะ แล้วก็จัดการลงสี ซึ่งสีที่เตรียมไว้ก็มีแม่สี ทีนี้จัดการละเลงค่ะ ใส่สีอะไรตรงไหน เอาที่สบายใจกันเลยทีเดียว ซึ่งแต่ละคนไม่รู้หรอกค่ะว่าลายที่ออกมาจะเป็นลายแบบไหน บางคนพับเหมือนกัน ลงสีก็ว่าเหมือนกันแล้วนะ แต่ลายออกมา "ทำไมไม่เหมือนกัน งง"

นี่แหละค่ะ ผลลัพธ์ของความไม่คาดหวัง ศิลปะไร้ขอบเขต ศิลปะยาวแต่ชีวิตสั้น ว่าไปนั่นไม่เชื่อดูรูปเลยค่ะ
พับเหมือนกัน ลงสีก็คิดว่าน่าจะเหมือนกัน ลายออกมาก็ ไม่เหมือนกัน!!
ไม่เหมือนกันซักผืนค่ะ แต่สวยทุกผืน สวยคนละแบบ
ที่ต่อไปค่ะ "ศูนย์จัดการพื้นที่สีเขียวเชิงนิเวศนครเขื่อนขันธ์" เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ค่ะ มีต้นไม้ขึ้นเขียวเต็มไปหมด มีลุงร้านขายไอติมเล่าว่าที่ันั่นนะตอนเช้าๆ ลุงไปปั่นจักรยานทุกวัน โอ๊ยยยย อากาศดีอย่าบอกใคร คราวหน้าหนูมานะ มาซักหกโมง รับรองว่าสดชื่นมาก


พอมาถึงสมคำกล่าวอ้างค่ะ ร่มรื่น สวยงามจริงๆ ธรรมชาติล้วนที่คุณสมผัสได้ในเวลาเพียงข้ามน้ำเจ้าพระยามาเท่านี้เอง
ปั่นวนได้รอบแล้วพักถ่ายรูปใบสองใบ ดูนาฬิกาก็บ่ายสี่ ได้เวลากลับบ้านกลับช่อง ก่อนจะกลับแวะซื้อน้ำแข็งใสคุณป้าซักหน่อย
ทีแรกอยากกินน้ำมะพร้าว แต่เห็นน้ำแข็งใจ โอ๊ะ! เปลี่ยนใจ ระหว่างรอคุณป้าไสน้ำแข็ง ได้ยินคุณป้าเมาส์มอยกับเพื่อน
เพื่อนคุณป้า : นี่มะพร้าว เอาไว้ทำไร
คุณป้า : ล้างหน้าแกไง
แหมมมมม คุณป้าแซ๊บ!

ก่อนจากมาเพื่อนคุณป้าฝากเราว่า หนูๆ หาผู้ชายฝรั่งที่ป้าเขาซักคนนะ เขาอยากได้

แหนะแซ๊บได้อีก....ระหว่างทางมีรอยยิ้มตลอดเวลา เพราะคนที่นี่อารมณ์ดี
ถึงท่าเรือรับบัตรประจำตัวประชาชนคืน คืนจักรยาน แล้วลงเรือกลับราคาเท่าเดิม 10 บาท/คน/เที่ยว
สรุปค่าเดินทางมาเติมออกซิเจนให้ปอดที่บางกระเจ้าครั้งมีดังนี้ค่ะ
1.ค่าแท๊กซี่จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีศูนย์สิริกิต มาวัดคลองเตย 50 บาท
2.ค่าเรือข้ามฟาก 10 บาท/คน/เที่ยว
3.ค่าเช่าจักรยาน 100 บาท/คัน/วัน
4.ค่าทำผ้ามัดย้อม 60 บาท/คน
5. ค่าอาหารการกิน ซื้อของ ตามอัธยาศัย สำหรับ จขกท กินตลอดทาง กาแฟ ไอติม หอยทอด น้ำแข็งใส หมดไปประมาณ 200 บาท
6. ค่ารถเมล์ 7บาท/คน

ค่าเดินทางหมด ไปถึง 500 บ
[CR] [REVIEW] บางกระเจ้า : The Best Urban Oasis of Asia
คุ้งน้ำที่ได้รับคำกล่าวขานว่า "ปอดของคนเมือง" แล้ววันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่ได้มาเยือนแล้วจริงๆ เย้ๆ โดยทริปนี้เราจะ ปั่น ปั่น จักรยานไป ปั่น ปั่น จักรยานกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เริ่มจากเดินทางมาถึงวัดคลองเตยนอก เดินเข้ามาสุดซอยจะเจอท่าเรือ จากนั้นก็จัดการซื้อตั๋วเรือข้ามฟาก ราคา 10 บาท/คน/เที่ยว
เรือข้ามฟากมีทั้งขนาดเล็ก โดยสารได้ไม่เกิน 10 คน และเรือขนาดกลางโดยสารได้ประมาณ 20 คน ระยะเวลาแค่อึดใจเดียวค่ะ ไม่ถึง 10 นาที
แล้วเราก็จะเจอท่าเรือของอีกฟาก ชาวบ้านเรียกว่า "ท่าเรือกำนันขาว"
ลักษณะเรือข้ามฟาก มี 2 ขนาดอย่างที่บอกค่ะ อันนี้ถ่ายรูปตอนขากลับ เพราะขาไปมัวตื่นเต้นกับคลื่นแรงจากเรือขนส่งสินค้าผ่าน
ณ ท่าเรือกำนันขาว ก็มีร้านเช่าจักรยานตรงนี้เลยค่ะ การเช่าจักรยานก็วางบัตรประชาชน แล้วจ่ายเงินค่าเช่า 100 บาท/คัน/วัน
ก่อนจะตกลงปลงใจกับจักรยานคันเก่ง ก็ลองปั่นก่อนซักเล็กน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าจักรยานคันที่เราเลือกโอเคสำหรับเรา เพราะบางคันสูง ขาเราอาจจะไม่ถึง เช็คลมยาง เช็คเบรคให้ดี พอแน่ใจแล้วว่า คันนี้แหละที่ใช่ ก็รับแผนที่และที่ล๊อกจักรยาน จากนั้นก็สามารถปั่นได้เลยค่ะ
>>> ใครที่กลัวหลง บอกได้เลยไม่ต้องกลัวค่ะ สำหรับเราแผนที่ช่วยได้บ้าง แต่ทางอยู่ที่ปากค่ะ คนในชุมชนนี้เขาจะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลมากๆค่ะ แค่เราจอดจักรยาน มองซ้ายมองขวา เกาหัวทำหน้างง เขาก็บอกทางแล้วว่า ไปทางนั้นสิหนู ทางนี้ทางตัน หรือก็จะถามก่อนเลยว่า จะไปไหน ถามกันได้นะ บอกเลยว่าน่ารักมากจริงๆ รักเลยค่ะ
ลักษณะเส้นทางหลัก เป็นทางใหญ่รถราก็วิ่งกันราวทำความเร็วกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นในวันเสาร์-อาทิตย์มีตลาดน้ำ จึงทำให้รถค่อนข้างเยอะ ตอนปั่นบนเส้นทางหลักบอกเลย รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยค่ะ ต้องปั่นจักรยานอย่างระมัดระวังมากๆ และชิดซ้ายให้มากที่สุด จะให้ดีเลือกทางลัดเข้าหมู่บ้านดีที่สุดนะคะ
>>> เริ่มที่แรกกันเลยค่ะ ปั่นมาตามถนนหลักประมาณไม่ถึงกิโลเมตร จะเจอป้ายบอกว่าพิพิธภัณฑ์ปลากัดไทยอยู่ซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยค่ะเราก็จะถึง พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย ที่นี่นอกจากจะมีปลากัดให้ทำความรู้จักแล้ว ก็ยังมีร้านกาแฟและบริการที่พักอีกด้วยค่ะ
พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทยสร้างในลักษณะเป็นบ้านเรือนไทยและสร้างขึ้นในสวนที่ร่มรื่นค่ะ ใต้ถุนบ้านมีน้องปลากัดที่ว่ายอยู่ในขวดโหลให้เราได้ทำความรู้จักทักทาย แต่อย่าเคาะโหลนะคะ เดี๋ยวน้องปลากัดตกใจ...
ในรูปนี้ ชื่อว่า Half Moon พระจันทร์ครึ่งดวง ก็คงดูที่ลักษณะของครีบหางที่สั้นกลม เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง
ปลากัดชนิดนี้เราชอบเป็นพิเศษ หูใหญ่ฟรุ้งฟริ้งค่ะ ชื่อว่าปลากัดหูช้าง
นอกจากพ่อพันธ์แม่พันธุ์ตัวเต็มไว้แล้ว เราก็ยังสามารถส่องปลากัดตัวเล็กตามบ่อใต้ต้นไม้ได้อีกค่ะ
น้องปลาขี้อายมากค่ะ พอส่องกล้องก็โผล่ออกมาแอบดูว่า แล้วพูดว่า "สวัสดี มนุษย์!!! มาแอบดูฉันใช่ไหม ฉันเขินนะคะ"
หลังจากนั้นเราก็มานั่งพักร้านกาแฟ กรอกกาแฟสดใส่ร่างกายของนกฮูกในร่างผู้หญิงคนนี้
ทีนี้เราเลือกปั่นเข้าซอยเล็กๆ ซอกซอยไหนเข้าหมด ส่วนทางข้างหน้าจะไปโผล่ไหนอยู่ที่พระเจ้าจะนำทาง ทางต่อไปนี้เป็นทางแคบค่ะ เวลามีคนอื่นปั่นสวนมาต้องจอดแล้วยิ้ม โบกมือ .....ถ้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีหน่อยก็ยิ้มหวานตาเป็นสระอิ ส่งจุ๊บ! อ่ะ มโนไปเรื่อนเปื่อย
ข้างทาง ณ จุด จุดนี้ เราก็จะผ่านหน้าบ้านบ้าง หลังบ้านบ้าง ....สวนผัก สวนผลไม้ ส้มโอ มะนาว มะพร้าว ตะไคร้ ขิง ข่า ผักบุ้ง ดูแล้วน่าจะมีเยอะแยะมากมายค่ะ เอาเป็นว่าปลูกทุกอย่างที่คิดว่าปลูกได้ ปลูกหมดค่ะ
รูปนี้เป็นตัวอย่างค่ะ แต่รกนิดหน่อย ลักษณะของสวนแบบนี้ว่ากันว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยแท้ เรียกว่า สวนยกร่อง ที่ต้องขุดมาก็เพื่อพื้นที่เหล่านี้เป็นที่ลุ่มใกล้กับทะเล พอน้ำทะเลขึ้น น้ำเค็มก็จะมา ทีนี้พืชผักก็จะตายเป็นโรคไตกันหมดเพราะกินเค็มเยอะเกิน (ล้อเล่นค่ะ พืชผักมีไตที่ไหนล่ะ เอ้อออ!!!)
จอดจักรยานถ่ายรูปซักหน่อย
นี่ไง พอคุณป้าเดินมา คุณป้ายิ้มแล้วบอกว่าไปทางนี้ได้เลย คือเขากลัวเราหลงค่ะ มีคนบอกทางตลอด ย้ำว่าคนในนี้อัธยาศัยน่ารักมากๆค่ะ
ตามทางไปเรื่อยค่ะ ถามคนบ้างดูป้ายบ้าง ก็มาโผล่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ขนม อาหารการกิน เสื้อผ้า ต้นไม้มีขายทุกสิ่งค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะคนค่อนข้างเยอะ เราจะยืนถ่ายรูปกลางทางก็กระไรอยู่ หวั่นคนข้างหลังตาขวางใส่เพราะเรากำลังขวางทางเขาอยู่
นี่ลูกอะไรคะ มีคนเอามาวางขาย ถามว่าต้นเป็นยังไง เขาชี้ขึ้นข้างบน เรามองตาม โอ้!! ห้อยโตงเตง จะหล่นใส่หัวอิฉันไหมคะ ฮึ๊!!
เดินหาของกินกรุ๊บๆกริ๊บๆ ก็มาหาที่นั่งหลบมุม เป็นบ้านทรงไทยข้างในมีร้านกาแฟ แต่เขาติดป้ายบอกว่า เชิญนั่งพักฟรี อิฉันก็ไม่ขัดศรัทธา ดิ่งเข้าไปเลยจ้า
ก็มีกลุ่มที่เขาเอาจักรยานมาปั่นเองก็มี เอาใส่เรือข้ามาเลยก็เยอะค่ะ
กินอิ่ม นั่งพัก ก็ไปจุดหมายต่อไป คือบ้านธูป ที่นี่เป็นศูนย์กลางของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เป็นศูนย์เรียนรู้ค่ะ รับสอนทำธูป ทำผ้ามัดย้อม มีกิจกรรมสำหรับคนที่มาคนเดียว สองคน สามคน เป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ มาได้หมดค่ะ มาเองก็เดินไปเลยค่ะ อุปกรณ์พร้อมให้ทดลองทำ ส่วนกลุ่มใหญ่ต้องติดต่อไปก่อนนะคะ
ในวันนี้ก็มีกลุ่มแม่บ้านมาฝึกทำธูปค่ะ คุณป้าบอกว่ามาเรียนแล้วก็จะเอาไปพัฒนาทำของกลุ่มตัวเอง
ส่วนเรานี่เลยค่ะ เลือกที่จะทำผ้ามัดย้อม งานศิลเปอะ เอ้ย! ศิลปะ เอ้ย! ถูกแล้ว...ศิลปะเท่านั้นที่เราคู่ควร
โดยกระบวนการก็คือ เจ้าหน้าจะแจกอุปกรณ์ แล้วจ่ายเงิน 60 บาท ทำเสร็จแล้วนำกลับไปเป็นของที่ระลึกได้เลย แล้วน้องเจ้าหน้ามาสอนว่าวิธีการพับผ้าว่าจะมัดสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือจะมัดยังไงก็แล้วแต่ แล้วก็จัดการใช้หนังยางมัดผ้า มัดอย่างไร มัดแน่น มัดหลวมแล้วแต่เลยค่ะ แล้วก็จัดการลงสี ซึ่งสีที่เตรียมไว้ก็มีแม่สี ทีนี้จัดการละเลงค่ะ ใส่สีอะไรตรงไหน เอาที่สบายใจกันเลยทีเดียว ซึ่งแต่ละคนไม่รู้หรอกค่ะว่าลายที่ออกมาจะเป็นลายแบบไหน บางคนพับเหมือนกัน ลงสีก็ว่าเหมือนกันแล้วนะ แต่ลายออกมา "ทำไมไม่เหมือนกัน งง"
พับเหมือนกัน ลงสีก็คิดว่าน่าจะเหมือนกัน ลายออกมาก็ ไม่เหมือนกัน!!
ไม่เหมือนกันซักผืนค่ะ แต่สวยทุกผืน สวยคนละแบบ
ที่ต่อไปค่ะ "ศูนย์จัดการพื้นที่สีเขียวเชิงนิเวศนครเขื่อนขันธ์" เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ค่ะ มีต้นไม้ขึ้นเขียวเต็มไปหมด มีลุงร้านขายไอติมเล่าว่าที่ันั่นนะตอนเช้าๆ ลุงไปปั่นจักรยานทุกวัน โอ๊ยยยย อากาศดีอย่าบอกใคร คราวหน้าหนูมานะ มาซักหกโมง รับรองว่าสดชื่นมาก
ปั่นวนได้รอบแล้วพักถ่ายรูปใบสองใบ ดูนาฬิกาก็บ่ายสี่ ได้เวลากลับบ้านกลับช่อง ก่อนจะกลับแวะซื้อน้ำแข็งใสคุณป้าซักหน่อย
ทีแรกอยากกินน้ำมะพร้าว แต่เห็นน้ำแข็งใจ โอ๊ะ! เปลี่ยนใจ ระหว่างรอคุณป้าไสน้ำแข็ง ได้ยินคุณป้าเมาส์มอยกับเพื่อน
เพื่อนคุณป้า : นี่มะพร้าว เอาไว้ทำไร
คุณป้า : ล้างหน้าแกไง
แหมมมมม คุณป้าแซ๊บ!
ก่อนจากมาเพื่อนคุณป้าฝากเราว่า หนูๆ หาผู้ชายฝรั่งที่ป้าเขาซักคนนะ เขาอยากได้
แหนะแซ๊บได้อีก....ระหว่างทางมีรอยยิ้มตลอดเวลา เพราะคนที่นี่อารมณ์ดี
ถึงท่าเรือรับบัตรประจำตัวประชาชนคืน คืนจักรยาน แล้วลงเรือกลับราคาเท่าเดิม 10 บาท/คน/เที่ยว
สรุปค่าเดินทางมาเติมออกซิเจนให้ปอดที่บางกระเจ้าครั้งมีดังนี้ค่ะ
1.ค่าแท๊กซี่จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีศูนย์สิริกิต มาวัดคลองเตย 50 บาท
2.ค่าเรือข้ามฟาก 10 บาท/คน/เที่ยว
3.ค่าเช่าจักรยาน 100 บาท/คัน/วัน
4.ค่าทำผ้ามัดย้อม 60 บาท/คน
5. ค่าอาหารการกิน ซื้อของ ตามอัธยาศัย สำหรับ จขกท กินตลอดทาง กาแฟ ไอติม หอยทอด น้ำแข็งใส หมดไปประมาณ 200 บาท
6. ค่ารถเมล์ 7บาท/คน
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น