นับตั้งแต่วันที่ฉันรักเธอ [ตอนที่ 23]

กระทู้สนทนา
23



    ผ่านไปหลายชั่วยาม ทุกคนก็เริ่มหาว รวมทั้งฉันด้วย ฉันชะเง้อหน้ามองนาฬิกาข้อมือเรืองแสงของพี่บริงค์แล้วก็ต้องถอนใจเบาๆ ...เพิ่งสามทุ่มเองเหรอเนี่ย แต่ทำไมอากาศหนาวจัง ฉันนั่งกอดเข่าอยู่ท่าเดิมพลางลูบๆ แขนไปด้วย ตอนนี้เสื้อผ้าก็แห้งแล้วล่ะ พวกผู้ชายต่างหยิบมันมาสวมใส่อย่างเดิม พี่บริงค์สวมเสื้อกล้ามสีขาวบางๆ ลงไปก่อน แล้วเอื้อมมือหยิบเสื้อยืดคอกลมอีกตัวมาถือไว้แล้วทำท่าจะคลุมทับบนร่างฉัน

    “ยิ่งดึกจะยิ่งหนาวนะ ห่มๆ ไว้ก่อน ^^” พี่แกยิ้มพลางสะบัดเสื้อออกแล้วค่อยๆ ห่มบริเวณแขนฉันจนมิด ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่สบายใจ

    “แล้วพี่บริงค์ล่ะ ไม่หนาวรึไง” อากาศเย็นอย่างนี้ แล้วยิ่งอยู่ในถ้ำหินอีก ฉันเชื่อเลยว่าคืนนี้พี่บริงค์จะต้องสั่นสะท้านแน่ๆ ถ้าขืนเอาเสื้อมาห่มให้ฉันแบบนี้

    “โอ๊ย สบ๊าย ^^ ไม่หนาวหรอก”

    “เอาความจริง - -^”

    “สั่นอยู่เนี่ย งั่กๆๆๆ =w=” พี่บริงค์แยกเขี้ยวทำปากสั่นๆ พลางลูบแขนไปมาอย่างกับกำลังนั่งอยู่ในบ้านของชาวเอสกิโม ฉันตีแขนเขาเบาๆ อย่างหมั่นไส้แล้วอมยิ้ม

    “เวอร์!” ฉันย่นจมูก พี่บริงค์หัวเราะร่วน

    “จู๋จี๋กันใหญ่เลยนะคู่เนี้ย หมั่นไส้” พี่โฮมแกล้งแซว(ที่กล้าแซวนี่เพราะยัยสองคนนั้นหลับปุ๋ยไปแล้ว)

    ฉันกลั้นยิ้มไว้ จะมีก็แต่พี่บริงค์เท่านั้นแหละที่เบิกตากว้าง พร้อมหน้าที่ซับสีเลือดจนแดงก่ำ

    “บ้าเหรอพี่โฮม เราสองคนเป็...”

    “...เป็นพี่น้องกันนะ หึๆ รู้คร้าบคุณพี่ชาย >_<” ยิ่งพี่โฮมพูดอย่างนั้น พี่บริงค์ก็ยิ่งนิ่งอึ้งเพราะพูดอะไรไม่ออก เขาหันมามองฉันแล้วขมวดคิ้ว ฉันก็เลยได้แต่เลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับ

    “พี่โฮมพูดแปลกๆ นะ เหมือนเขารู้เรื่องของเราเลยอ่ะ” พี่แกหันกระซิบเสียงลอดไรฟัน ฉันแสร้งตีหน้าเอ๋อเหลอ “เรื่องของเรา? อะไรเหรอ o_o” ฉันยื่นปากแอ๊บแบ๊วทำเป็นไม่เข้าใจสุดๆ พี่บริงค์ทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจก่อนจะกระซิบเสียงลอดไรฟันอีกครั้ง “ก็เรื่องที่ว่าเราไม่ได้เป็นพี่น้องกันไง!” ฉันเม้มปากอำพรางยิ้มไว้ ก่อนจะตีหน้าซื่อ แล้วพูดหน้าตายกลับไป

    “ก็อือน่ะสิ”

    “อะไรอือน่ะสิ? -_-^” พี่ชายกำมะลอขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ

    “ก็รู้แล้วน่ะสิ” ฉันตอบเสียงเรียบ พี่บริงค์เบิกตาอ้าปากกว้าง พลันหันไปมองพี่โฮมที่ยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ หันไปมองพี่แชลที่ชิงหลับไปแล้ว และหันกลับมามองฉันที่ยังคงเสแสร้งตีหน้าซื่อต่อไป “รู้แล้ว!?” พี่บริงค์กระซิบถามย้ำเสียงหลง ฉันจึงพยักหน้าหงึกๆ เพื่อซ้ำเติมความจริง

    “=[]=” พี่บริงค์อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกนอกจากยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา ฉันใช้ช่วงโอกาสนั้นแอบหันไปสบตากับพี่โฮม แล้วทำท่าระเบิดหัวเราะแบบไร้เสียง

    พี่บริงค์ลูบหน้าตัวเองอย่างคนหมดสิ้นทุกอย่างแล้วในชีวิต เขาเบ้ปากก่อนจะดึงคอเสื้อขึ้นมาคลุมศีรษะไว้ไม่ให้ใครเห็นสีหน้าของเขาที่คงกำลังเบะบูดน่าดู ฮ่าๆ

    “ไม่ต้องอายหรอกน่าบริงค์ พี่เข้าใจดี” ถึงพี่โฮมจะพูดปลอบอย่างนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังคงบ่นพึมพำอยู่ภายในเสื้อตัวเอง

    “บริงค์กับนิกิมคงสนิทกันมากนะ ^^” พี่โฮมเอ่ยขึ้นลอยๆ พลางยิ้มแห้งๆ ฉันจึงได้แต่เพียงยิ้มบางๆ เป็นคำตอบแทน

    “พี่ไม่รู้นะ ว่าพวกนายรู้จักกันได้ยังไง และรู้สึกยังไงต่อกัน แต่ขอแค่ให้จำไว้ว่า...อย่าโกหกตัวเองก็พอ เพราะเราไม่รู้ว่าวันเวลามันจะพรากเราให้จากกันไปเมื่อไหร่ รึอาจจะเป็นเร็วๆ นี้ก็ได้ใครจะไปรู้? รีบๆ ถามใจตัวเองกันซะนะ อ้อ...และพี่ก็ไม่เห็นด้วยถ้าเกิดบริงค์จะเอาเรื่องงานเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” พี่โฮมพูดยาวเหยียดจนคนฟังอย่างฉันและพี่บริงค์ถึงกับนิ่งเงียบกันไปทั้งสองคน ฉันมองพี่บริงค์ที่ค่อยๆ โผล่หัวขึ้นมาจากเสื้อ เขาหันมามองฉันด้วยสายตาที่แปลกไปจากเดิม ฉันเองก็รีบเบือนหน้าหนีหันไปมองทางอื่นเหมือนกัน

    ...ให้ตายสิพี่โฮม! พูดซะจนฉันน้ำตาคลอเบ้าแน่ะ

    ฉันต่อว่าเขาในใจยิ้มๆ พลางเหลือกตามองข้างบนเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหล  อย่าร้องไห้นะนิกิม คนอยู่เยอะขนาดนี้อย่าแหกปากร้องไห้นะ

    “ฮ้าวววว >O< โอ๊ย ง่วงๆๆ ฝันดีนะจ๊ะทั้งสองคน ^^” พี่โฮมหาวหวอดก่อนจะขอตัวไปเฝ้าพระอินทร์อีกคนอย่างเนียนๆ ตอนนี้จึงเหลือฉันกับพี่บริงค์เท่านั้นที่ยังไม่หลับไม่นอน ไม่ใช่ว่าไม่ง่วง แต่มัน...หลับไม่ลง

    ฉันทอดสายตามองอดีตกองไฟที่มอดไปได้สักพักแล้ว ฝนข้างนอกก็เริ่มซาลงจนเกือบจะหยุดตก หากความเย็นที่มันมาจากถ้ำหินทำให้ฉันต้องกระชับกอดตัวเองให้แน่นขึ้น

    หมับ

    หือ? O_O ฉันเบิกตา เมื่อจู่ๆ คนข้างตัวก็โอบไหล่ฉันให้เข้าไปซบกับอกกว้าง กลิ่นหอมจางๆ จากตัวพี่บริงค์...ไออุ่นจากอ้อมกอดของเขาที่ถูกส่งผ่านมาถึงตัวฉัน ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่อากาศเย็นแท้ๆ แต่กลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจยังไงไม่รู้แฮะ

    ฉันขยับใบหน้าคลอเคลียกับแผ่นอกกว้างอย่างหาไออุ่นเพิ่ม พี่บริงค์กระชับกอดแน่นพลางบีบไหล่ฉันเบาๆ แล้ววางหน้าลงบนศีรษะทุยๆ ของฉันอย่างอ่อนโยนก่อนจะโยกตัวไปมาเหมือนกำลังกล่อมเด็ก

    “อุ่นขึ้นมั้ย?” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเอ่ยถามเสียงแผ่วขณะโยกตัวฉันไปด้วย

    “อืม อุ่นขึ้นมากเลยล่ะ แล้วพี่บริงค์ล่ะ...ยังหนาวอยู่มั้ย?” ฉันแหงนหน้ามองเขากับอกกว้าง พี่บริงค์ก้มลงมองฉันพลางหัวเราะในลำคอ

    “ยังหนาวอยู่เลยอ่ะ ทำไงดี?” เขายิ้มทะเล้น ฉันรีบก้มหน้าลงอย่างเดิมทันทีก่อนจะแย้มริมฝีปากยิ้มกับคำถามที่ต้องการคำตอบเป็นภาษากาย แหม...จะให้ทำอะไรก็บอกมาตรงๆ เถอะคนกะล่อน ชิ!

    ฉันย่นจมูกอย่างหมั่นไส้นิดๆ ก่อนจะยอมพาดแขนแล้วโอบกอดพี่บริงค์ตอบ เขาหัวเราะในลำคอเสียงเบา แล้วกระชับกอดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย มืออุ่นหนายกขึ้นลูบผมฉันอย่างอ่อนโยน ฉันเผลอครางออกมาเพราะความง่วงเป็นเหตุ ตาปรือๆ ที่เริ่มจะปิดตามคนอื่นไปมันเริ่มหรี่ปิดลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ ก่อนจะปิดสนิท แล้วลืมไม่ขึ้นอีกเลย

    ฉันขยับตัวและใบหน้าให้เข้าที่ ก่อนจะกระชับกอดให้แน่นขึ้นกว่าเก่า เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วสิเรา...

    “ฝันดีนะครับ น้องสาวกำมะลอของพี่”

    ฉันยิ้มบางๆ กับคำอวยพรและสรรพนามใหม่นั้น ก่อนจะจมเข้าสู่ห้วงนิทราจริงๆ แล้วก็คงไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย...





    “นิกิม...นิกิม”

    ฉันลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะค่อยๆ หันไปทางต้นเสียงที่เรียกชื่อฉันอยู่ที่ไหนสักแห่ง

    “นิกิม” เสียงเรียกแหบพร่าดังอยู่ที่ปากถ้ำ ฉันปรือตามองพลางเกาหัวแกรกๆ แล้วขมวดคิ้ว

    ยัยสองสี...

    “อะไร?” ฉันถามออกไปอย่างรำคาญ ก่อนจะหาวหวอดด้วยความง่วงอีกครั้ง

    “ฉันปวดชิ้งฉ่องอ่ะ ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ โอ๊ย จะไหลแล้วๆ >_<” ยัยสองสีทำท่าปวดอย่างหนัก ฉันคิดอยู่สักพักว่าจะไปดีมั้ย แต่ยัยนั่นก็เร่งเร้าให้ฉันออกไปเร็วๆ ฉันถึงได้จำใจลุกออกไป เฮ้อ...ทำไมไม่เรียกคนอื่นแทนว้า คนจะหลับจะนอน = =

    ฉันเดินตามยัยนั่นไปอย่างเซ็งๆ เดินไปหาวไปแล้วหยุดชะงักกึก เมื่อยัยนั่นหันมาบอกว่า “รออยู่ตรงนี้นะ ห้ามไปไหนนะ ฉันจะเข้าไปทำธุระก่อน” ฉันโบกมือไล่ปากก็งึมงำๆ ว่าเชิญเถอะ ยัยนั่นจึงรีบเดินเข้าไปหลังต้นไม้อย่างรนๆ

    “ฮ้าววววววว >O<” ฉันหาวยาวเหยียด ง่วง ง่วงจริงๆ นะเนี่ย อยากนอนต่อโคตรๆ เลย แล้วเมื่อไหร่ยัยสองสีจะทำธุระส่วนตัวเสร็จซะทีเนี่ย? หวังว่าคงไม่ได้ปล่อยลูกระเบิดต่อภาคสองนะ =_=lll

    “เสร็จรึยางงง?” ฉันถามเสียงยานคางอย่างเบื่อหน่ายที่ต้องรอ

    “...” เงียบ

    “เสร็จรึยังเนี่ย? ทำไมนานจัง” ฉันเริ่มรำคาญ แต่ก็ยังคงยืนรอต่อไปอย่างง่วงงุน เอ๊ะ...ทำไมไม่ออกมาซะทีนะ ฉันชะเง้อคอดู เพ่งสายตาฝ่าความมืดมองไปยังหลังต้นไม้ แต่มันก็มืดมาก มืดจนฉันมองอะไรไม่เห็นเลย รึว่าหลับคาที่ไปแล้ว...

    “นี่ หลั...”

    ปั้ก!

    ร่างของฉันล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันทีที่มีอะไรแข็งๆ ฟาดอย่างหนักลงมาที่หลังท้ายทอย ฉันพยายามไม่สลบ ฝืนลืมตาขึ้นแต่ก็ยากเย็นเหลือเกิน

    “หึ! ง่วงนัก ก็หลับมันซะที่นี่แหละ นอนรอความตายที่กำลังจะมาเยือนซะที่นี่แหละยัยตัวดี ฮ่าๆ” ฉันได้ยินเสียงแหลมพูดอย่างสะใจก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินที่ค่อยๆ จากไปจนเหลือแต่ความเงียบกริบ สมองของฉันในตอนนี้เบลอ ดวงตาก็พร่าเบลอ มันมึนไปหมด แต่เมื่อกี้...เธอพูดว่าอะไรนะ? นอนรอความตายที่จะมาเยือนงั้นเหรอ? มัน...มันหมายความว่ายังไงกัน!?

    ฉันคิดได้แค่นั้นสติของฉันก็พลันดับวูบลงท่ามกลางความเงียบของผืนป่าที่รายรอบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่