หลังจากใช้เวลาในการเยียวยารักษาหัวใจตัวเองจนค่อยๆดีขี้นแล้ว รู้สึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
มันเป็นบทเรียนให้เราได้เรียนรู้ ว่า ความรักจะดีต่อชีวิตของเราต่อเมื่อมันถูกต้องเท่านั้น
เรื่องที่เกิดขี้นกับเราอาจจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเรียนสูงแค่ไหน เก่งแค่ไหน
ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานธุรกิจ แต่ผู้หญิงที่ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง ไม่ได้หมายความว่า จะฉลาดรู้เท่าทันเรื่อง ความรัก เสมอไป
เราเสียศูนย์ เพราะรักใครคนนีงอย่างหมดหัวใจ และไม่เคยคิดว่า ผลจากการกระทำของตัวเอง จะตามทันให้เห็น รวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
เข้าใจว่าการเล่าเรื่องราวของตัวเองในพันทิพ อาจจะมี feedback แรงๆ กลับมา แต่ทำใจไว้แล้ว เพราะเจตนาคือ
อยากให้เรื่องของเราเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้หญิงคนอื่นๆ ได้รู้ว่า ถ้าวันใดมีผู้ชายแบบนี้เดินเข้ามาในชีวิต วิธีการที่ปฎิบัติกับเรา
วิธีการพูดจาของเขา ถ้ามาแนวๆ นี้ ให้คิดไตร่ตรองให้ดี สติกับความรัก มันควรดำเนินไปด้วยกัน
จะเล่าแบบเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด อยากให้เห็นภาพชัดๆ ว่าเค้าพูดยังไง ทำไมเราถึงเชื่อ ทำไมถึงยอมทุกอย่าง
ทำไมหลงไม่ลืมหูลืมตา ทั้งๆที่มันเริ่มมีสัญญาณบางอย่าง แต่ก็เลือกที่จะมองไม่เห็น ถ้าใครมีโอกาสได้อ่าน
อยากให้คิดว่านั่งอ่านนิยายน้ำเน่าสักเรื่องนะคะ
เมษายน 2014 จำได้วันนั้นเป็นวันที่ว่าง เปิดเฟสออนไว้ทั้งวัน อยู่ๆ ก็ได้รับข้อความ inbox เข้ามาทักทาย
เค้าคือ Professor ที่เราเคยรับแอดเป็นเพื่อนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งหลังจากรับแอดมา เราไม่เคยส่องเข้าไปดูรายละเอียดอะไร
เห็นใน news feed ผ่านๆ บ้าง แต่ไม่เคยกดไลท์ หรือ comment เพราะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
เมื่อเค้าทักมา เราก็ทักตอบตามมารยาท เค้าชวนคุยถามโน่นนี แล้วก็บอกว่า จะมาสอนที่เมืองไทยช่วงเดือน พค จนถึง มิย
อยากรู้ว่า เรามีไอเดียแนะนำได้ไหมว่า จะไปเที่ยวที่ไหนดี เราก็ตอบไปตรงๆ ว่าเค้ามีเพื่อนเป็นอาจารย์หรือนักศีกษาที่นี่
ทำไมไม่ลองขอคำแนะนำดู เค้าตอบมาว่า เห็นเราดูเป็นคนชอบทำกิจกรรม ไปโน่นไปนี่บ่อยๆ เลยน่าจะช่วยเค้าได้
( ตอนนั้นนึกในใจ แอบส่องเฟส ชั้นด้วยเหรอ ) จากนั้นก็ถามเราว่า เราชอบทำอะไรในวันหยุด เราก็บอกไปว่า
ก็แล้วแต่เวลา เที่ยวใกล้บ้าง ไกลบ้าง แต่เน้นๆ คือ ชอบกินเป็นหลัก เค้าก็บอกว่า เค้าก็ชอบกินเหมือนกัน ช่วงเค้าอยู่กรุงเทพ
เค้าไม่ค่อยมีเพื่อนไปกินข้าวด้วย ถ้าเราว่าง เค้าก็หวังว่าจะมีโอกาสได้ไปกินข้าวกัน วันนั้นจบการสนทนาไปด้วย
เรารับปากว่าจะช่วยดูสถานที่เที่ยวให้ ( วันนั้นก็ยังไม่ได้เข้าไปส่องเฟสเค้าอีก คือ ไม่ได้ใส่ใจ )
หลังจากนั้นก็มีทักทายกันปกติ เนื่องจากเค้าอยู่อเมริกา เค้ามักจะทักมาช่วงเวลาที่เราทำงาน ซึ่งเราทำธุรกิจส่วนตัว ค่อนข้างจะยุ่ง
ส่วนมากเราจะถามคำตอบคำ อยู่ๆวันนึงเค้าถามว่า เราเล่นไลน์ ไหม จำได้เราบอกเค้าไปว่าจำ ID ตัวเองไม่ได้
เค้าเลยให้ ID มาหลังจากนั้น เค้าก็เริ่มทักมาทางไลน์ ซึ่งในส่วนตัวของเราเองจะคุยต่อเมื่อเค้าทักมาก่อน
จนกระทั้งก่อนวันที่เค้าจะไปจีน เค้าไลน์มาบอกว่า เค้าจะอยู่ที่จีน 2 อาทิตย์หลังจากนั้น ก็จะมาเมืองไทย ( นึกในใจ แล้วจะมาบอกเราทำไม )
ปลายเดือน พค เค้าไลน์มาว่าอยู่เมืองไทยแล้ว ว่างไหมอยากชวนไปกินข้าว เราตกลงรับนัดไปกินข้าวแต่ก่อนที่จะรับนัด
เราเข้าไปเช็กเฟสเค้าคร่าวๆ ก็รู้สึกว่าเค้าดูเป็นคนดีและไม่น่ามีพิษภัยอะไร เป็นถึง อาจารย์ ด้วย
ก็ไม่เสียหายถ้าจะได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่อยู่กันคนละสายงาน เราชอบคุยกับคนฉลาด ชอบแลกเปลี่ยนความคิด
และสำคัญเราคิดว่า เราได้ใช้ภาษาอังกฤษ
ขอเรียกเค้าว่า Prof ซูชิ ครั้งแรกที่ได้เจอกัน รู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้ดูดีเลยทีเดียวถ้าเทียบกับอายุของเค้า รูปร่างสูงใหญ่
และมีบุคลิกที่ดูอ่อนโยนมากๆ เป็น Professor ที่ดูเด็กกว่าอายุสำหรับเรา การเจอกันวันนั้นเราคุยเรื่องสัพเพเหระ ทั่วๆ ไป
บอกตรงๆ ว่า ตอนนั้นไม่เข้าใจหรอกว่า อาชีพจริงๆ เค้าคืออะไร เข้าใจแค่ว่า เค้าเป็นอาจารย์ ที่มาบรรยายตามมหาลัยดังๆ
และเป็นอาจารย์ที่สอนอาจารย์อีกที รู้แค่ว่า Prof เดินทางไปทั่ว ทุกๆที่ที่เค้าได้รับการเชิญไปให้บรรยาย
ตอนนั้นรู้สีกให้ความนับถือ ผู้ชายคนนี้ดูดี แถมเก่งมากด้วย มีลูกศิษย์มากมาย เดินทางเกือบทั่วโลก
มันเป็นความรู้สึกชื่นชมและเป็นเกียรติ์ที่ได้มีโอกาสเจอเค้า เค้าเล่าเรื่องตัวเองมากมาย ว่าเค้าชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจ
ชอบกิน ชอบทำอาหาร ชอบดำน้ำ เค้าต้องดำน้ำทุกครั้งที่มาเมืองไทย ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกชื่มชม
ในความสามารถและไลฟ์สไตล์ชีวิตของเค้า สำหรับเรา ชีวิตไม่ค่อยได้เจอผู้ชายที่เก่งและมีความรู้ขนาดนี้
การพบกันคืนแรก จึงเป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก
วันรุ่งขึ้น Prof ซูชิ ไลน์มาหาช่วงสายๆ บอกว่าอยากชวนไปกินข้าวกลางวันด้วย
แต่เราป่วยหลังจากกลับมาจากกินข้าวกับเค้า เราป่วยปวดหัวทั้งคืนจนกระทั่งเช้าของอีกวัน
เราจีงขอโทษและปฏิเสธที่จะออกไปเจอเค้า ซึ่งเค้าก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่ส่ง sticker เป็นรูปหน้าเศร้ามา เราเลยถามไปว่า
“ดูเหมือนยูต้องการ attention จากไอเลยนะ” เค้าก็บอกว่า “ ใช่” เค้าเหงาไม่รู้จะไปไหนทำอะไร เพราะไม่มีสอน
รู้สึกสงสารเลยบอกเค้าไปว่า อีกสองวันจะเป็นวันเกิดของไอ เอาไว้ไปกินข้าวด้วยกันนะ เค้าส่ง sticker กลับมาเป็นกระโดดโลดเต้นดีใจ
ตอนนั้นเริ่มรู้สีกว่า…เค้าน่ารักดี เหมือนเด็กเลย
ถัดจากนั้นไป 3 วัน เราก็ได้เจอกันอีก วันนั้นเป็นวันเกิดเราพอดี เค้าพาเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่น
เป็นเพราะร้านแน่นมากเราไม่ได้โต๊ะ จีงต้องมานั่งหน้าเคาเตอร์แทน จึงทำให้เราต้องนั่งติดกันแบบแขนชนแขนเลยทีเดียว
วันนี้เราได้พูดคุยกันเยอะมากขี้นอีก รู้สึกรีเล็กซ์ไม่เกร็งเหมือนวันแรก ไม่รู้อะไรทำให้เราถามเค้าออกไปว่า
“ ยูเดินทางขนาดนี้ ครอบครัวยูโอเครเหรอ” เค้าตอบว่า “ เค้าต้องทำงาน ครอบครัวเค้าต้องเข้าใจและเค้ากับภรรยาก็อยู่กันมานานมาก จนเหมือนเป็นพี่น้องมากกว่าคนรัก” จากนั้นเค้าก็หันมาถามเราบ้างว่า
“แล้วทำไมยูยังไม่แต่งงาน ยูทั้งสวย ทั้งเก่ง ทำไมยังเป็นโสด”
เราก็บอกเค้าไปว่า เราก็เคยมีคนรัก แต่เป็นเพราะเราเจอผู้ชายเจ้าชู้มาก เราเหนื่อย เราเลยเลือกที่จะอยู่คนเดียวดีกว่า
“เดินทางบ่อยๆแบบนี้ ยูไม่มีผู้หญิงเข้ามาหาเลยเหรอ”
“ ชั้นยุ่งเกินไป ยุ่งมากจนไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ อีกอย่างชั้นเป็นคนขี้อายมาก”
แอบอึ้งไปเล็กน้อย นึกว่าเค้าจะตอบว่า ชั้นแต่งงานแล้ว จะไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นได้ไง ผิดคาดไปกะคำตอบนี้
ไอ้เราก็ถามแบบคนเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าไปความอยากรู้อยากเห็นว่าผู้ชายที่เค้าเดินทางมากๆ
ห่างครอบครัวไปนานๆ เค้าคิดอะไร
“ แล้วเพื่อนร่วมงานหรือนักเรียนละ” อันนี้ก็อยากรู้อยากเห็นล้วนๆ
“ NO WAY ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ชั้นไม่มีวันแตะต้องเพื่อนร่วมงานหรือนักเรียนเด็ดขาด มันเสี่ยงต่ออาชีพของชั้นมาก”
“ Never ไม่เคยเลยเหรอ?? ยูออกจะแฮนด์ซั่ม ขนาดนี้”
“ ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว บางทีชั้นก็ดูออกนะ ถ้านักเรียนคนไหนเค้ามาใกล้ชิดเกินไป ชั้นก็จะทำเป็นไม่สนใจและพยายามอยู่ให้ห่าง ตอนชั้นไปสอนที่ญี่ปุ่น มีเพื่อนร่วมงานพยายามจะขอขี้นไปดื่มต่อในห้องของชั้น ชั้นก็ปฏิเสธแบบเลี่ยงๆ ไม่ให้ผู้หญิงเสียหน้า ว่าห้องของชั้นมันเล็กเกินไปสำหรับสองคน แค่นี้ผู้หญิงก็รู้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ”
ตอนนั้นเราแบบ จริงเหรอ เค้าสามารถ control ตัวเองได้ขนาดนี้เลย เป็นผู้ชายคนอื่นคงไม่เหลือ
เค้าบอกว่าเวลาที่เค้าเดินทาง ถ้าไม่ได้มี meeting, dinner หรือ event กับเพื่อนอาจารย์หรือนักเรียนที่เค้าสอน
เค้าก็จะอยู่แต่ในห้องทำงาน หรือไม่ก็ดื่มในห้อง ไม่ออกไปไหน ไม่รู้ทำไมตอนนั้นเค้าพูดอะไรมา
เราเชื่อเค้าหมด อาจจะเพราะความที่เค้าเป็นอาจารย์ เค้ามีหลักการในการพูด ดูมีเหตุผล น่าเชื่อถือ
ไฮไลท์ของคืนนั้นมันอยู่ที่ เค้าทำเซอร์ไพรส์ให้ร้านจัดเตรียมเค้กวันเกิดไว้ให้ เราก็ดีใจสุดๆ ทำไมเค้าน่ารักขนาดนี้
แต่ที่มันไฮไลท์ยิ่งกว่านั้น ......คือ…..พอเราเป่าเค๊กเสร็จ เค้าโน้มตัวมาหอมแก้ม แล้วบอกว่า I like you,
เราตกใจ ถึงจะดื่มไปบ้างแต่มีสติ สวนเค้าไปทันทีว่า
“ นี่ ยูเมาหรือเปล่า!!” รู้ตัวเปล่าว่าทำอะไร" เค้าตอบมาว่า
Yes, I like you a lot! แล้วจูบที่แก้มอีกทีนึง ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก งง มองหน้าเค้า นิ่งไปสักพักแล้วบอกเค้าว่า
“ ไอไม่ต้องการความสัมพันชั่วคราวหรือแค่สนุกๆ คืนเดียว อย่าทำแบบนี้กับไอ”
เค้าบอกว่า “ ชั้นไม่เคยคิดว่า ยูเป็นผู้หญิงแบบนั้น นั้นเป็นเหตุผลที่ชั้นชอบเธอ”
“ แต่ยูมีครอบครัวแล้ว”
“ ชั้นขอโทษ แต่การตกหลุมรักใครสักคน มันไม่มีเหตุผลนะ”
เจอมุขนี้เข้าไป เราไปต่อไม่ถูก มันมีทั้งตกใจและรู้สึกดี ( ไม่โกหกว่าตอนนั้นลึกๆ รู้สึกดีใจ )
ยอมรับว่า Prof เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากๆ ความอ่อนโยน ของเค้า บอกเลยไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่เคลิ้ม
หลังจากประโยคเด็ดนี้ เราก็ไม่พูดอะไรอีกเลย บอกเค้าว่าเช็กบิลกลับเถอะ เค้าบอกว่าอยากไปดื่มต่อ
แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงเคอร์ฟิว เราบอกเค้าว่าที่ไหนก็ปิดแค่เที่ยงคืน ยูกลับไปพักผ่อนดีกว่า เราขับรถไปส่งเค้ากลับที่พัก
เค้าก็ไม่ยอมลงจากรถอีก ที่นี้จู่โจมเราแบบไม่ทันตั้งตัวอีก เราผลักเค้าออก ย้ำเค้าไปอีกว่า
“ I’m not for fun” อย่าทำแบบนี้ เค้าเลยปล่อยแล้วก็ขอโทษ บอกว่าหักห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ
เราขับรถออกมา ด้วยความรู้สึกสับสน ว้าวุ่นใจ เริ่มรู้สึกว่า หรือเค้าจะเป็น Playboy ล่าผู้หญิงไปเรื่อยๆ
แต่ทำไมเวลาอยู่ใกล้ๆเค้า เราถึงมีความสุขขนาดนี้นะ ทำไมรู้สึกดีกับเค้า เค้าเจอผู้หญิงมากมาย
แล้วทำไมเค้าเลือกเรา ทำไม…ทำไม…ทำไม….
เป็นครั้งแรกที่เริ่มส่องเฟสเค้าแบบจริงจัง ถึงได้รู้ว่า เค้าค่อนข้าง popular มากในสายงานของเค้า
ทั้งต่างประเทศและในไทยเองก็ตาม มีตำแหน่งที่จัดว่าเป็นที่เคารพนับหน้าถือตามากๆ เค้ามาเมืองไทยปีละครั้ง
หรือสองครั้ง ดูจากเฟสแล้ว เค้ารู้จักเมืองไทยเป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่า ไม่ค่อยมีเพื่อนหรือไม่มีใครให้ hang around ด้วย
ผ่านไปสองวัน เค้าทักไลน์มาอีก บอกว่าเค้าจะสอนในกรุงเทพอีกแค่อาทิตย์เดียว เค้าจะต้องกลับบ้านแล้ว
เค้าอยากเจอเราอีกสักครั้ง เราก็เลือกที่จะไปเจอเค้าอีก ด้วยความอยากรู้ว่าความรู้สึกที่เค้ามีให้เรามันคืออะไร
เพราะกลางวันเค้ามีสอนตลอด ทำให้เราต้องเจอเค้าได้เฉพาะช่วงเวลาเย็นไปแล้ว ช่วงที่กินข้าวเราก็ถามเค้าว่า
“ ทำไมถึงเป็นไอ ยูบอกเองว่า ยูไม่เคยทำตัวแบบนี้มาก่อน”
“ ชั้นก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ตัวว่ามันเกิดขี้นตอนไหน รู้แต่ว่าชอบตามดูเฟสเธอเป็นระยะๆ
เรื่องที่ขอให้เธอช่วยแนะนำที่เที่ยวให้มันเป็นแค่ข้ออ้าง พอเราได้เจอกัน ชั้นรู้สึกว่า YOU JUST RIGHT
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ มันใช่ ทุกอย่างสำหรับชั้น ชั้นไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้ชั้นจะตกหลุมรักผู้หญิงคนไหนได้อีก
เธอไม่เหมือนคนอื่น เธอทำให้ชั้นแหกกฎทุกข้อของชั้น เธอเป็นผู้หญิงคนที่สองในชีวิตชั้น ที่ทำให้ชั้นรู้สึกแบบนี้ได้”
Professor & I (( เมื่อฉันเจอกับ playboy ในคราบอาจารย์ เป็นกิ๊กยังไงๆ มันก็เจ็บ )) บทเรียนนี้จำไม่ลืม T T
มันเป็นบทเรียนให้เราได้เรียนรู้ ว่า ความรักจะดีต่อชีวิตของเราต่อเมื่อมันถูกต้องเท่านั้น
เรื่องที่เกิดขี้นกับเราอาจจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเรียนสูงแค่ไหน เก่งแค่ไหน
ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานธุรกิจ แต่ผู้หญิงที่ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง ไม่ได้หมายความว่า จะฉลาดรู้เท่าทันเรื่อง ความรัก เสมอไป
เราเสียศูนย์ เพราะรักใครคนนีงอย่างหมดหัวใจ และไม่เคยคิดว่า ผลจากการกระทำของตัวเอง จะตามทันให้เห็น รวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
เข้าใจว่าการเล่าเรื่องราวของตัวเองในพันทิพ อาจจะมี feedback แรงๆ กลับมา แต่ทำใจไว้แล้ว เพราะเจตนาคือ
อยากให้เรื่องของเราเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้หญิงคนอื่นๆ ได้รู้ว่า ถ้าวันใดมีผู้ชายแบบนี้เดินเข้ามาในชีวิต วิธีการที่ปฎิบัติกับเรา
วิธีการพูดจาของเขา ถ้ามาแนวๆ นี้ ให้คิดไตร่ตรองให้ดี สติกับความรัก มันควรดำเนินไปด้วยกัน
จะเล่าแบบเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด อยากให้เห็นภาพชัดๆ ว่าเค้าพูดยังไง ทำไมเราถึงเชื่อ ทำไมถึงยอมทุกอย่าง
ทำไมหลงไม่ลืมหูลืมตา ทั้งๆที่มันเริ่มมีสัญญาณบางอย่าง แต่ก็เลือกที่จะมองไม่เห็น ถ้าใครมีโอกาสได้อ่าน
อยากให้คิดว่านั่งอ่านนิยายน้ำเน่าสักเรื่องนะคะ
เมษายน 2014 จำได้วันนั้นเป็นวันที่ว่าง เปิดเฟสออนไว้ทั้งวัน อยู่ๆ ก็ได้รับข้อความ inbox เข้ามาทักทาย
เค้าคือ Professor ที่เราเคยรับแอดเป็นเพื่อนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งหลังจากรับแอดมา เราไม่เคยส่องเข้าไปดูรายละเอียดอะไร
เห็นใน news feed ผ่านๆ บ้าง แต่ไม่เคยกดไลท์ หรือ comment เพราะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
เมื่อเค้าทักมา เราก็ทักตอบตามมารยาท เค้าชวนคุยถามโน่นนี แล้วก็บอกว่า จะมาสอนที่เมืองไทยช่วงเดือน พค จนถึง มิย
อยากรู้ว่า เรามีไอเดียแนะนำได้ไหมว่า จะไปเที่ยวที่ไหนดี เราก็ตอบไปตรงๆ ว่าเค้ามีเพื่อนเป็นอาจารย์หรือนักศีกษาที่นี่
ทำไมไม่ลองขอคำแนะนำดู เค้าตอบมาว่า เห็นเราดูเป็นคนชอบทำกิจกรรม ไปโน่นไปนี่บ่อยๆ เลยน่าจะช่วยเค้าได้
( ตอนนั้นนึกในใจ แอบส่องเฟส ชั้นด้วยเหรอ ) จากนั้นก็ถามเราว่า เราชอบทำอะไรในวันหยุด เราก็บอกไปว่า
ก็แล้วแต่เวลา เที่ยวใกล้บ้าง ไกลบ้าง แต่เน้นๆ คือ ชอบกินเป็นหลัก เค้าก็บอกว่า เค้าก็ชอบกินเหมือนกัน ช่วงเค้าอยู่กรุงเทพ
เค้าไม่ค่อยมีเพื่อนไปกินข้าวด้วย ถ้าเราว่าง เค้าก็หวังว่าจะมีโอกาสได้ไปกินข้าวกัน วันนั้นจบการสนทนาไปด้วย
เรารับปากว่าจะช่วยดูสถานที่เที่ยวให้ ( วันนั้นก็ยังไม่ได้เข้าไปส่องเฟสเค้าอีก คือ ไม่ได้ใส่ใจ )
หลังจากนั้นก็มีทักทายกันปกติ เนื่องจากเค้าอยู่อเมริกา เค้ามักจะทักมาช่วงเวลาที่เราทำงาน ซึ่งเราทำธุรกิจส่วนตัว ค่อนข้างจะยุ่ง
ส่วนมากเราจะถามคำตอบคำ อยู่ๆวันนึงเค้าถามว่า เราเล่นไลน์ ไหม จำได้เราบอกเค้าไปว่าจำ ID ตัวเองไม่ได้
เค้าเลยให้ ID มาหลังจากนั้น เค้าก็เริ่มทักมาทางไลน์ ซึ่งในส่วนตัวของเราเองจะคุยต่อเมื่อเค้าทักมาก่อน
จนกระทั้งก่อนวันที่เค้าจะไปจีน เค้าไลน์มาบอกว่า เค้าจะอยู่ที่จีน 2 อาทิตย์หลังจากนั้น ก็จะมาเมืองไทย ( นึกในใจ แล้วจะมาบอกเราทำไม )
ปลายเดือน พค เค้าไลน์มาว่าอยู่เมืองไทยแล้ว ว่างไหมอยากชวนไปกินข้าว เราตกลงรับนัดไปกินข้าวแต่ก่อนที่จะรับนัด
เราเข้าไปเช็กเฟสเค้าคร่าวๆ ก็รู้สึกว่าเค้าดูเป็นคนดีและไม่น่ามีพิษภัยอะไร เป็นถึง อาจารย์ ด้วย
ก็ไม่เสียหายถ้าจะได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่อยู่กันคนละสายงาน เราชอบคุยกับคนฉลาด ชอบแลกเปลี่ยนความคิด
และสำคัญเราคิดว่า เราได้ใช้ภาษาอังกฤษ
ขอเรียกเค้าว่า Prof ซูชิ ครั้งแรกที่ได้เจอกัน รู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้ดูดีเลยทีเดียวถ้าเทียบกับอายุของเค้า รูปร่างสูงใหญ่
และมีบุคลิกที่ดูอ่อนโยนมากๆ เป็น Professor ที่ดูเด็กกว่าอายุสำหรับเรา การเจอกันวันนั้นเราคุยเรื่องสัพเพเหระ ทั่วๆ ไป
บอกตรงๆ ว่า ตอนนั้นไม่เข้าใจหรอกว่า อาชีพจริงๆ เค้าคืออะไร เข้าใจแค่ว่า เค้าเป็นอาจารย์ ที่มาบรรยายตามมหาลัยดังๆ
และเป็นอาจารย์ที่สอนอาจารย์อีกที รู้แค่ว่า Prof เดินทางไปทั่ว ทุกๆที่ที่เค้าได้รับการเชิญไปให้บรรยาย
ตอนนั้นรู้สีกให้ความนับถือ ผู้ชายคนนี้ดูดี แถมเก่งมากด้วย มีลูกศิษย์มากมาย เดินทางเกือบทั่วโลก
มันเป็นความรู้สึกชื่นชมและเป็นเกียรติ์ที่ได้มีโอกาสเจอเค้า เค้าเล่าเรื่องตัวเองมากมาย ว่าเค้าชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจ
ชอบกิน ชอบทำอาหาร ชอบดำน้ำ เค้าต้องดำน้ำทุกครั้งที่มาเมืองไทย ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกชื่มชม
ในความสามารถและไลฟ์สไตล์ชีวิตของเค้า สำหรับเรา ชีวิตไม่ค่อยได้เจอผู้ชายที่เก่งและมีความรู้ขนาดนี้
การพบกันคืนแรก จึงเป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก
วันรุ่งขึ้น Prof ซูชิ ไลน์มาหาช่วงสายๆ บอกว่าอยากชวนไปกินข้าวกลางวันด้วย
แต่เราป่วยหลังจากกลับมาจากกินข้าวกับเค้า เราป่วยปวดหัวทั้งคืนจนกระทั่งเช้าของอีกวัน
เราจีงขอโทษและปฏิเสธที่จะออกไปเจอเค้า ซึ่งเค้าก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่ส่ง sticker เป็นรูปหน้าเศร้ามา เราเลยถามไปว่า
“ดูเหมือนยูต้องการ attention จากไอเลยนะ” เค้าก็บอกว่า “ ใช่” เค้าเหงาไม่รู้จะไปไหนทำอะไร เพราะไม่มีสอน
รู้สึกสงสารเลยบอกเค้าไปว่า อีกสองวันจะเป็นวันเกิดของไอ เอาไว้ไปกินข้าวด้วยกันนะ เค้าส่ง sticker กลับมาเป็นกระโดดโลดเต้นดีใจ
ตอนนั้นเริ่มรู้สีกว่า…เค้าน่ารักดี เหมือนเด็กเลย
ถัดจากนั้นไป 3 วัน เราก็ได้เจอกันอีก วันนั้นเป็นวันเกิดเราพอดี เค้าพาเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่น
เป็นเพราะร้านแน่นมากเราไม่ได้โต๊ะ จีงต้องมานั่งหน้าเคาเตอร์แทน จึงทำให้เราต้องนั่งติดกันแบบแขนชนแขนเลยทีเดียว
วันนี้เราได้พูดคุยกันเยอะมากขี้นอีก รู้สึกรีเล็กซ์ไม่เกร็งเหมือนวันแรก ไม่รู้อะไรทำให้เราถามเค้าออกไปว่า
“ ยูเดินทางขนาดนี้ ครอบครัวยูโอเครเหรอ” เค้าตอบว่า “ เค้าต้องทำงาน ครอบครัวเค้าต้องเข้าใจและเค้ากับภรรยาก็อยู่กันมานานมาก จนเหมือนเป็นพี่น้องมากกว่าคนรัก” จากนั้นเค้าก็หันมาถามเราบ้างว่า
“แล้วทำไมยูยังไม่แต่งงาน ยูทั้งสวย ทั้งเก่ง ทำไมยังเป็นโสด”
เราก็บอกเค้าไปว่า เราก็เคยมีคนรัก แต่เป็นเพราะเราเจอผู้ชายเจ้าชู้มาก เราเหนื่อย เราเลยเลือกที่จะอยู่คนเดียวดีกว่า
“เดินทางบ่อยๆแบบนี้ ยูไม่มีผู้หญิงเข้ามาหาเลยเหรอ”
“ ชั้นยุ่งเกินไป ยุ่งมากจนไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ อีกอย่างชั้นเป็นคนขี้อายมาก”
แอบอึ้งไปเล็กน้อย นึกว่าเค้าจะตอบว่า ชั้นแต่งงานแล้ว จะไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นได้ไง ผิดคาดไปกะคำตอบนี้
ไอ้เราก็ถามแบบคนเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าไปความอยากรู้อยากเห็นว่าผู้ชายที่เค้าเดินทางมากๆ
ห่างครอบครัวไปนานๆ เค้าคิดอะไร
“ แล้วเพื่อนร่วมงานหรือนักเรียนละ” อันนี้ก็อยากรู้อยากเห็นล้วนๆ
“ NO WAY ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ชั้นไม่มีวันแตะต้องเพื่อนร่วมงานหรือนักเรียนเด็ดขาด มันเสี่ยงต่ออาชีพของชั้นมาก”
“ Never ไม่เคยเลยเหรอ?? ยูออกจะแฮนด์ซั่ม ขนาดนี้”
“ ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว บางทีชั้นก็ดูออกนะ ถ้านักเรียนคนไหนเค้ามาใกล้ชิดเกินไป ชั้นก็จะทำเป็นไม่สนใจและพยายามอยู่ให้ห่าง ตอนชั้นไปสอนที่ญี่ปุ่น มีเพื่อนร่วมงานพยายามจะขอขี้นไปดื่มต่อในห้องของชั้น ชั้นก็ปฏิเสธแบบเลี่ยงๆ ไม่ให้ผู้หญิงเสียหน้า ว่าห้องของชั้นมันเล็กเกินไปสำหรับสองคน แค่นี้ผู้หญิงก็รู้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ”
ตอนนั้นเราแบบ จริงเหรอ เค้าสามารถ control ตัวเองได้ขนาดนี้เลย เป็นผู้ชายคนอื่นคงไม่เหลือ
เค้าบอกว่าเวลาที่เค้าเดินทาง ถ้าไม่ได้มี meeting, dinner หรือ event กับเพื่อนอาจารย์หรือนักเรียนที่เค้าสอน
เค้าก็จะอยู่แต่ในห้องทำงาน หรือไม่ก็ดื่มในห้อง ไม่ออกไปไหน ไม่รู้ทำไมตอนนั้นเค้าพูดอะไรมา
เราเชื่อเค้าหมด อาจจะเพราะความที่เค้าเป็นอาจารย์ เค้ามีหลักการในการพูด ดูมีเหตุผล น่าเชื่อถือ
ไฮไลท์ของคืนนั้นมันอยู่ที่ เค้าทำเซอร์ไพรส์ให้ร้านจัดเตรียมเค้กวันเกิดไว้ให้ เราก็ดีใจสุดๆ ทำไมเค้าน่ารักขนาดนี้
แต่ที่มันไฮไลท์ยิ่งกว่านั้น ......คือ…..พอเราเป่าเค๊กเสร็จ เค้าโน้มตัวมาหอมแก้ม แล้วบอกว่า I like you,
เราตกใจ ถึงจะดื่มไปบ้างแต่มีสติ สวนเค้าไปทันทีว่า
“ นี่ ยูเมาหรือเปล่า!!” รู้ตัวเปล่าว่าทำอะไร" เค้าตอบมาว่า
Yes, I like you a lot! แล้วจูบที่แก้มอีกทีนึง ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก งง มองหน้าเค้า นิ่งไปสักพักแล้วบอกเค้าว่า
“ ไอไม่ต้องการความสัมพันชั่วคราวหรือแค่สนุกๆ คืนเดียว อย่าทำแบบนี้กับไอ”
เค้าบอกว่า “ ชั้นไม่เคยคิดว่า ยูเป็นผู้หญิงแบบนั้น นั้นเป็นเหตุผลที่ชั้นชอบเธอ”
“ แต่ยูมีครอบครัวแล้ว”
“ ชั้นขอโทษ แต่การตกหลุมรักใครสักคน มันไม่มีเหตุผลนะ”
เจอมุขนี้เข้าไป เราไปต่อไม่ถูก มันมีทั้งตกใจและรู้สึกดี ( ไม่โกหกว่าตอนนั้นลึกๆ รู้สึกดีใจ )
ยอมรับว่า Prof เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากๆ ความอ่อนโยน ของเค้า บอกเลยไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่เคลิ้ม
หลังจากประโยคเด็ดนี้ เราก็ไม่พูดอะไรอีกเลย บอกเค้าว่าเช็กบิลกลับเถอะ เค้าบอกว่าอยากไปดื่มต่อ
แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงเคอร์ฟิว เราบอกเค้าว่าที่ไหนก็ปิดแค่เที่ยงคืน ยูกลับไปพักผ่อนดีกว่า เราขับรถไปส่งเค้ากลับที่พัก
เค้าก็ไม่ยอมลงจากรถอีก ที่นี้จู่โจมเราแบบไม่ทันตั้งตัวอีก เราผลักเค้าออก ย้ำเค้าไปอีกว่า
“ I’m not for fun” อย่าทำแบบนี้ เค้าเลยปล่อยแล้วก็ขอโทษ บอกว่าหักห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ
เราขับรถออกมา ด้วยความรู้สึกสับสน ว้าวุ่นใจ เริ่มรู้สึกว่า หรือเค้าจะเป็น Playboy ล่าผู้หญิงไปเรื่อยๆ
แต่ทำไมเวลาอยู่ใกล้ๆเค้า เราถึงมีความสุขขนาดนี้นะ ทำไมรู้สึกดีกับเค้า เค้าเจอผู้หญิงมากมาย
แล้วทำไมเค้าเลือกเรา ทำไม…ทำไม…ทำไม….
เป็นครั้งแรกที่เริ่มส่องเฟสเค้าแบบจริงจัง ถึงได้รู้ว่า เค้าค่อนข้าง popular มากในสายงานของเค้า
ทั้งต่างประเทศและในไทยเองก็ตาม มีตำแหน่งที่จัดว่าเป็นที่เคารพนับหน้าถือตามากๆ เค้ามาเมืองไทยปีละครั้ง
หรือสองครั้ง ดูจากเฟสแล้ว เค้ารู้จักเมืองไทยเป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่า ไม่ค่อยมีเพื่อนหรือไม่มีใครให้ hang around ด้วย
ผ่านไปสองวัน เค้าทักไลน์มาอีก บอกว่าเค้าจะสอนในกรุงเทพอีกแค่อาทิตย์เดียว เค้าจะต้องกลับบ้านแล้ว
เค้าอยากเจอเราอีกสักครั้ง เราก็เลือกที่จะไปเจอเค้าอีก ด้วยความอยากรู้ว่าความรู้สึกที่เค้ามีให้เรามันคืออะไร
เพราะกลางวันเค้ามีสอนตลอด ทำให้เราต้องเจอเค้าได้เฉพาะช่วงเวลาเย็นไปแล้ว ช่วงที่กินข้าวเราก็ถามเค้าว่า
“ ทำไมถึงเป็นไอ ยูบอกเองว่า ยูไม่เคยทำตัวแบบนี้มาก่อน”
“ ชั้นก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ตัวว่ามันเกิดขี้นตอนไหน รู้แต่ว่าชอบตามดูเฟสเธอเป็นระยะๆ
เรื่องที่ขอให้เธอช่วยแนะนำที่เที่ยวให้มันเป็นแค่ข้ออ้าง พอเราได้เจอกัน ชั้นรู้สึกว่า YOU JUST RIGHT
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ มันใช่ ทุกอย่างสำหรับชั้น ชั้นไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้ชั้นจะตกหลุมรักผู้หญิงคนไหนได้อีก
เธอไม่เหมือนคนอื่น เธอทำให้ชั้นแหกกฎทุกข้อของชั้น เธอเป็นผู้หญิงคนที่สองในชีวิตชั้น ที่ทำให้ชั้นรู้สึกแบบนี้ได้”