นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา "จับตาความเคลื่อนไหวเศรษฐกิจ ค่าเงิน และหุ้น" จัดโดยธนาคารกสิกรไทยว่า ในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ ธนาคารกสิกรจะปรับตัวเลขคาดการณ์จีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ลงจากเดิม ที่ประมาณการว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.3-2.8% เพราะโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะต่ำกว่า 2.3% มีมาก จากปัจจัยกดดันคือการส่งออกยังติดลบต่อเนื่อง กำลังซื้อชะลอตัว การเบิกจ่ายภาครัฐยังต่ำกว่าเป้าหมาย จึงต้องการให้รัฐบาลเร่งออกนโยบายภาษีระยะสั้น เช่น ลดภาษีจากใบเสร็จท่องเที่ยว ซ่อมแซมบ้าน เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจให้ผู้บริโภคออกมาใช้จ่ายมากขึ้น
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดว่าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,370-1,550 จุด บนอัตราราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (ฟอร์เวิร์ดพี/อี) ที่ 12-16 เท่า ขณะที่อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (อีพีเอส) จะอยู่ที่ 96 บาท เติบโต 25% จากปี 2557 หากดัชนีขึ้นมาที่ 1,500 จุด จะเริ่มมีกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ขายทำกำไรออกมา ทั้งนี้ ในเดือนกันยายนช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ย ดัชนีหุ้นไทยมีสิทธิร่วงลงแตะระดับ 1,370 จุด หลังจากนั้นค่าบาทจะเริ่มแข็งค่าเล็กน้อย ประกอบกับช่วงปี 2559 รัฐจะลงทุนจำนวนมาก ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเริ่มดีขึ้น ดังนั้นช่วงปลายปีอาจเห็นเงินทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยบ้าง อย่างไรก็ตาม หากพี/อีหุ้นไทยลงมาอยู่ที่ 12-14 เท่า เป็นช่วงที่เหมาะสมที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ กลุ่มที่น่าสนใจคือ ธนาคาร วัสดุก่อสร้างรับเหมาก่อสร้าง ค้าปลีก กลุ่มที่ให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาดคือพลังงาน กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยุโรปคือกลุ่มเกษตร
น.ส.ปารีณา พ่วงศิริ ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุนอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2558 มีเพียง 2 เรื่อง คือ การเบิกจ่ายภาครัฐ ผลวิจัยพบว่าหากรัฐลงทุน 1 หน่วย เอกชนจะลงทุนมากกว่ารัฐ 2.7 เท่า และการท่องเที่ยว แต่จากผลสำรวจนักท่องเที่ยวต่างประเทศต้องการให้ไทยปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยและระบบคมนาคมเพื่อการท่องเที่ยวหากปรับปรุงได้จะช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวให้มากกว่า 10% เมื่อเทียบกับจีดีพี
JJNY : ′ส่งออก-กำลังซื้อ-เบิกจ่าย′แย่หมด! กสิกรเตรียมหั่น′จีดีพี′ต่ำกว่า2.3%
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดว่าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,370-1,550 จุด บนอัตราราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (ฟอร์เวิร์ดพี/อี) ที่ 12-16 เท่า ขณะที่อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (อีพีเอส) จะอยู่ที่ 96 บาท เติบโต 25% จากปี 2557 หากดัชนีขึ้นมาที่ 1,500 จุด จะเริ่มมีกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ขายทำกำไรออกมา ทั้งนี้ ในเดือนกันยายนช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ย ดัชนีหุ้นไทยมีสิทธิร่วงลงแตะระดับ 1,370 จุด หลังจากนั้นค่าบาทจะเริ่มแข็งค่าเล็กน้อย ประกอบกับช่วงปี 2559 รัฐจะลงทุนจำนวนมาก ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเริ่มดีขึ้น ดังนั้นช่วงปลายปีอาจเห็นเงินทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยบ้าง อย่างไรก็ตาม หากพี/อีหุ้นไทยลงมาอยู่ที่ 12-14 เท่า เป็นช่วงที่เหมาะสมที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ กลุ่มที่น่าสนใจคือ ธนาคาร วัสดุก่อสร้างรับเหมาก่อสร้าง ค้าปลีก กลุ่มที่ให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาดคือพลังงาน กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยุโรปคือกลุ่มเกษตร
น.ส.ปารีณา พ่วงศิริ ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุนอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2558 มีเพียง 2 เรื่อง คือ การเบิกจ่ายภาครัฐ ผลวิจัยพบว่าหากรัฐลงทุน 1 หน่วย เอกชนจะลงทุนมากกว่ารัฐ 2.7 เท่า และการท่องเที่ยว แต่จากผลสำรวจนักท่องเที่ยวต่างประเทศต้องการให้ไทยปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยและระบบคมนาคมเพื่อการท่องเที่ยวหากปรับปรุงได้จะช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวให้มากกว่า 10% เมื่อเทียบกับจีดีพี