เอ่อ ผมไม่เคยตั้งกระทู้ที่ไหนมาก่อนเลย ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยน่ะครับ ผมขอโทษด้วยน่ะครับถ้ารำคาญกระทู้ของผม แต่ผมจะเล่าเรื่องของผมโดยละเอียดเท่าที่ผมจำได้เลยยาวไปหน่อย เรื่องนี้อาจให้หลายคนได้รู้ว่า การที่มีรักแท้อยู่ ควรรักษามันไว้ก่อนที่จะสายไป
ย้อนไปเมื่อ 11 ปี ที่แล้ว ผมเคยรู้จักกับผู้หญิง คนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ผมพยายามทำให้เธอหลงรักทำทุกๆอย่าง แต่มันก็ไม่สำเร็จ 1 ปีเต็มๆ กับความพยายามของผม ที่ทำลงไปให้กับเธอ ลืมบอกไปครับตอนนั้นผม อยู่เพียงแค่ ม.1 เท่านั้น ด้วยความที่ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนผมจึงจีบผู้หญิงไม่เป็นนั้นคือสาเหตุที่ผมจีบเธอไม่ติด ( มั้ง) เธอไม่ใช่คนที่สวย แต่เพราะ นิสัยและ ความกวนๆ ของเธอทำให้ผมหลงรัก แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก ผมมีความจำเป็นต้องย้ายโรงเรียนตอน ม.2 เนื่องด้วยปัญหาเศรษฐกิจ เพราะสึนามิ บ้านผมเปิดโรงแรมแต่แล้วต้องเจอกลับปัญหาดังกล่าวทำให้บ้านผมเจอกลับปัญาหารุมเร้า บ้านผมจำต้องลำบากไปโดย ปริยาย จากที่เคยสบาย กลับมาต้องลำบากเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ตอน สมัยเรียนผมไม่เคยบอกเพื่อนผมคนไหน เลยว่าครอบครัวผมเป็นเจ้าของโรงแรม จะมีที่รู้ก็แค่ครูประจำชั้นเท่านั้น ผมจึงเหมือนเด็กธรรมดาในสายตาเพื่อนร่วมห้อง เข้าเรื่องเลยดีกว่า พอผมย้ายโรงเรียนจากตัวเมืองไปอยู่นอกตัวเมือง รวมทั้งบ้านผม ก็ต้องย้ายไปนอกตัวเมืองเช่นกัน ผมได้มารู้ความจริงทีหลังว่า เธอคนชอบนั้น เขาก็รักผมมาตลอดแต่มีบางอย่างที่ทำให้เธอไม่กล้าบอกผม เพราะ ระหว่าง 1 ปีเต็มที่ผมจีบเธอ ผมไม่เคยพูดคำว่า "รัก" หรือ "ชอบ" เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้เธอไม่กล้าบอกผมเช่นกัน ทำไมผมถึงรู้นะหรอว่าเธอชอบผม
เพราะ ผ่านไป 2 ปี หลังจากที่ผมย้าย โรงเรียน ตอนนั้นผมอยู่ ม.3 ผมได้เคยจดเบอร์มือถือเพื่อนสนิทไว้แล้วมาเจอตอน ม.3 แปลกใช่ไหมล่ะ เพราะสมัยนั้น เด็กวัยอย่างผมยังไม่ใช้มือถือกันหรอก จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ พอติดต่อเพื่อนผมได้ ผมก็ถามถึงเธอคนที่ผมรักทันที แล้วเวลาไม่นานหลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันทางโทรศัพท์ 2 ปีเต็มที่เราไม่ได้คุยกัน เธอบอกกับผมว่า " เธอรักผม เรามาคบกันไหม" ในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเธอพูดจริงๆ ผมคิดว่าเธอพูดเล่น อาจจะด้วยความตกใจ ที่อยู่คำแรกหลุดจากปากของเธอคือการมาขอคบกับผมเป็นแฟน ผมจึง ปฏิเสธเธอออกไป เธอก็พูดกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกเหตุผลที่ตอนนั้นผมปฏิเสธเธอคือผมกำลังคบกับผู้หญิงคนนึงที่โรงเรียนใหม่ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรหรอกก็ตามประสาวัยรุ่นแล้วเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย จนผ่านไป จนผมเรียน ปวช. ในตัวเมือง ใช่ผมกลับมาเรียนในตัวเมืองอีกครัง
ตั้งแต่ผม มาเรียน ในตัวเมืองอีกครั้ง ผมก็ได้สอบถามเพื่อนเก่าๆ ที่เคยเรียนตอน ม.1 ที่ได้มาเรียนที่เดียวกับผมถึงเรื่องราวของเธอคนนั้น แต่ก็ไม่ได้ความอะไรนักเพราะเธอก็ย้ายไปเรียน ต่อ ม.4 ที่อื่นเหมือนกัน เวลาผ่านไป จนผม เรียนมาจนถึง ปวช 2 กำลังขึ้นปวช 3 ช่วงนั้นปิดเทอมฝึกงาน น้องของเพื่อนผม ได้มาบอกกับผมว่า เจอคนที่ผมหาแล้ว นั้นคือเธอคนนั้น ใช่ แล้ว ผมทำทุกทางที่จะติดต่อกับเธอจนผมหาเธอพบ ผมรีบบอกน้องของเพื่อนผม ขอเบอร์เธอมาให้หน่อย จนเธอ ได้ติดต่อกับผม ผมได้เจอกับเธออีกครั้ง เวลาผ่านมา เกือบ 5 ปีเต็มๆ เราได้เจอกันที่ห้างๆ หนึ่งในตัวเมือง เธอมากับรุ่นน้อง 2- 3 คน ผมมากับเพื่อนของผม คนหนึ่ง พอเธอเจอหน้าผมเธอเข้ามากอดผมโดย ไม่สนใจอะไร ผมตกใจมากแต่ผมก็กอดเธอกลับเช่นกันเพราะผมคิดถึงเธอเหลือเกิน รุ่นน้องของเธอและเพื่อนผมตกใจมาก ทำหน้าเหวอเลยทีเดียว หลังจากนั้น เธอบอกกับผมว่า เธอจะไปดูหนังไปดูหนังด้วยกันไหม ผมตอบรับทันที่เพราะ ผมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ผมจำได้ดีหนังเรื่องแนกที่ดูกับเธอคือ " ความสุขของกะทิ" คือไม่ได้ดูกัน สอง ต่อ สอง หรกน่ะทั้งรุ่นน้องเธอและ เพื่อนผมก็ไปดูด้วย ดูหนังไปสักพักผมไม่รู้คิดยังไง ผมจับมือเธอ ใช่ ผมจับมือเธอ แต่แค่แว๊ปเดียวเท่านั้น แล้วก็ปล่อยเธอหันมาหาผม ผมยิ้มแบบ เขินๆ แล้วก็เหงื่อ ออกเต็มตัวเลย ผมพึ่งรู้ว่าความประหม่า คืออะไร หลังจากนั้นผมกับเธอ ก็ติดต่อกันอยู่ บ่อยๆ ลืมบอกไปครับช่วงที่ผมเจอเธอตอนนั้นเธอพึ่งจะเลิกกับแฟน เลยยังโสด คือ ผมตั้งความหวังเอาไว้สูงมากๆ ว่าจะทำทุกๆอย่าง ให้เธอหันมาสนใจผมอีกครั้งให้ได้ ผมโทรไปหาเธอทุกวัน ในช่วงเวลาปิดเทอมอย่างที่บอก ตอนนั้นผมฝึกงานด้วย ผมทำกระทั้งขอหนังสือเธอมาอ่าน มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง ที่ตลกๆ ชื่อเรื่องหนังสือคือ "บอย" แต่แล้วก่อนเปิดเทอม เธอบอกกับผมว่าเธอไม่พร้อมจะมีใคร ทุกอย่างที่ผมคิดไว้ก็พังทลายลง เธอไม่บอกกับผมว่าเพราะอะไร แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันพักใหญ่ จนกระทั้ง ผ่านไปนานแค่ไหนผมไม่มั่นใจอยู่ๆเธอก็โทรมาหาผม ช่วงนั้นจำได้ว่าผมเรียน รด.ปี 3 อยู่ แล้วเราก็เริ่มคุยกันอีกครั้ง ผมจีบใหม่แล้วผมก็ขอเธอเป็นแฟน เธอตอบรับการเป็นแฟนของผมแบบในฉบับของเธอว่า " เหนื่อย แต่ ไม่ท้อ" ไม่รู้ว่ามันคือการบอกรักตรงไหน ฮ่า หลังจากที่เราคบกันเธอก็ได้บอกผมว่า ตอนที่เธอปฏิเสธผม เธอไม่อยากเจ็บอีกครั้งหนึ่งแล้วเพราะว่าจบ ม.6 เธอต้องแยกจากผมอีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเธอก็เลยคิดว่าตัดใจจากผมมันเป็นการดีที่สุด แต่เธอไม่รู้คิดยังไงกธเลย โทรมาหาผม เธอบอกว่าถึงเวลาแค่ 1 ปี ตอน ม.6 ก็ขอใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดกับผม จากนั้นผมก็ทั้งไป รับ ไปส่งเธอ พาไปกินข้าว ไปดูหนัง ทำทุกๆอย่าง ที่ผมจะทำให้เธอมีความสุข แต่มันติดปัญหาตรงที่ว่าพ่อ-แม่ของ เธอไม่อยากให้เธอมีแฟน เราจึงต้องค่อยหลบๆเวลาไป หาเธออยู่เสมอจนในที่สุด พ่อและแม่เธอก็จับได้ ท่านทั้ง 2ได้โทรมาหาผมเขาบอกให้ผมเข้าไปคุยกับเขาตอนนั้นผมกำลังจะกลับบ้านผม กลัวมากๆแต่ก็ตัดสินใจเข้าไปหาท่านทั้งสอง เพราะคิดว่ากว่าจะได้คบกับเธอลำบากแค่ไหน ผมคุยกับพ่อและแม่ของเธอจนพ่อของเธอยอมรับในตัวผม แต่แม่ของเธอยังไม่ชอบผมสักเท่าไหร่ เธอเองตกใจมากเพราะพ่อและแม่ของเธอไม่เคยมีท่าทีแบบนี้เลย กาลเวลาผ่านไปรวดเร็วนัก ผมต้องไปเข้าค่าย รด. ปี 3 ที่นครศรีธรรมราช 7 วัน ผมไม่เคยห่างจากเธอนานขนาดนี้เลย นับตั้งแต่เราคบกัน และแล้วโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง เพราะผมกลับมาจาก เข้าค่าย เธอก็ต้องไปสอบ เข้า มหาวิทยาลัยบูรพา ที่ชลบุรี ( ถ้าจำไม่ผิด) เกือบครึ่งเดือน กว่าเราจะได้เจอกัน แล้วผมก็เจอเธออีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน เพราะผมก็ต้องไปสอบเข้า ปวส. ต่อที่ต่างจังหวัดเหมือนกัน
ปล.ค่อยมาต่อน่ะครับมันยาวมากๆ
ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของความรัก
ย้อนไปเมื่อ 11 ปี ที่แล้ว ผมเคยรู้จักกับผู้หญิง คนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ผมพยายามทำให้เธอหลงรักทำทุกๆอย่าง แต่มันก็ไม่สำเร็จ 1 ปีเต็มๆ กับความพยายามของผม ที่ทำลงไปให้กับเธอ ลืมบอกไปครับตอนนั้นผม อยู่เพียงแค่ ม.1 เท่านั้น ด้วยความที่ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนผมจึงจีบผู้หญิงไม่เป็นนั้นคือสาเหตุที่ผมจีบเธอไม่ติด ( มั้ง) เธอไม่ใช่คนที่สวย แต่เพราะ นิสัยและ ความกวนๆ ของเธอทำให้ผมหลงรัก แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก ผมมีความจำเป็นต้องย้ายโรงเรียนตอน ม.2 เนื่องด้วยปัญหาเศรษฐกิจ เพราะสึนามิ บ้านผมเปิดโรงแรมแต่แล้วต้องเจอกลับปัญหาดังกล่าวทำให้บ้านผมเจอกลับปัญาหารุมเร้า บ้านผมจำต้องลำบากไปโดย ปริยาย จากที่เคยสบาย กลับมาต้องลำบากเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ตอน สมัยเรียนผมไม่เคยบอกเพื่อนผมคนไหน เลยว่าครอบครัวผมเป็นเจ้าของโรงแรม จะมีที่รู้ก็แค่ครูประจำชั้นเท่านั้น ผมจึงเหมือนเด็กธรรมดาในสายตาเพื่อนร่วมห้อง เข้าเรื่องเลยดีกว่า พอผมย้ายโรงเรียนจากตัวเมืองไปอยู่นอกตัวเมือง รวมทั้งบ้านผม ก็ต้องย้ายไปนอกตัวเมืองเช่นกัน ผมได้มารู้ความจริงทีหลังว่า เธอคนชอบนั้น เขาก็รักผมมาตลอดแต่มีบางอย่างที่ทำให้เธอไม่กล้าบอกผม เพราะ ระหว่าง 1 ปีเต็มที่ผมจีบเธอ ผมไม่เคยพูดคำว่า "รัก" หรือ "ชอบ" เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้เธอไม่กล้าบอกผมเช่นกัน ทำไมผมถึงรู้นะหรอว่าเธอชอบผม
เพราะ ผ่านไป 2 ปี หลังจากที่ผมย้าย โรงเรียน ตอนนั้นผมอยู่ ม.3 ผมได้เคยจดเบอร์มือถือเพื่อนสนิทไว้แล้วมาเจอตอน ม.3 แปลกใช่ไหมล่ะ เพราะสมัยนั้น เด็กวัยอย่างผมยังไม่ใช้มือถือกันหรอก จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ พอติดต่อเพื่อนผมได้ ผมก็ถามถึงเธอคนที่ผมรักทันที แล้วเวลาไม่นานหลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันทางโทรศัพท์ 2 ปีเต็มที่เราไม่ได้คุยกัน เธอบอกกับผมว่า " เธอรักผม เรามาคบกันไหม" ในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเธอพูดจริงๆ ผมคิดว่าเธอพูดเล่น อาจจะด้วยความตกใจ ที่อยู่คำแรกหลุดจากปากของเธอคือการมาขอคบกับผมเป็นแฟน ผมจึง ปฏิเสธเธอออกไป เธอก็พูดกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกเหตุผลที่ตอนนั้นผมปฏิเสธเธอคือผมกำลังคบกับผู้หญิงคนนึงที่โรงเรียนใหม่ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรหรอกก็ตามประสาวัยรุ่นแล้วเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย จนผ่านไป จนผมเรียน ปวช. ในตัวเมือง ใช่ผมกลับมาเรียนในตัวเมืองอีกครัง
ตั้งแต่ผม มาเรียน ในตัวเมืองอีกครั้ง ผมก็ได้สอบถามเพื่อนเก่าๆ ที่เคยเรียนตอน ม.1 ที่ได้มาเรียนที่เดียวกับผมถึงเรื่องราวของเธอคนนั้น แต่ก็ไม่ได้ความอะไรนักเพราะเธอก็ย้ายไปเรียน ต่อ ม.4 ที่อื่นเหมือนกัน เวลาผ่านไป จนผม เรียนมาจนถึง ปวช 2 กำลังขึ้นปวช 3 ช่วงนั้นปิดเทอมฝึกงาน น้องของเพื่อนผม ได้มาบอกกับผมว่า เจอคนที่ผมหาแล้ว นั้นคือเธอคนนั้น ใช่ แล้ว ผมทำทุกทางที่จะติดต่อกับเธอจนผมหาเธอพบ ผมรีบบอกน้องของเพื่อนผม ขอเบอร์เธอมาให้หน่อย จนเธอ ได้ติดต่อกับผม ผมได้เจอกับเธออีกครั้ง เวลาผ่านมา เกือบ 5 ปีเต็มๆ เราได้เจอกันที่ห้างๆ หนึ่งในตัวเมือง เธอมากับรุ่นน้อง 2- 3 คน ผมมากับเพื่อนของผม คนหนึ่ง พอเธอเจอหน้าผมเธอเข้ามากอดผมโดย ไม่สนใจอะไร ผมตกใจมากแต่ผมก็กอดเธอกลับเช่นกันเพราะผมคิดถึงเธอเหลือเกิน รุ่นน้องของเธอและเพื่อนผมตกใจมาก ทำหน้าเหวอเลยทีเดียว หลังจากนั้น เธอบอกกับผมว่า เธอจะไปดูหนังไปดูหนังด้วยกันไหม ผมตอบรับทันที่เพราะ ผมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ผมจำได้ดีหนังเรื่องแนกที่ดูกับเธอคือ " ความสุขของกะทิ" คือไม่ได้ดูกัน สอง ต่อ สอง หรกน่ะทั้งรุ่นน้องเธอและ เพื่อนผมก็ไปดูด้วย ดูหนังไปสักพักผมไม่รู้คิดยังไง ผมจับมือเธอ ใช่ ผมจับมือเธอ แต่แค่แว๊ปเดียวเท่านั้น แล้วก็ปล่อยเธอหันมาหาผม ผมยิ้มแบบ เขินๆ แล้วก็เหงื่อ ออกเต็มตัวเลย ผมพึ่งรู้ว่าความประหม่า คืออะไร หลังจากนั้นผมกับเธอ ก็ติดต่อกันอยู่ บ่อยๆ ลืมบอกไปครับช่วงที่ผมเจอเธอตอนนั้นเธอพึ่งจะเลิกกับแฟน เลยยังโสด คือ ผมตั้งความหวังเอาไว้สูงมากๆ ว่าจะทำทุกๆอย่าง ให้เธอหันมาสนใจผมอีกครั้งให้ได้ ผมโทรไปหาเธอทุกวัน ในช่วงเวลาปิดเทอมอย่างที่บอก ตอนนั้นผมฝึกงานด้วย ผมทำกระทั้งขอหนังสือเธอมาอ่าน มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง ที่ตลกๆ ชื่อเรื่องหนังสือคือ "บอย" แต่แล้วก่อนเปิดเทอม เธอบอกกับผมว่าเธอไม่พร้อมจะมีใคร ทุกอย่างที่ผมคิดไว้ก็พังทลายลง เธอไม่บอกกับผมว่าเพราะอะไร แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันพักใหญ่ จนกระทั้ง ผ่านไปนานแค่ไหนผมไม่มั่นใจอยู่ๆเธอก็โทรมาหาผม ช่วงนั้นจำได้ว่าผมเรียน รด.ปี 3 อยู่ แล้วเราก็เริ่มคุยกันอีกครั้ง ผมจีบใหม่แล้วผมก็ขอเธอเป็นแฟน เธอตอบรับการเป็นแฟนของผมแบบในฉบับของเธอว่า " เหนื่อย แต่ ไม่ท้อ" ไม่รู้ว่ามันคือการบอกรักตรงไหน ฮ่า หลังจากที่เราคบกันเธอก็ได้บอกผมว่า ตอนที่เธอปฏิเสธผม เธอไม่อยากเจ็บอีกครั้งหนึ่งแล้วเพราะว่าจบ ม.6 เธอต้องแยกจากผมอีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเธอก็เลยคิดว่าตัดใจจากผมมันเป็นการดีที่สุด แต่เธอไม่รู้คิดยังไงกธเลย โทรมาหาผม เธอบอกว่าถึงเวลาแค่ 1 ปี ตอน ม.6 ก็ขอใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดกับผม จากนั้นผมก็ทั้งไป รับ ไปส่งเธอ พาไปกินข้าว ไปดูหนัง ทำทุกๆอย่าง ที่ผมจะทำให้เธอมีความสุข แต่มันติดปัญหาตรงที่ว่าพ่อ-แม่ของ เธอไม่อยากให้เธอมีแฟน เราจึงต้องค่อยหลบๆเวลาไป หาเธออยู่เสมอจนในที่สุด พ่อและแม่เธอก็จับได้ ท่านทั้ง 2ได้โทรมาหาผมเขาบอกให้ผมเข้าไปคุยกับเขาตอนนั้นผมกำลังจะกลับบ้านผม กลัวมากๆแต่ก็ตัดสินใจเข้าไปหาท่านทั้งสอง เพราะคิดว่ากว่าจะได้คบกับเธอลำบากแค่ไหน ผมคุยกับพ่อและแม่ของเธอจนพ่อของเธอยอมรับในตัวผม แต่แม่ของเธอยังไม่ชอบผมสักเท่าไหร่ เธอเองตกใจมากเพราะพ่อและแม่ของเธอไม่เคยมีท่าทีแบบนี้เลย กาลเวลาผ่านไปรวดเร็วนัก ผมต้องไปเข้าค่าย รด. ปี 3 ที่นครศรีธรรมราช 7 วัน ผมไม่เคยห่างจากเธอนานขนาดนี้เลย นับตั้งแต่เราคบกัน และแล้วโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง เพราะผมกลับมาจาก เข้าค่าย เธอก็ต้องไปสอบ เข้า มหาวิทยาลัยบูรพา ที่ชลบุรี ( ถ้าจำไม่ผิด) เกือบครึ่งเดือน กว่าเราจะได้เจอกัน แล้วผมก็เจอเธออีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน เพราะผมก็ต้องไปสอบเข้า ปวส. ต่อที่ต่างจังหวัดเหมือนกัน
ปล.ค่อยมาต่อน่ะครับมันยาวมากๆ