สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคนนะคะ เพิ่งสมัครมาเป็นสมาชิกของพันทิปได้ไม่นานไม่รู้ว่าจะตั้งกระทู้อะไรดี พอดีวันนี้เป็นวันหยุดกำลังนั่งท่องอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ เลยไปเจอบทความเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องความรักอย่างหนึ่งของญี่ปุ่นมา มันเลยทำให้เรานึกย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนเกี่ยวกับความเชื่อนี้และประสบการณ์ที่เราเจอมาก็เลยอยากจะมาเล่าสู่กันฟัง ดังหัวข้อกระทู้เลยค่ะ
ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวก่อนเลยนะคะ เราชื่อ “ตุ่น” ตอนนี้อายุ 24 ปี แล้วค่ะ ตอนนี้ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี เราเกิดและโตที่เมืองพัทยาเลยค่ะ แล้วก็มาเรียนต่อและทำงานที่ตัวเมืองชลบุรี คือไม่ชอบไปอยู่ที่ไกลๆบ้านอ่ะ เราชอบและก็รักที่จะอยู่ชลบุรีไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แล้วก็มีแฟนแล้วนะคะ 555 คือถ้าไม่มีคงไม่ได้มาเล่าเรื่องราวความรักนี้ให้เพื่อนๆฟังหรอกใช่มั้ย เราขอเรียกแฟนเราว่า “พี่” ล่ะกันนะคะ ตอนนี้พี่เค้าอายุ 27 ปีแล้วค่ะ ทำงานเป็น Maintenance อยู่โรงงานแห่งหนึ่ง ในจ.ชลบุรีเช่นกันค่ะ แนะนำตัวพอสังเขปละกันเนอะ คราวนี้เริ่มเข้าเรื่องกันเลยล่ะกัน
เมื่อตอนเราอายุ 18 ปี ตอนนั้นเราแบบว่ากำลังโสดเลยอ่ะ เพิ่งเลิกกับแฟนได้ไม่นานมันก็เซ็งๆ แล้วอยู่ในช่วงปิดเทอมพอดี ช่วงนั้นปิดเทอม ปวช.2 จะขึ้น ปวช.3 แล้วต้องไปฝีกงานแต่ก่อนไปฝีกงานเราก็อยู่บ้านเป็นอาทิตย์เลยนะ ไม่ค่อยได้ทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือแล้วก็เล่นอินเตอร์เน็ตเพื่อไปอ่านนิยายเกาหลีอีกเช่นเคย แต่มีอยู่วันหนึ่ง เราไปเจอบทความเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องความรักของญี่ปุ่นมา มันเกี่ยวกับ “ด้ายแดง” เพื่อนๆคงจะงงใช่มั้ยว่าด้ายแดงมันคืออะไรแล้วเกี่ยวกับความรักอย่างไร คือตามความเชื่อที่เราอ่านมา เค้าบอกว่า “ทุกคนจะมีด้ายแดงบางๆผูกอยู่ที่นิ้วก้อยของตัวเองมาตั้งแต่ชาติที่แล้วโดยด้ายแดงนี้ก็จะผูกกับนิ้วก้อยของอีกคนนึงที่เชื่อว่าเป็นเนื้อคู่ของเราเช่นกัน เมื่อถึงเวลาของมันด้ายแดงก็จะดึงเนื้อคู่ของเราให้มาพบกันจนได้”บทความก็ประมานนี้นะ คือตอนที่เราอ่านเรารู้สึกอินมากแล้วก็เชื่อเรื่องแบบนี้มากเลยอาจเป็นเพราะช่วงนั้นกำลังเป็นวัยรุ่นหวานแหววอยู่ ก็เลยเชื่อเรื่องแบบนี้ แล้วหลังจากอ่านเรื่องนี้ไปเราก็คิดตลอดเลยนะว่าเราจะมีด้ายแดงผูกที่นิ้วก้อยอยู่จริงมั้ย อยากพิสูจน์มากอ่ะแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงก็เลยลืมๆเรื่องนี้ไปเลย จนมาถึงวันที่เราต้องไปฝึกงานที่ทางโรงเรียนจัดมาให้นั้นก็คือฝึกงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในจ.ชลบุรีนี่แหละใกล้ๆที่โรงเรียนเลย แบ่งนักเรียนที่มาจะฝึกงานออกเป็น 2 ชุดโดยที่เราอยู่ในชุดแรกที่มาฝึกเลยเป็นงานเกี่ยวกับผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิกส์อ่ะ ยากมากงานละเอียดมากทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีนะ เราก็ทำงานไปเรื่อยๆเหงามากไม่รู้จักใครเลยเพื่อนๆก็ต้องแยกกันฝึกคนละตำแหน่งไม่มีเพื่อนคุยเลยแต่ก็ฝึกจนผ่านไปได้ 2 อาทิตย์ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เริ่มสนิทกับพี่ที่ทำงานแล้ว จนมาวันหนึ่งนักเรียนชุด 2 ที่จะมาฝึกงานจากโรงเรียนเราก็มา มาเยอะมากเลย ตอนนั้นกำลังพักเที่ยงพอดี แต่อยู่ดีๆเราก็รู้สึกแปลกๆนะมันเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้เรามองพี่คนนึงซึ่งเค้ากับเราไม่เคยเจอกันเลยไม่คุ้นหน้าเลยแต่เรารู้สึกว่ามีบางอย่างดึงดูดเราให้มองที่พี่เค้าตลอดเลย
ถ้าเป็นเสน่ห์ความหล่อคงจะไม่ใช่เลยเพราะพี่เค้าไม่หล่อเลยนะ ธรรมดามากเลย ผิวคล้ำ ตัวใหญ่มากกกกกก แล้วหน้าตาก็ดุ โหด น่ากลัวมาก แต่ทำไมเรากลับมองพี่เค้าตลอดเลย จนพอเลิกงานเพื่อนเราที่มารอบ 2 ก็เลยมาถามเราว่าเห็นเรามองพี่คนนั้นตลอดเลยมีอะไรมั้ย เราก็เลยบอกไปตรงๆเลยว่าเรารู้สึกถูกชะตากับพี่เค้ามากอยากรู้จัก เพื่อนเราก็เป็นผู้ชายด้วยก็เลยน่าจะง่ายในการที่ให้เพื่อนเราเข้าไปทำความรู้จักพี่เค้าให้ก่อนแบบประมานพ่อสื่ออ่ะ แต่เวลานี่สิไม่เคยเอื้ออำนวยเลยคลาดกันตลอด เข้างานไม่ตรงกันพักเที่ยงไม่ตรงกันเลิกงานก็ไม่ตรงกันไม่รู้จะหาเวลาไหนมารู้จักกันดีก็เลยปล่อยเฉยๆมาได้ประมาน 2 อาทิตย์
แล้ววันหนึ่งเพื่อนเราก็มาบอกว่าคุยกับพี่เค้าแล้วพี่เค้าเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเราเป็นรุ่นพี่เรา 2 ปี คือพี่เค้าอยู่ ปวส.1 กำลังจะขึ้น ปวส.2 ซึ่งพอเรารู้เรางงมากเลยเรียนที่เดียวกันแต่ทำไมไม่เคยเจอกันเลยโรงเรียนก็ไม่ใหญ่นะ นักเรียนก็มีไม่ถึงพันทำไมไม่เคยเจอเลย ตลกมากอ่ะ แล้วพี่เค้าก็ฝากเพื่อนเรามาถามว่าเรามองพี่เค้าทำไม พอดีพี่เค้าเห็นว่าเรามอง เรานี่เขินเลยไม่รู้ว่าเค้ามองเรากลับมาเหมือนกัน แล้ววันนั้นเลิกงานเราก็เข้าไปคุยกับพี่เค้าเลย พอได้คุยกันพี่เค้าเป็นคนอัธยาศัยดีมากนะ พูดจาดี ตลก แล้วก็ไม่หยิ่งด้วย ทำไมนิสัยตรงข้ามกับหน้าตามาก พอได้คุยกับพี่เค้าไม่นานเราก็รู้เลยว่าพี่คนนี้มีเสน่ห์มากแบบมันออกมาให้เราเห็นแบบไม่รู้ตัวเลยนะ ยิ่งผ่านไปหลายวันรู้จักกันมากขึ้นเราเริ่มรู้สึกชอบพี่เค้าเลยนะ เขินนะที่เป็นฝ่ายรู้สึกแบบนี้ก่อนผู้ชายอ่ะ พี่เค้าให้เกียรติเราด้วยนะ สุภาพดีตรงนี้เราว่าเค้าโอเคมากเลยเรากับพี่เค้าก็คุยกันทุกวันจนเวลาผ่านไป 2 เดือนกว่าๆเพราะระยะเวลาในการฝึกงานของเราคือ 3 เดือน เจอกันทุกวันพักหลังๆแผนกของเรากับพี่เค้าเข้างานพร้อมกันพักพร้อมกันเลิกงานพร้อมกันทุกอย่างมันพอดีไปหมดเลย แต่เราก็ยังไม่เห็นว่าพี่เค้าจะมีอาการชอบเราแบบผู้ชายชอบผู้หญิงเลยนะ พี่เค้าออกแนวพี่ชายน้องสาวกับเรามากเลย แต่จริงๆเราก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้ามันจะเป็นแบบนั้น แค่ได้คุยได้เห็นหน้ามันก็ดีแล้ว แล้วก็ล่วงเลยเวลามาเกือบ 3 เดือนใกล้จะฝึกงานเสร็จล่ะก็เปิดเทอมแล้ว วันนั้นเรานึกเรื่องด้ายแดงขึ้นมาพอดีเลย เราเลยลองดูเล่นๆว่ามันจะเป็นยังไงวันนั้นเรากำลังทำงานอยู่คุยกับพี่ที่ทำงานเรื่องด้ายแดงนี่เลย แล้วพี่ๆเค้าก็แบบอินตามเราด้วยนะเราก็เลยลองดูแต่เราไม่ได้เจาะจงนะว่าต้องเป็นพี่เค้ารึเปล่าที่จะเป็นเนื้อคู่เราตามความเชื่อนั้นอ่ะ เราก็เลยจับที่นิ้วก้อยขวาของเราแล้วเราก็อธิษฐานว่า “ขอให้ด้ายแดงที่ผูกอยู่ช่วยดึงเนื้อคู่เข้ามาหาเราด้วยเถอะ” พอเราพูดจบเราก็กระดิกนิ้วก้อยไว้ได้สักพักนึง เพื่อนเราที่รู้จักกับพี่เค้าเดินมาเรียกเราว่า พี่เค้าจะคุยด้วยเราก็เลยหันไปเพราะในตอนนั้นพี่เค้าอยู่แถวๆแผนกเราพอดี พอเราหันไป “พี่เค้ากลับชูนิ้วก้อยข้างซ้ายขึ้นมาให้เราแล้วก็กระดิกนิ้วเหมือนที่เราทำพอดีเลยแล้วก็ยิ้มให้เรา” ตอนนั้นพี่ที่ทำงานที่เราเพิ่งจะเล่าเรื่องด้ายแดงให้ฟังไปเมื่อกี้เค้าก็ตกใจมากเลย ส่วนเรานะอึ้งไปเลย เงียบ พูดไม่ออก คือมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญนะเราคิดอีกมุมนึงแต่อีกมุมนึงอาจเป็นเพราะ “ด้ายแดง” ก็ได้นะที่ทำให้เรากับพี่เค้ามาเจอกันมันอาจถึงเวลาของมันแล้วก็ได้มั้งเราก็ยังแอบหวังๆอยู่ แต่ก็นะตอนนั้นวินาทีนั้นเราแบบตกใจ ตื่นเต้น เขิน มันหลายความรู้สึกมากเลยไม่คิดว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ไงพี่ที่ทำงานเค้าก็บอกเราว่าน้องตุ่นเจอเนื้อคู่แน่ๆเลย คือต้องบอกก่อนเลยนะว่าเรื่องนี่เราไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยนอกจากพี่ที่ทำงานคนนี้ซึ่งเพิ่งจะเล่าไปเมื่อกี้เอง แปลกมากมันก็แล้วแต่ความเชื่อด้วยเนอะ แต่ ณ ตอนนั้นเรามีความสุขมากเลยนะบอกตรงๆ คืออยากจะเลิกงานไวๆแล้วไปคุยกับพี่เค้ามากเลย พอเลิกงานเรารีบเดินไปหาพี่เค้าเลยแล้วก็ถามพี่เค้าว่าที่เรียกเราให้หันไปแล้วก็ชูนิ้วก้อยขึ้นมาอ่ะ ทำไมถึงทำแบบนั้น พี่เค้าก็เลยบอกว่า วันนี้เค้ารู้สึกคิดถึงเรามากเลยอยากเห็นหน้า พอมีโอกาสเค้าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยากจะชูนิ้วก้อยให้เราเค้าบอกว่ารู้สึกแปลกๆที่นิ้วก้อยก็เลยชูขึ้นมาแล้วพอดีกับพี่เราหันไปเค้าก็เลยชูเอาไว้เพราะคิดว่ามันน่ารักดีเลยอยากทำให้เรา จริงๆแล้วสำหรับพี่เค้าอาจเป็นเรื่องบังเอิญนะแต่ในความเชื่อของเราแล้วเรากลับรู้สึกว่าพี่เค้าเนี่ยแหละเนื้อคู่เรา หลังจากฝึกงานเสร็จแล้วเปิดเทอมได้ไม่กี่วันพี่เค้าก็ส่งข้อความมาว่า เมื่อไหร่พี่เค้าจะได้เป็นแฟนกับเราสักที พอเราอ่านจบนะดีใจมากเลยไม่รู้ว่าพี่เค้าจะคิดแบบนี้กับเราเหมือนกัน พอไปโรงเรียนพี่เค้ากับเพื่อนๆก็เดินมากินข้าวกับเราที่โรงอาหารแล้วรู้มั้ยเพื่อนเค้าทุกคนเราเคยเห็นหมดเลยแถมบางคนนั่งรถโรงเรียนกับเราด้วย แต่พี่แค่พี่เค้าคนเดียวที่เราไม่เคยเห็นเลยแปลกมากเลยนะอะไรจะบังเอิญแบบนี้ หลังจากนั้นเราก็ตกลงคบกันพี่เค้า เป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลย จากที่พี่เค้าเรียนไม่ค่อยดี เกเรหน่อยๆ เราก็ช่วยเปลี่ยนเค้าให้ดีขึ้นจนอาจารย์หลายคนชมนะว่าเค้าปรับปรุงตัวเองดีขึ้นมาก จนเมื่อเรียนจบพี่เค้าได้เกรดเฉลี่ย 3.50 เลยนะเก่งมากเลยอ่ะ ซึ่งสำหรับเรานะเราดีใจมากเลยที่เค้าพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่าเดิมแล้วดีใจมากด้วยที่เราเป็นส่วนหนึ่งในการที่ช่วยให้พี่เค้าดีขึ้นจากแต่ก่อน จนเวลาผ่านไป 2-3 ปี เราก็เรียนจบด้วยการที่พี่เค้าทำงานส่งเราเรียนมาตลอดเลยไม่เคยเดือดร้อนที่บ้านเลย ที่บ้านเรากับบ้านพี่เค้าก็โอเคกับเราสองคนมาก ช่วงเวลาที่เราคบกันมานะผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะมากเลยทั้งทุกข์ทั้งสุข เหมือนเป็นอีกครึ่งชีวิตของเราเลยนะ จนตอนนี้เรากับพี่เค้าคบกันมาได้ 5 ปีกว่าแล้ว เรื่องทะเลาะกันมันก็ต้องมีเนอะแต่เราสองคนผ่านมันมาได้ตลอด ครอบครัวเราสองคนไม่ใช่คนรวยอะไรเลยพอมีพอกิน ผู้ใหญ่เค้าแค่อยากให้เราอยู่กันแบบมีความสุขช่วยกันสร้างอนาคตให้ดีๆจะได้ไม่ต้องลำบากภายหน้า เรากับพี่เค้าก็อยู่ด้วยกันนะ พอเรียนจบทำงานมาก็ออกมาเช่าหออยู่ด้วยกัน ไม่เคยห่างกันเลยไปไหนไปด้วยกันตลอด ทั้งร้องไห้ ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ อุปสรรคเยอะแยะเลยว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ คือเราอยากจะบอกว่า ด้ายแดงมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะแล้วแต่ว่าใครเชื่อใครไม่เชื่ออย่างเราเนี่ยเราเชื่อนะ มันก็เป็นส่วนหนึ่งนะที่ทำให้เรากับพี่เค้ามาเจอกัน แต่เมื่อเราตกลงจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันแล้ว “ด้ายแดง”เส้นนั้นมันก็ยังอยู่นะมันไม่ไปไหนหรอกแต่มันจะอยู่ในรูปแบบของ “ความรัก ความเชื่อใจ ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน” แต่ถ้ามันไม่มีสิ่งนี้ในการอยู่ด้วยกันหรือคบกันเราว่ายังไงด้ายแดงก็ขาดนะ แต่ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ยังไงด้ายแดงก็ไม่มีวันขาดหรอกมีแต่จะยิ่งแน่นยิ่งมั่นคงมากขึ้นนะ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆที่อ่านแล้วจะคิดยังไงหรือรู้สึกยังไงบ้างแต่เราขอให้ทุกคนที่อ่านกระทู้นี่มีแต่ความสุขความสมหวังในเรื่องของความรักกันนะคะ (ลองกลับไปกระดิกนิ้วก้อยกันดูน้าาาาาาา)
ประสบการณ์เกี่ยวกับ "ด้ายแดง" (เชื่อเรื่องเนื้อคู่กันมั๊ย?)
ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวก่อนเลยนะคะ เราชื่อ “ตุ่น” ตอนนี้อายุ 24 ปี แล้วค่ะ ตอนนี้ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี เราเกิดและโตที่เมืองพัทยาเลยค่ะ แล้วก็มาเรียนต่อและทำงานที่ตัวเมืองชลบุรี คือไม่ชอบไปอยู่ที่ไกลๆบ้านอ่ะ เราชอบและก็รักที่จะอยู่ชลบุรีไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แล้วก็มีแฟนแล้วนะคะ 555 คือถ้าไม่มีคงไม่ได้มาเล่าเรื่องราวความรักนี้ให้เพื่อนๆฟังหรอกใช่มั้ย เราขอเรียกแฟนเราว่า “พี่” ล่ะกันนะคะ ตอนนี้พี่เค้าอายุ 27 ปีแล้วค่ะ ทำงานเป็น Maintenance อยู่โรงงานแห่งหนึ่ง ในจ.ชลบุรีเช่นกันค่ะ แนะนำตัวพอสังเขปละกันเนอะ คราวนี้เริ่มเข้าเรื่องกันเลยล่ะกัน
เมื่อตอนเราอายุ 18 ปี ตอนนั้นเราแบบว่ากำลังโสดเลยอ่ะ เพิ่งเลิกกับแฟนได้ไม่นานมันก็เซ็งๆ แล้วอยู่ในช่วงปิดเทอมพอดี ช่วงนั้นปิดเทอม ปวช.2 จะขึ้น ปวช.3 แล้วต้องไปฝีกงานแต่ก่อนไปฝีกงานเราก็อยู่บ้านเป็นอาทิตย์เลยนะ ไม่ค่อยได้ทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือแล้วก็เล่นอินเตอร์เน็ตเพื่อไปอ่านนิยายเกาหลีอีกเช่นเคย แต่มีอยู่วันหนึ่ง เราไปเจอบทความเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องความรักของญี่ปุ่นมา มันเกี่ยวกับ “ด้ายแดง” เพื่อนๆคงจะงงใช่มั้ยว่าด้ายแดงมันคืออะไรแล้วเกี่ยวกับความรักอย่างไร คือตามความเชื่อที่เราอ่านมา เค้าบอกว่า “ทุกคนจะมีด้ายแดงบางๆผูกอยู่ที่นิ้วก้อยของตัวเองมาตั้งแต่ชาติที่แล้วโดยด้ายแดงนี้ก็จะผูกกับนิ้วก้อยของอีกคนนึงที่เชื่อว่าเป็นเนื้อคู่ของเราเช่นกัน เมื่อถึงเวลาของมันด้ายแดงก็จะดึงเนื้อคู่ของเราให้มาพบกันจนได้”บทความก็ประมานนี้นะ คือตอนที่เราอ่านเรารู้สึกอินมากแล้วก็เชื่อเรื่องแบบนี้มากเลยอาจเป็นเพราะช่วงนั้นกำลังเป็นวัยรุ่นหวานแหววอยู่ ก็เลยเชื่อเรื่องแบบนี้ แล้วหลังจากอ่านเรื่องนี้ไปเราก็คิดตลอดเลยนะว่าเราจะมีด้ายแดงผูกที่นิ้วก้อยอยู่จริงมั้ย อยากพิสูจน์มากอ่ะแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงก็เลยลืมๆเรื่องนี้ไปเลย จนมาถึงวันที่เราต้องไปฝึกงานที่ทางโรงเรียนจัดมาให้นั้นก็คือฝึกงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในจ.ชลบุรีนี่แหละใกล้ๆที่โรงเรียนเลย แบ่งนักเรียนที่มาจะฝึกงานออกเป็น 2 ชุดโดยที่เราอยู่ในชุดแรกที่มาฝึกเลยเป็นงานเกี่ยวกับผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิกส์อ่ะ ยากมากงานละเอียดมากทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีนะ เราก็ทำงานไปเรื่อยๆเหงามากไม่รู้จักใครเลยเพื่อนๆก็ต้องแยกกันฝึกคนละตำแหน่งไม่มีเพื่อนคุยเลยแต่ก็ฝึกจนผ่านไปได้ 2 อาทิตย์ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เริ่มสนิทกับพี่ที่ทำงานแล้ว จนมาวันหนึ่งนักเรียนชุด 2 ที่จะมาฝึกงานจากโรงเรียนเราก็มา มาเยอะมากเลย ตอนนั้นกำลังพักเที่ยงพอดี แต่อยู่ดีๆเราก็รู้สึกแปลกๆนะมันเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้เรามองพี่คนนึงซึ่งเค้ากับเราไม่เคยเจอกันเลยไม่คุ้นหน้าเลยแต่เรารู้สึกว่ามีบางอย่างดึงดูดเราให้มองที่พี่เค้าตลอดเลย
ถ้าเป็นเสน่ห์ความหล่อคงจะไม่ใช่เลยเพราะพี่เค้าไม่หล่อเลยนะ ธรรมดามากเลย ผิวคล้ำ ตัวใหญ่มากกกกกก แล้วหน้าตาก็ดุ โหด น่ากลัวมาก แต่ทำไมเรากลับมองพี่เค้าตลอดเลย จนพอเลิกงานเพื่อนเราที่มารอบ 2 ก็เลยมาถามเราว่าเห็นเรามองพี่คนนั้นตลอดเลยมีอะไรมั้ย เราก็เลยบอกไปตรงๆเลยว่าเรารู้สึกถูกชะตากับพี่เค้ามากอยากรู้จัก เพื่อนเราก็เป็นผู้ชายด้วยก็เลยน่าจะง่ายในการที่ให้เพื่อนเราเข้าไปทำความรู้จักพี่เค้าให้ก่อนแบบประมานพ่อสื่ออ่ะ แต่เวลานี่สิไม่เคยเอื้ออำนวยเลยคลาดกันตลอด เข้างานไม่ตรงกันพักเที่ยงไม่ตรงกันเลิกงานก็ไม่ตรงกันไม่รู้จะหาเวลาไหนมารู้จักกันดีก็เลยปล่อยเฉยๆมาได้ประมาน 2 อาทิตย์
แล้ววันหนึ่งเพื่อนเราก็มาบอกว่าคุยกับพี่เค้าแล้วพี่เค้าเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเราเป็นรุ่นพี่เรา 2 ปี คือพี่เค้าอยู่ ปวส.1 กำลังจะขึ้น ปวส.2 ซึ่งพอเรารู้เรางงมากเลยเรียนที่เดียวกันแต่ทำไมไม่เคยเจอกันเลยโรงเรียนก็ไม่ใหญ่นะ นักเรียนก็มีไม่ถึงพันทำไมไม่เคยเจอเลย ตลกมากอ่ะ แล้วพี่เค้าก็ฝากเพื่อนเรามาถามว่าเรามองพี่เค้าทำไม พอดีพี่เค้าเห็นว่าเรามอง เรานี่เขินเลยไม่รู้ว่าเค้ามองเรากลับมาเหมือนกัน แล้ววันนั้นเลิกงานเราก็เข้าไปคุยกับพี่เค้าเลย พอได้คุยกันพี่เค้าเป็นคนอัธยาศัยดีมากนะ พูดจาดี ตลก แล้วก็ไม่หยิ่งด้วย ทำไมนิสัยตรงข้ามกับหน้าตามาก พอได้คุยกับพี่เค้าไม่นานเราก็รู้เลยว่าพี่คนนี้มีเสน่ห์มากแบบมันออกมาให้เราเห็นแบบไม่รู้ตัวเลยนะ ยิ่งผ่านไปหลายวันรู้จักกันมากขึ้นเราเริ่มรู้สึกชอบพี่เค้าเลยนะ เขินนะที่เป็นฝ่ายรู้สึกแบบนี้ก่อนผู้ชายอ่ะ พี่เค้าให้เกียรติเราด้วยนะ สุภาพดีตรงนี้เราว่าเค้าโอเคมากเลยเรากับพี่เค้าก็คุยกันทุกวันจนเวลาผ่านไป 2 เดือนกว่าๆเพราะระยะเวลาในการฝึกงานของเราคือ 3 เดือน เจอกันทุกวันพักหลังๆแผนกของเรากับพี่เค้าเข้างานพร้อมกันพักพร้อมกันเลิกงานพร้อมกันทุกอย่างมันพอดีไปหมดเลย แต่เราก็ยังไม่เห็นว่าพี่เค้าจะมีอาการชอบเราแบบผู้ชายชอบผู้หญิงเลยนะ พี่เค้าออกแนวพี่ชายน้องสาวกับเรามากเลย แต่จริงๆเราก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้ามันจะเป็นแบบนั้น แค่ได้คุยได้เห็นหน้ามันก็ดีแล้ว แล้วก็ล่วงเลยเวลามาเกือบ 3 เดือนใกล้จะฝึกงานเสร็จล่ะก็เปิดเทอมแล้ว วันนั้นเรานึกเรื่องด้ายแดงขึ้นมาพอดีเลย เราเลยลองดูเล่นๆว่ามันจะเป็นยังไงวันนั้นเรากำลังทำงานอยู่คุยกับพี่ที่ทำงานเรื่องด้ายแดงนี่เลย แล้วพี่ๆเค้าก็แบบอินตามเราด้วยนะเราก็เลยลองดูแต่เราไม่ได้เจาะจงนะว่าต้องเป็นพี่เค้ารึเปล่าที่จะเป็นเนื้อคู่เราตามความเชื่อนั้นอ่ะ เราก็เลยจับที่นิ้วก้อยขวาของเราแล้วเราก็อธิษฐานว่า “ขอให้ด้ายแดงที่ผูกอยู่ช่วยดึงเนื้อคู่เข้ามาหาเราด้วยเถอะ” พอเราพูดจบเราก็กระดิกนิ้วก้อยไว้ได้สักพักนึง เพื่อนเราที่รู้จักกับพี่เค้าเดินมาเรียกเราว่า พี่เค้าจะคุยด้วยเราก็เลยหันไปเพราะในตอนนั้นพี่เค้าอยู่แถวๆแผนกเราพอดี พอเราหันไป “พี่เค้ากลับชูนิ้วก้อยข้างซ้ายขึ้นมาให้เราแล้วก็กระดิกนิ้วเหมือนที่เราทำพอดีเลยแล้วก็ยิ้มให้เรา” ตอนนั้นพี่ที่ทำงานที่เราเพิ่งจะเล่าเรื่องด้ายแดงให้ฟังไปเมื่อกี้เค้าก็ตกใจมากเลย ส่วนเรานะอึ้งไปเลย เงียบ พูดไม่ออก คือมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญนะเราคิดอีกมุมนึงแต่อีกมุมนึงอาจเป็นเพราะ “ด้ายแดง” ก็ได้นะที่ทำให้เรากับพี่เค้ามาเจอกันมันอาจถึงเวลาของมันแล้วก็ได้มั้งเราก็ยังแอบหวังๆอยู่ แต่ก็นะตอนนั้นวินาทีนั้นเราแบบตกใจ ตื่นเต้น เขิน มันหลายความรู้สึกมากเลยไม่คิดว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ไงพี่ที่ทำงานเค้าก็บอกเราว่าน้องตุ่นเจอเนื้อคู่แน่ๆเลย คือต้องบอกก่อนเลยนะว่าเรื่องนี่เราไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยนอกจากพี่ที่ทำงานคนนี้ซึ่งเพิ่งจะเล่าไปเมื่อกี้เอง แปลกมากมันก็แล้วแต่ความเชื่อด้วยเนอะ แต่ ณ ตอนนั้นเรามีความสุขมากเลยนะบอกตรงๆ คืออยากจะเลิกงานไวๆแล้วไปคุยกับพี่เค้ามากเลย พอเลิกงานเรารีบเดินไปหาพี่เค้าเลยแล้วก็ถามพี่เค้าว่าที่เรียกเราให้หันไปแล้วก็ชูนิ้วก้อยขึ้นมาอ่ะ ทำไมถึงทำแบบนั้น พี่เค้าก็เลยบอกว่า วันนี้เค้ารู้สึกคิดถึงเรามากเลยอยากเห็นหน้า พอมีโอกาสเค้าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยากจะชูนิ้วก้อยให้เราเค้าบอกว่ารู้สึกแปลกๆที่นิ้วก้อยก็เลยชูขึ้นมาแล้วพอดีกับพี่เราหันไปเค้าก็เลยชูเอาไว้เพราะคิดว่ามันน่ารักดีเลยอยากทำให้เรา จริงๆแล้วสำหรับพี่เค้าอาจเป็นเรื่องบังเอิญนะแต่ในความเชื่อของเราแล้วเรากลับรู้สึกว่าพี่เค้าเนี่ยแหละเนื้อคู่เรา หลังจากฝึกงานเสร็จแล้วเปิดเทอมได้ไม่กี่วันพี่เค้าก็ส่งข้อความมาว่า เมื่อไหร่พี่เค้าจะได้เป็นแฟนกับเราสักที พอเราอ่านจบนะดีใจมากเลยไม่รู้ว่าพี่เค้าจะคิดแบบนี้กับเราเหมือนกัน พอไปโรงเรียนพี่เค้ากับเพื่อนๆก็เดินมากินข้าวกับเราที่โรงอาหารแล้วรู้มั้ยเพื่อนเค้าทุกคนเราเคยเห็นหมดเลยแถมบางคนนั่งรถโรงเรียนกับเราด้วย แต่พี่แค่พี่เค้าคนเดียวที่เราไม่เคยเห็นเลยแปลกมากเลยนะอะไรจะบังเอิญแบบนี้ หลังจากนั้นเราก็ตกลงคบกันพี่เค้า เป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลย จากที่พี่เค้าเรียนไม่ค่อยดี เกเรหน่อยๆ เราก็ช่วยเปลี่ยนเค้าให้ดีขึ้นจนอาจารย์หลายคนชมนะว่าเค้าปรับปรุงตัวเองดีขึ้นมาก จนเมื่อเรียนจบพี่เค้าได้เกรดเฉลี่ย 3.50 เลยนะเก่งมากเลยอ่ะ ซึ่งสำหรับเรานะเราดีใจมากเลยที่เค้าพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่าเดิมแล้วดีใจมากด้วยที่เราเป็นส่วนหนึ่งในการที่ช่วยให้พี่เค้าดีขึ้นจากแต่ก่อน จนเวลาผ่านไป 2-3 ปี เราก็เรียนจบด้วยการที่พี่เค้าทำงานส่งเราเรียนมาตลอดเลยไม่เคยเดือดร้อนที่บ้านเลย ที่บ้านเรากับบ้านพี่เค้าก็โอเคกับเราสองคนมาก ช่วงเวลาที่เราคบกันมานะผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะมากเลยทั้งทุกข์ทั้งสุข เหมือนเป็นอีกครึ่งชีวิตของเราเลยนะ จนตอนนี้เรากับพี่เค้าคบกันมาได้ 5 ปีกว่าแล้ว เรื่องทะเลาะกันมันก็ต้องมีเนอะแต่เราสองคนผ่านมันมาได้ตลอด ครอบครัวเราสองคนไม่ใช่คนรวยอะไรเลยพอมีพอกิน ผู้ใหญ่เค้าแค่อยากให้เราอยู่กันแบบมีความสุขช่วยกันสร้างอนาคตให้ดีๆจะได้ไม่ต้องลำบากภายหน้า เรากับพี่เค้าก็อยู่ด้วยกันนะ พอเรียนจบทำงานมาก็ออกมาเช่าหออยู่ด้วยกัน ไม่เคยห่างกันเลยไปไหนไปด้วยกันตลอด ทั้งร้องไห้ ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ อุปสรรคเยอะแยะเลยว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ คือเราอยากจะบอกว่า ด้ายแดงมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะแล้วแต่ว่าใครเชื่อใครไม่เชื่ออย่างเราเนี่ยเราเชื่อนะ มันก็เป็นส่วนหนึ่งนะที่ทำให้เรากับพี่เค้ามาเจอกัน แต่เมื่อเราตกลงจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันแล้ว “ด้ายแดง”เส้นนั้นมันก็ยังอยู่นะมันไม่ไปไหนหรอกแต่มันจะอยู่ในรูปแบบของ “ความรัก ความเชื่อใจ ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน” แต่ถ้ามันไม่มีสิ่งนี้ในการอยู่ด้วยกันหรือคบกันเราว่ายังไงด้ายแดงก็ขาดนะ แต่ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ยังไงด้ายแดงก็ไม่มีวันขาดหรอกมีแต่จะยิ่งแน่นยิ่งมั่นคงมากขึ้นนะ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆที่อ่านแล้วจะคิดยังไงหรือรู้สึกยังไงบ้างแต่เราขอให้ทุกคนที่อ่านกระทู้นี่มีแต่ความสุขความสมหวังในเรื่องของความรักกันนะคะ (ลองกลับไปกระดิกนิ้วก้อยกันดูน้าาาาาาา)