แนวเรื่อง : Yaoi / Man Romance / Romance / Comerdy / Drama / Gay's Love
“แล้วถ้าหนูไปหาพ่อ พ่อจะปล้ำหนูหรือเปล่า” แม้น้ำเสียงที่ถามกลับมาจะดูเรียบเฉยเป็นปรกติ หากแต่ตัวคำถามเองต่างหากที่ทำให้ผมต้องสะดุ้งโหยงในทันที... คำถามนี้ปรกติมีใครเขาถามกันบ้าง
----- เอาหล่ะสิ เรื่องราวของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป น้ำแข็งจะค้นหาความรู้สึกแท้จริงที่ซุ่มซ่อนอยู่ในตัวเองเจอหรือไม่? มาติดตามกันต่อในตอนที่ 2 ครับ-----
บนถนนแห่งความอ้างว้าง.. สับสน... และอุปสรรคที่ถ่าโถม
พื้นที่ว่างข้างกาย อาจไม่ได้ถูกลิขิต ขีดเขียนมาให้มีคนครองคู่กันฉันท์แฟน
แม้แม้คำเรียกขานเรา จะแตกต่างจากความธรรมดาทั่วไป แต่นิยามของความรู้สึกที่เรามีให้
ก็คงไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น พี่น้อง... พ้องเพื่อน... หรือกระทั่งพ่อลูกก็ตาม
หากความรักคือบทเพลงเสนาะหู... ซึ่งมีเนื้อร้องอันสวยงาม เช่นนั้น...
เรื่องราวของเรา.... คงเป็นดั่งท่วงทำนอง.... ที่ผันแปร
แม้จะแตกต่าง..... แต่....... ก็ยังคงไพเราะ
ยิ่งกว่าเพลงใดที่ได้ฟัง ตราบเท่าที่มัน
ไม่ใช่อีกครั้ง...... ที่แว่วเพียง
เสียงกระซิบ..........
ของสายลม
...
...นี่เป็นเรื่องแรกสำหรับผมที่เขียนนิยายแนวนี้ขึ้น ยินดีรับคำติชม และคำแนะนำทุกประการครับสามารถเข้าไปพูดคุย ติดตามข่าวสารการอัพเดทตอนต่อไป หรือเรื่องใหม่ ๆ ได้ที่แฟนเพจ Phakin เลยครับ
https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol
ตอนที่ 2 : โชคชะตาของเด็กหนุ่ม
หลังจากได้ใช้เวลาคิดอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง คำตอบมากมายก็ผุดขึ้นเพื่อใช้เป็นจุดสิ้นสุดของคำถามในแต่ละข้อ มีทั้งดี และไม่ดี กระนั้นผมก็ยังคงไม่สามารถสรุปชี้ชัดได้... อาจจะด้วยความลังเล ก็คนมันเหงานี่ครับ จะให้ทำอย่างไร
สายฝนข้างนอกที่เคยทำท่าเพียงแค่ตั้งเค้าราวกับเป็นคำขู่ของพิรุณเทพ ก็โปรยปรายลงอย่างหนัก เสียงซู่ซ่าดังลอดเข้ามาในโสตประสาท ปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งการค้นหา
เข็มนาฬิกาธรรมดาไร้ชีวิต ไร้จิตใจซึ่งยังคงเดินต่อไปอย่างไม่หยุดพักบอกให้รู้ว่า ตอนนี้คือเวลาสามทุ่มสี่สิบนาที ถึงแม้จะเป็นเพียงเครื่องจักรไร้ซุ่มเสียง แต่มันกลับกลายเป็นเหมือนผู้ชี้นำซึ่งบอกใบ้ให้ผมสามารถเลือกทางเดินต่อได้ในทันที
ผมตัดสินใจพับเก็บคำถาม และความสงสัยเหล่านั้นไว้ในใจ แล้วเล่นตามน้ำต่อไป เพื่อตอบสนองการโหยหาความจริงของตน แต่กระนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือ... เพราะตัวผมเองก็กลัวที่จะต้องเหงายู่ลำพังท่ามกลางสังคมวุ่นวายนี้กันแน่
“ตรู้ด............ ตรู้ด..........” เสียงแจ้งเตือนของโปรแกรมไลน์ดังขึ้น ผมกล้าพนันได้แบบสิบเอาหนึ่งว่า เป็นน้องน้ำแข็งนั่นเอง แต่ในวินาทีนั้นผมรู้สักได้ถึงจังหวะหัวใจการเต้นของตัวเองที่แปลกไป... ใช่! ผมกล้ายอมรับอย่างไม่กระดากอายเลยสักนิดว่า ผมดีใจมาก
“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีหลังจากกดรับ
“พ่อ หนูขอโทษนะที่ช้าไปหน่อย พ่อง่วงยังครับ” น้องนิ่งเงียบไปทันทีที่พูดจบ น้ำเสียงเริงร่าอย่างตอนหัวค่ำหายไป
“เกิดอะไรขึ้น มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
“ครับพ่อ หนูเบื่อ หนูอยากหนีไปไกล ๆ ไปที่ที่ความจนมันจะตามหาหนูไม่เจอ ที่ที่สงบ ไม่มีใครมาตามทวงหนี้ หรือไม่มีเสียงเมสเสจ
1 แจ้งเตือนกำหนดชำระค่างวด หนูเหนื่อยครับพ่อ” น้ำเสียงของน้องเริ่มสั่นเครือ “บางครั้งผมก็คิดนะ จะว่าคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ แต่ทำไมเด็กอายุแค่สิบแปดอย่างหนูต้องมาเจอกับเรื่องอย่างนี้ทุกวันด้วย ทั้งที่น่าจะต้องได้เรียนหนังสืออย่างคนอื่น ๆ เขา ยังได้สนุกเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงไปตามภาษาวัยรุ่น”
แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ผมกลับรู้สึกถึงความหม่นหมอง ท้อแท้ และโศกเศร้าซุ่มซ่อนอยู่ในน้ำเสียงที่ส่งผ่านมานั้น มันทำให้ผมฟังไปชั่งใจไป... น้องรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หรือความรู้สึกที่ผมสัมผัสนี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมจินตนาการขึ้นเอง กระนั้นในเมื่อยังไม่มีคำตอบ ผมจึงทำได้เพียงถามกลับไป “ทำไม มันเกิดอะไรขึ้น”
“เพื่อนหนู เขาทวงเงินที่หนูเคยยืมเขาไปนานมากแล้ว นานจนหนูลืมไปด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้จะทำไง เพราะตอนนี้หนูเองก็แย่ หนูรู้ว่า มันเป็นภาระที่หนูสมควรต้องชดใช้ เพราะหนูก็เอาเงินเขามาจริง ๆ แต่หนูอดรู้สึกเจ็บไม่ได้ครับพ่อ”
“ทำไมอ่ะ? เราบอกเพื่อนไปก่อนว่า ขอโทษ ตอนนี้ไม่มีจริง ๆ” ผมถามกลับ
“เนี่ยแหล่ะครับพ่อที่ทำให้หนูเจ็บ เพื่อนเขาก็พูดกับหนูดีนะ เขาพูดว่า เขาร้อนเงินมาก ขอให้หนูช่วยหาเงินไปคืนเขาหน่อย เงินแค่พันเดียวเอง” เด็กผู้ชายซึ่งอยู่ที่ผมสนทนาด้วยนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วง สั่นเครือเล็กน้อย “มันเจ็บก็ตรงคำว่า ‘แค่’ ครับพ่อ เพี่อนหนูพูดว่า ‘แค่’ แต่สำหรับผมตอนนี้เงินจะกินยังแทบไม่พอ เพราะฉะนั้นพันนึงมันไม่ใช่ ‘แค่’ แต่มัน ‘มหาศาล’ ”
ผมเองเกิดความรู้สึกสับสนในจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะคำว่า ‘เงิน’ มันกลายมาเป็นประเด็นหลักของบทสนทนาไปเสียแล้ว แม้ตอนนี้ดวงตาของผมจะชุ่มไปด้วยหยดน้ำอุ่น ๆ แต่ก็รู้สึกในทางไม่ดีด้วยเช่นกัน ผมปล่อยให้น้องพูดต่อไป รอดูว่า น้องจะเอ่ยปากขอยืมเงินหรือไม่ ซึ่งถ้าอีกฝ่ายเอ่ยปากขอยืมเงินแม้เพียงคำเดียว ผมจะตัดบทสนทนานี้ทันที
“หนูเหนื่อยครับพ่อ พ่อครับ หนูขอกอดหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มนั้นเบาลง
ผมยอมรับ ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กผู้ชายคนนี้ต้องการเลยแม้แต่น้อย เพราะหากว่ากันตามความเป็นจริง เราอยู่กันคนละที่ คนละจังหวัด จะกอดกันได้อย่างไร ดังนั้นนี่อาจจะเป็นแค่ความรู้สึกหรือเปล่า ผมจึงพูดไปตามน้ำ ทั้งที่ในใจเองก็ยังสั่นเครือด้วยความสงสาร “อ่ะ กอด ๆ ๆ ทำใจให้สบายนะ เราต้องผ่านมันไปให้ได้”
“ครับพ่อ ถึงมันจะพูดง่ายทำยาก แต่... พ่อยังไม่ได้กอดหนูเลย” น้ำแข็งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนทันที
“ยังไงอ่ะ?” ผมตอบกลับไปห้วนสั้น มันอาจจะดูเหมือนเป็นการยียวนกวนโมโห แต่ ผมไม่เข้าใจสิ่งที่น้องต้องการจะสื่อจริง ๆ
“ก็พ่อนั่งอยู่เฉย ๆ อ่ะ พ่อต้องเลื่อนกล้องมาแนบอกสิ หนูเองก็เอาโทรศัพท์แนบอกเหมือนกัน มันจะได้เหมือนการกอดไงครับ เหมือนพ่อดึงหนูมากอด... มาพ่อครับ หนูขอกอดพ่ออีกครั้งนะครับ”
ผมเลื่อนกล้องมาแนบค้างไว้ที่อก การกระทำของเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นเพียงลูกไม้หรือไม่ ผมเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป รู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
“พ่อครับ ตัวพ่ออุ่นจัง ถึงพ่อจะชอบบ่นอ้วน ๆ ๆ แต่หนูก็รักพ่อนะครับ หนูอยากกอดใครสักคนร้องไห้มานานแล้ว... แม้จะไม่ได้กอดจริง ๆ ก็ตาม”
“อืม... ทำใจให้สบายนะ มีอะไรค้างอยู่ในใจระบายมันออกมาให้หมด ถึงพี่จะช่วยเรื่องนี้ไม่ได้ ทำได้แค่บอกให้เราผัดผ่อนไปก่อน แต่พี่ก็จะพยายามช่วยทำให้เราสบายใจขึ้นนะ ร้องไห้ออกมาเลยก็ได้”
“ครับพ่อ พ่อช่วยลูบหัวหนูหน่อยได้ไหม หนูอยากกอดพ่อไว้อย่างนี้นาน ๆ จัง” น้ำเสียงของน้ำแข็งดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
“เอ้อ เอาอย่างนี้ดีกว่า เราชอบเรื่องมนุษย์ต่างดาวนี่ เรารู้จักแอเรียห้าสิบเอ็ดไหม” ผมอาศัยจังหวะที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสบายใจขึ้นแล้ว ชักนำบทสนทนาให้เข้าสู่เรื่องที่อีกฝ่ายสนใจทันที เพื่อเบี่ยงประเด็นให้ออกห่างจากเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา
“รู้ครับพ่อ แต่ไม่รู้ลายละเอียด พ่อช่วยเล่าให้หนูฟังหน่อยสิ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มน่าสงสารเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือในฉับพลัน มันมีความตื่นเต้น และกระหายใคร่รู้แฝงเร้นมาในนั้น
ผมรู้ทันทีว่า การเปลี่ยนประเด็นจะทำให้บรรยากาศของการสนทนาดีขึ้น ผมจึงเริ่มต้นร่ายยาวเรื่องของแอเรียห้าสิบเอ็ดเท่าที่ผมรู้ทันที “ก็อย่างที่เรารู้นะ แอเรียห้าสิบเอ็ดเป็นสถานที่ซึ่งเชื่อกันว่า มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างกองทัพของอเมริกากับมนุษย์ต่างดาว...”
ผมเล่าต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจบ แล้วนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนของบทสนทนา ผมกับเด็กหนุ่มซักถามโต้ตอบกลับกันไปมาในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวอีกหลายสิบประโยค มันทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า ถึงแม้บางครั้งคำพูดของเด็กคนนี้จะดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ก้ำกึ่งระหว่างเด็ก และผู้ใหญ่ ดังนั้นในอีกมุมหนึ่งจึงยังมีความเป็นเด็กอยู่ค่อนข้างมาก ซ้ำยังขี้อ้อนเสียด้วย... แต่นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมชอบคนที่อายุน้อยกว่า เพราะเขาจะได้ช่วยเติมเต็มความสดใส ความร่าเริงซึ่งผมขาดมันไป
“พ่อง่วงยังครับ?”
ผมเหลือบดูเวลา ตอนนี้ก็ปาเข้าไปจะห้าทุ่มแล้ว ถึงจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แต่ผมก็ยังคงต้องการการพักผ่อนอยู่ดี “ง่วงครับ เดี๋ยวพี่จะไป...”
“พ่อครับ พ่ออย่าเพิ่งนอนได้ไหม พ่ออยู่คุยกับหนูก่อนนะครับ ถ้าพ่อไปนอนตอนนี้ หนูก็คงจะต้องอยู่คนเดียว แล้วก็จะต้องกลับไปคิดมากอีก ถึงหนูจะพยายามทำตัวแข็งแกร่งเป็นคนสู้ชีวิตยังไง แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะฝืนยิ้มได้ตลอดเวลาหรอก หนูก็แค่เด็กคนหนึ่ง ถ้าพ่อวางสายไป หนูก็คง... นะครับพ่อ” น้ำแข็งพูดขัดขึ้นก่อนที่ผมจะทันได้จบประโยค น้ำเสียงเจื่อนลงทันที
“เอ่อ...” ผมยอมรับว่า ผมลังเลมาก ในหัวมีภาพของเด็กคนหนึ่งกำลังกอดหมอนร้องไห้ปรากฏขึ้น จึงไม่กล้าปฏิเสธ
“นะพ่อนะ พ่อครับ ผมอยากรู้เรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าครับ พ่อช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปแจ่มใสอีกครั้งราวกับเด็กที่ได้รับของเล่นจากผู้เป็นพ่อ
“เอา เอา จนได้สิน่า สุดท้ายแล้วนะ... แต่พี่รู้สึกว่า เขาเฉลยกันได้แล้วนะ แต่จำได้แค่คลับคล้ายคลับครา ต้องเปิดอ่านเอาอ่ะ เดี๋ยวพี่เสิร์ช
2 หาก่อน” แล้วผมก็เริ่มต้นอ่านบทความอันยาวเหยียดให้อีกฝ่ายฟังจนกระทั่งจบ
“พ่อครับ หนูชอบที่พ่ออ่านให้ฟังอย่างนี้จังเลยครับ มันเหมือนกับหนูมีพ่อจริง ๆ ที่มานั่งอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน หนูรักพ่อนะครับ พ่อหนูขอกอดพ่ออีกทีได้ไหม”
“อื้ม” ผมตอบพลางเลื่อนกล้องมาแนบอก “เราสบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ครับพ่อ หนูบอกเลยว่า ที่เราคุยกันมา หนูได้แต่นั่งยิ้ม นั่งหัวเราะ หนูมีความสุขมากเลยครับ หนูดูกระจกไปก็น้ำตาไหลไป หนูไม่เคยเห็นรอยยิ้มของตัวเองแบบที่กำลังทำอยู่ตอนนี้มานานมากแล้วนะครับ... พ่อ... หนูรักพ่อนะครับ สักวันหนึ่งถ้าหนูพร้อม ถ้าหนูได้งานแล้วมีชีวิตดีขึ้น หนูจะขับรถไปหาพ่อทุกวันหยุดเลย หรือไม่ก็ไปรับพ่อมาเที่ยวตลาดร้อยปีกัน แล้วมาเที่ยวบ้านหนูต่อ อย่างน้อยหนูจะได้นอนกอดพ่อจริง ๆ พ่อเองก็ไม่ต้องเหงาด้วย แล้วถ้าหนูเก็บเงินได้หนูจะซื้อโทรศัพท์ใหม่แบบที่มีกล้องหน้า พ่อจะได้เห็นไงครับว่า พ่อทำให้หนูยิ้มได้จริง ๆ พ่อครับ หนูรักพ่อมากที่สุดเลยนะครับ”
1 เมสเสจ = message หมายถึงข้อความ แต่ในที่นี้ตัวละครต้องการจะสื่อถึง ข้อความสั้น (Short message : SMS)
2 เสิร์ช = search ในที่นี้หมายถึงการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต
------------------------- ยังไม่จบ อ่านต่อด้านล่างครับ ---------------------
ท่วงทำนองที่ผันแปร (Yaoi/Man Romance) (นวนิยายชุด "มุมสะท้อนของเงาจันทร์) ตอนที่ 2 : โชคชะตาของเด็กหนุ่ม
แนวเรื่อง : Yaoi / Man Romance / Romance / Comerdy / Drama / Gay's Love
“แล้วถ้าหนูไปหาพ่อ พ่อจะปล้ำหนูหรือเปล่า” แม้น้ำเสียงที่ถามกลับมาจะดูเรียบเฉยเป็นปรกติ หากแต่ตัวคำถามเองต่างหากที่ทำให้ผมต้องสะดุ้งโหยงในทันที... คำถามนี้ปรกติมีใครเขาถามกันบ้าง
----- เอาหล่ะสิ เรื่องราวของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป น้ำแข็งจะค้นหาความรู้สึกแท้จริงที่ซุ่มซ่อนอยู่ในตัวเองเจอหรือไม่? มาติดตามกันต่อในตอนที่ 2 ครับ-----
พื้นที่ว่างข้างกาย อาจไม่ได้ถูกลิขิต ขีดเขียนมาให้มีคนครองคู่กันฉันท์แฟน
แม้แม้คำเรียกขานเรา จะแตกต่างจากความธรรมดาทั่วไป แต่นิยามของความรู้สึกที่เรามีให้
ก็คงไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น พี่น้อง... พ้องเพื่อน... หรือกระทั่งพ่อลูกก็ตาม
หากความรักคือบทเพลงเสนาะหู... ซึ่งมีเนื้อร้องอันสวยงาม เช่นนั้น...
เรื่องราวของเรา.... คงเป็นดั่งท่วงทำนอง.... ที่ผันแปร
แม้จะแตกต่าง..... แต่....... ก็ยังคงไพเราะ
ยิ่งกว่าเพลงใดที่ได้ฟัง ตราบเท่าที่มัน
ไม่ใช่อีกครั้ง...... ที่แว่วเพียง
เสียงกระซิบ..........
ของสายลม
...
https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol
หลังจากได้ใช้เวลาคิดอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง คำตอบมากมายก็ผุดขึ้นเพื่อใช้เป็นจุดสิ้นสุดของคำถามในแต่ละข้อ มีทั้งดี และไม่ดี กระนั้นผมก็ยังคงไม่สามารถสรุปชี้ชัดได้... อาจจะด้วยความลังเล ก็คนมันเหงานี่ครับ จะให้ทำอย่างไร
สายฝนข้างนอกที่เคยทำท่าเพียงแค่ตั้งเค้าราวกับเป็นคำขู่ของพิรุณเทพ ก็โปรยปรายลงอย่างหนัก เสียงซู่ซ่าดังลอดเข้ามาในโสตประสาท ปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งการค้นหา
เข็มนาฬิกาธรรมดาไร้ชีวิต ไร้จิตใจซึ่งยังคงเดินต่อไปอย่างไม่หยุดพักบอกให้รู้ว่า ตอนนี้คือเวลาสามทุ่มสี่สิบนาที ถึงแม้จะเป็นเพียงเครื่องจักรไร้ซุ่มเสียง แต่มันกลับกลายเป็นเหมือนผู้ชี้นำซึ่งบอกใบ้ให้ผมสามารถเลือกทางเดินต่อได้ในทันที
ผมตัดสินใจพับเก็บคำถาม และความสงสัยเหล่านั้นไว้ในใจ แล้วเล่นตามน้ำต่อไป เพื่อตอบสนองการโหยหาความจริงของตน แต่กระนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือ... เพราะตัวผมเองก็กลัวที่จะต้องเหงายู่ลำพังท่ามกลางสังคมวุ่นวายนี้กันแน่
“ตรู้ด............ ตรู้ด..........” เสียงแจ้งเตือนของโปรแกรมไลน์ดังขึ้น ผมกล้าพนันได้แบบสิบเอาหนึ่งว่า เป็นน้องน้ำแข็งนั่นเอง แต่ในวินาทีนั้นผมรู้สักได้ถึงจังหวะหัวใจการเต้นของตัวเองที่แปลกไป... ใช่! ผมกล้ายอมรับอย่างไม่กระดากอายเลยสักนิดว่า ผมดีใจมาก
“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีหลังจากกดรับ
“พ่อ หนูขอโทษนะที่ช้าไปหน่อย พ่อง่วงยังครับ” น้องนิ่งเงียบไปทันทีที่พูดจบ น้ำเสียงเริงร่าอย่างตอนหัวค่ำหายไป
“เกิดอะไรขึ้น มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
“ครับพ่อ หนูเบื่อ หนูอยากหนีไปไกล ๆ ไปที่ที่ความจนมันจะตามหาหนูไม่เจอ ที่ที่สงบ ไม่มีใครมาตามทวงหนี้ หรือไม่มีเสียงเมสเสจ1 แจ้งเตือนกำหนดชำระค่างวด หนูเหนื่อยครับพ่อ” น้ำเสียงของน้องเริ่มสั่นเครือ “บางครั้งผมก็คิดนะ จะว่าคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ แต่ทำไมเด็กอายุแค่สิบแปดอย่างหนูต้องมาเจอกับเรื่องอย่างนี้ทุกวันด้วย ทั้งที่น่าจะต้องได้เรียนหนังสืออย่างคนอื่น ๆ เขา ยังได้สนุกเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงไปตามภาษาวัยรุ่น”
แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ผมกลับรู้สึกถึงความหม่นหมอง ท้อแท้ และโศกเศร้าซุ่มซ่อนอยู่ในน้ำเสียงที่ส่งผ่านมานั้น มันทำให้ผมฟังไปชั่งใจไป... น้องรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หรือความรู้สึกที่ผมสัมผัสนี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมจินตนาการขึ้นเอง กระนั้นในเมื่อยังไม่มีคำตอบ ผมจึงทำได้เพียงถามกลับไป “ทำไม มันเกิดอะไรขึ้น”
“เพื่อนหนู เขาทวงเงินที่หนูเคยยืมเขาไปนานมากแล้ว นานจนหนูลืมไปด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้จะทำไง เพราะตอนนี้หนูเองก็แย่ หนูรู้ว่า มันเป็นภาระที่หนูสมควรต้องชดใช้ เพราะหนูก็เอาเงินเขามาจริง ๆ แต่หนูอดรู้สึกเจ็บไม่ได้ครับพ่อ”
“ทำไมอ่ะ? เราบอกเพื่อนไปก่อนว่า ขอโทษ ตอนนี้ไม่มีจริง ๆ” ผมถามกลับ
“เนี่ยแหล่ะครับพ่อที่ทำให้หนูเจ็บ เพื่อนเขาก็พูดกับหนูดีนะ เขาพูดว่า เขาร้อนเงินมาก ขอให้หนูช่วยหาเงินไปคืนเขาหน่อย เงินแค่พันเดียวเอง” เด็กผู้ชายซึ่งอยู่ที่ผมสนทนาด้วยนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วง สั่นเครือเล็กน้อย “มันเจ็บก็ตรงคำว่า ‘แค่’ ครับพ่อ เพี่อนหนูพูดว่า ‘แค่’ แต่สำหรับผมตอนนี้เงินจะกินยังแทบไม่พอ เพราะฉะนั้นพันนึงมันไม่ใช่ ‘แค่’ แต่มัน ‘มหาศาล’ ”
ผมเองเกิดความรู้สึกสับสนในจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะคำว่า ‘เงิน’ มันกลายมาเป็นประเด็นหลักของบทสนทนาไปเสียแล้ว แม้ตอนนี้ดวงตาของผมจะชุ่มไปด้วยหยดน้ำอุ่น ๆ แต่ก็รู้สึกในทางไม่ดีด้วยเช่นกัน ผมปล่อยให้น้องพูดต่อไป รอดูว่า น้องจะเอ่ยปากขอยืมเงินหรือไม่ ซึ่งถ้าอีกฝ่ายเอ่ยปากขอยืมเงินแม้เพียงคำเดียว ผมจะตัดบทสนทนานี้ทันที
“หนูเหนื่อยครับพ่อ พ่อครับ หนูขอกอดหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มนั้นเบาลง
ผมยอมรับ ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กผู้ชายคนนี้ต้องการเลยแม้แต่น้อย เพราะหากว่ากันตามความเป็นจริง เราอยู่กันคนละที่ คนละจังหวัด จะกอดกันได้อย่างไร ดังนั้นนี่อาจจะเป็นแค่ความรู้สึกหรือเปล่า ผมจึงพูดไปตามน้ำ ทั้งที่ในใจเองก็ยังสั่นเครือด้วยความสงสาร “อ่ะ กอด ๆ ๆ ทำใจให้สบายนะ เราต้องผ่านมันไปให้ได้”
“ครับพ่อ ถึงมันจะพูดง่ายทำยาก แต่... พ่อยังไม่ได้กอดหนูเลย” น้ำแข็งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนทันที
“ยังไงอ่ะ?” ผมตอบกลับไปห้วนสั้น มันอาจจะดูเหมือนเป็นการยียวนกวนโมโห แต่ ผมไม่เข้าใจสิ่งที่น้องต้องการจะสื่อจริง ๆ
“ก็พ่อนั่งอยู่เฉย ๆ อ่ะ พ่อต้องเลื่อนกล้องมาแนบอกสิ หนูเองก็เอาโทรศัพท์แนบอกเหมือนกัน มันจะได้เหมือนการกอดไงครับ เหมือนพ่อดึงหนูมากอด... มาพ่อครับ หนูขอกอดพ่ออีกครั้งนะครับ”
ผมเลื่อนกล้องมาแนบค้างไว้ที่อก การกระทำของเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นเพียงลูกไม้หรือไม่ ผมเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป รู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
“พ่อครับ ตัวพ่ออุ่นจัง ถึงพ่อจะชอบบ่นอ้วน ๆ ๆ แต่หนูก็รักพ่อนะครับ หนูอยากกอดใครสักคนร้องไห้มานานแล้ว... แม้จะไม่ได้กอดจริง ๆ ก็ตาม”
“อืม... ทำใจให้สบายนะ มีอะไรค้างอยู่ในใจระบายมันออกมาให้หมด ถึงพี่จะช่วยเรื่องนี้ไม่ได้ ทำได้แค่บอกให้เราผัดผ่อนไปก่อน แต่พี่ก็จะพยายามช่วยทำให้เราสบายใจขึ้นนะ ร้องไห้ออกมาเลยก็ได้”
“ครับพ่อ พ่อช่วยลูบหัวหนูหน่อยได้ไหม หนูอยากกอดพ่อไว้อย่างนี้นาน ๆ จัง” น้ำเสียงของน้ำแข็งดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
“เอ้อ เอาอย่างนี้ดีกว่า เราชอบเรื่องมนุษย์ต่างดาวนี่ เรารู้จักแอเรียห้าสิบเอ็ดไหม” ผมอาศัยจังหวะที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสบายใจขึ้นแล้ว ชักนำบทสนทนาให้เข้าสู่เรื่องที่อีกฝ่ายสนใจทันที เพื่อเบี่ยงประเด็นให้ออกห่างจากเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา
“รู้ครับพ่อ แต่ไม่รู้ลายละเอียด พ่อช่วยเล่าให้หนูฟังหน่อยสิ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มน่าสงสารเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือในฉับพลัน มันมีความตื่นเต้น และกระหายใคร่รู้แฝงเร้นมาในนั้น
ผมรู้ทันทีว่า การเปลี่ยนประเด็นจะทำให้บรรยากาศของการสนทนาดีขึ้น ผมจึงเริ่มต้นร่ายยาวเรื่องของแอเรียห้าสิบเอ็ดเท่าที่ผมรู้ทันที “ก็อย่างที่เรารู้นะ แอเรียห้าสิบเอ็ดเป็นสถานที่ซึ่งเชื่อกันว่า มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างกองทัพของอเมริกากับมนุษย์ต่างดาว...”
ผมเล่าต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจบ แล้วนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนของบทสนทนา ผมกับเด็กหนุ่มซักถามโต้ตอบกลับกันไปมาในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวอีกหลายสิบประโยค มันทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า ถึงแม้บางครั้งคำพูดของเด็กคนนี้จะดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ก้ำกึ่งระหว่างเด็ก และผู้ใหญ่ ดังนั้นในอีกมุมหนึ่งจึงยังมีความเป็นเด็กอยู่ค่อนข้างมาก ซ้ำยังขี้อ้อนเสียด้วย... แต่นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมชอบคนที่อายุน้อยกว่า เพราะเขาจะได้ช่วยเติมเต็มความสดใส ความร่าเริงซึ่งผมขาดมันไป
“พ่อง่วงยังครับ?”
ผมเหลือบดูเวลา ตอนนี้ก็ปาเข้าไปจะห้าทุ่มแล้ว ถึงจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แต่ผมก็ยังคงต้องการการพักผ่อนอยู่ดี “ง่วงครับ เดี๋ยวพี่จะไป...”
“พ่อครับ พ่ออย่าเพิ่งนอนได้ไหม พ่ออยู่คุยกับหนูก่อนนะครับ ถ้าพ่อไปนอนตอนนี้ หนูก็คงจะต้องอยู่คนเดียว แล้วก็จะต้องกลับไปคิดมากอีก ถึงหนูจะพยายามทำตัวแข็งแกร่งเป็นคนสู้ชีวิตยังไง แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะฝืนยิ้มได้ตลอดเวลาหรอก หนูก็แค่เด็กคนหนึ่ง ถ้าพ่อวางสายไป หนูก็คง... นะครับพ่อ” น้ำแข็งพูดขัดขึ้นก่อนที่ผมจะทันได้จบประโยค น้ำเสียงเจื่อนลงทันที
“เอ่อ...” ผมยอมรับว่า ผมลังเลมาก ในหัวมีภาพของเด็กคนหนึ่งกำลังกอดหมอนร้องไห้ปรากฏขึ้น จึงไม่กล้าปฏิเสธ
“นะพ่อนะ พ่อครับ ผมอยากรู้เรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าครับ พ่อช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปแจ่มใสอีกครั้งราวกับเด็กที่ได้รับของเล่นจากผู้เป็นพ่อ
“เอา เอา จนได้สิน่า สุดท้ายแล้วนะ... แต่พี่รู้สึกว่า เขาเฉลยกันได้แล้วนะ แต่จำได้แค่คลับคล้ายคลับครา ต้องเปิดอ่านเอาอ่ะ เดี๋ยวพี่เสิร์ช2 หาก่อน” แล้วผมก็เริ่มต้นอ่านบทความอันยาวเหยียดให้อีกฝ่ายฟังจนกระทั่งจบ
“พ่อครับ หนูชอบที่พ่ออ่านให้ฟังอย่างนี้จังเลยครับ มันเหมือนกับหนูมีพ่อจริง ๆ ที่มานั่งอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน หนูรักพ่อนะครับ พ่อหนูขอกอดพ่ออีกทีได้ไหม”
“อื้ม” ผมตอบพลางเลื่อนกล้องมาแนบอก “เราสบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ครับพ่อ หนูบอกเลยว่า ที่เราคุยกันมา หนูได้แต่นั่งยิ้ม นั่งหัวเราะ หนูมีความสุขมากเลยครับ หนูดูกระจกไปก็น้ำตาไหลไป หนูไม่เคยเห็นรอยยิ้มของตัวเองแบบที่กำลังทำอยู่ตอนนี้มานานมากแล้วนะครับ... พ่อ... หนูรักพ่อนะครับ สักวันหนึ่งถ้าหนูพร้อม ถ้าหนูได้งานแล้วมีชีวิตดีขึ้น หนูจะขับรถไปหาพ่อทุกวันหยุดเลย หรือไม่ก็ไปรับพ่อมาเที่ยวตลาดร้อยปีกัน แล้วมาเที่ยวบ้านหนูต่อ อย่างน้อยหนูจะได้นอนกอดพ่อจริง ๆ พ่อเองก็ไม่ต้องเหงาด้วย แล้วถ้าหนูเก็บเงินได้หนูจะซื้อโทรศัพท์ใหม่แบบที่มีกล้องหน้า พ่อจะได้เห็นไงครับว่า พ่อทำให้หนูยิ้มได้จริง ๆ พ่อครับ หนูรักพ่อมากที่สุดเลยนะครับ”
1 เมสเสจ = message หมายถึงข้อความ แต่ในที่นี้ตัวละครต้องการจะสื่อถึง ข้อความสั้น (Short message : SMS)
2 เสิร์ช = search ในที่นี้หมายถึงการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต
------------------------- ยังไม่จบ อ่านต่อด้านล่างครับ ---------------------