
แวะมาทักทายกันได้ค่ะ www.facebook.com/the.samanthachiew
ถั่วเมล็ดหนึ่งกำลังดูรูปร่างกลมเกลี้ยงของตนเองในเงากระจก มันเป็นเหมือนเมล็ดถั่วแระทั่วๆไป ไม่ได้มีตาหูจมูกปากเหมือนกับคน มันมีสีเขียว ขนาดเล็ก และง่ายต่อการถูกทำลายทิ้งไป ผ่านหม้อ ผ่านกระทะ กลายเป็นอาหารจานเด็ด หรือให้ง่ายกว่านั้นก็โยนใส่ปาก เคี้ยวกรวมๆ กลืนลงคอไปเสียเลย
เหตุผลเดียวที่เจ้าถั่วเมล็ดนี้ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้กลายสภาพไปอยู่ในอาหารมื้อค่ำ หรือถูกย่อยในกระเพาะของใคร ก็เป็นเพราะมันเป็นถั่วอารมณ์ดี
แค่เหตุผลเดียวก็เกินพอแล้ว ที่จะให้พ่อครัวไว้ชีวิตมันไว้ แล้วขายมันให้แก่โรงละครสัตว์ที่เพิ่งเดินทางเข้ามาในเมือง เจ้าถั่วเป็นตัวทำเงินมากกว่าที่ถั่วในจานอาหารจะทำได้ เพราะไม่ค่อยมีใครเห็นถั่วแบบนี้สักเท่าไหร่
มันพูดมากกว่าถั่วแระเขียวๆทั่วๆไป แต่ละเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องตลกขบขัน บ่อยครั้งที่มักจะทิ้งข้อคิดประเทืองปัญญา บางครั้งก็สามารถแต่งเพลงขึ้นมาได้ด้วยซ้ำไป ด้วยความสามารถอันพิสดารเหล่านี้ คนในเมืองจึงนิยมชมชอบการแสดงของถั่ว ปากต่อปากทำให้ชื่อเสียงของมันโด่งดังไปทั่วเมือง
เด็กๆเริ่มชอบการที่ได้จูงมือพ่อแม่มานั่งดูถั่ว พ่อแม่เองก็ชอบผ่อนสมองด้วยการฟังถั่วเล่าเรื่องตลก ชาวนาชาวไร่ก็ชอบพักแรงด้วยการมาดูถั่วร้องเพลง แม้แต่พ่อค้าก็เร่งปิดร้านค้าให้เร็วขึ้น เพื่อให้มาทันดูการแสดงของถั่ว
ใครๆก็รักถั่วแระ -- -- แม้แต่พ่อครัวที่เคยเกือบจะโยนมันลงหม้อ
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการแสดงของถั่ว ตั๋วขายหมดทุกใบ และผู้ชมก็เข้ามานั่งรออยู่นานแล้ว ตามปกติ มันเป็นนักแสดงที่ไม่เคยเสียเวลาไปกับการแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่เป็นนักแสดงที่ชอบเสียเวลาไปกับการส่องกระจกในห้องแต่งตัว ชอบกระโดดโหยงๆไปมารอบโต๊ะเครื่องแป้ง หัวเราะเอิกอากก่อนจะไปขึ้นเวที ต่างกับนักละครสัตว์รอบข้างที่จำต้องนั่งนิ่งๆ ให้สมาธิบังเกิดในตัว ก่อนจะกล้าพอที่จะออกไปหาผู้ชม
เด็กขายตั๋วคนหนึ่งยังเคยยืนยัน ว่าหลังเวทีแล้วนั้น เจ้าถั่วเมล็ดนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากตอนอยู่ท่ามกลางแสงไฟและเก้าอี้ผู้ชม มันปราศจากท่าทีของความกังวล หรือความประหม่าตื่นเต้น ยิ่งใกล้เวลาเท่าไหร่ มันก็ยิ่งพร้อมแสดงขึ้นเท่านั้น -- -- ช่างเป็นถั่วที่แปลกเสียจริง
หลังจากที่เจ้าถั่วพอใจกับการดูกระจกและกลิ้งไปมาบนโต๊ะเครื่องแป้ง มันก็ร้องขอเด็กขายตั๋ว ให้ช่วยอุ้มประคองด้วยมือ นำมันไปยังบันไดเวที
ถั่วกล่าวขอบคุณเด็กขายตั๋ว แล้วกลิ้งตัวเองไปยังกลางเวที แสงไฟส่องตรงลงมา ดึงดูดทุกสายตาที่กำลังรอคอย
คราวนี้ถั่วเล่าเรื่องตลกเรื่องใหม่
เป็นเรื่องของชายที่ละทิ้งบ้านของตัวเอง เพื่อไปเป็นคนเร่ร่อนพเนจรคนหนึ่ง
เช้าวันนั้นเขารู้สึกนอนเต็มอิ่ม ร่างกายเรียกร้องให้เขาลุกขึ้นออกมาจากเตียงนอน มือข้างหนึ่งคว้าท่อนไม้สูง มือข้างหนึ่งคว้าเสื้อคลุมตัวเก่งมาสวมทับชุดนอน แล้วก็เริ่มต้นออกเดินจากบ้าน ไม่ได้ใส่กุญแจประตู ไม่ได้บอกลาใคร ไม่แม้แต่สวมรองเท้า เขาทิ้งประตูให้เปิดอ้าซ่าอยู่เช่นนั้นในขณะที่เดินไปตามถนน
เขาเดินแล้วเดินอีก เดินไปตามถนนที่ร้างผู้คน รู้สึกหนาวเล็กน้อยท่ามกลางหมอกที่ลงหนา ในที่สุดปลายเท้าเปล่าก็สัมผัสผืนดิน ชายหนุ่มรู้ตัวทันทีว่าเขาได้พ้นออกมาจากตัวเมืองแล้ว
ชายหนุ่มเดินขึ้นเขา ขึ้นแล้วขึ้นอีก สะดุดหินบ้าง เท้าเกี่ยวรากไม้บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีความคิดจะกลับหลังหันลงไปจากเขา
ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว เสื้อคลุมเริ่มหมดความหมายลงทุกที มันไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย กระทั่งไปจนถึงยอดเขา เขาก็ทิ้งเสื้อคลุมตัวนั้น ปล่อยให้มันถูกพัดปลิวลงไปยังเบื้องล่าง เขารู้สึกหนาวเย็นเพราะลมที่พัดแรง แต่ก็เป็นนาทีเดียวกันกับที่เขาได้ยินเสียงบางอย่าง ลอยมากับสายลม
เสียงนกร้องหรือเปล่า เอ ….. หรือจะเป็นเสียงระฆังสวรรค์
“ไม่น่าจะใช่” ชายหนุ่มบอกกับตนเอง “เสียงสวรรค์ย่อมดังมาจากฟากฟ้าที่สูงส่ง มิใช่มาจากลมบนยอดเขา”
เขาอาจจะหูฝาดก็เป็นได้ -- -- เมื่อคิดเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็โน้มตัวนอนลงไปกับผืนดินที่เปียกชื้น
ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงลึกลับนั้นอีก -- -- ไม่ผิดแน่ มันดังมากับสายลมที่เย็นยะเยือกนี่ แล้วดังขึ้นมากกว่าครั้งก่อนอีกด้วย
มันเป็นเพลงพิสดารที่ไม่เคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน ไม่รู้ว่าบทเพลงนี้เริ่มต้นมาจากไหน เป็นเพลงขับร้อง หรือเพลงบรรเลงก็สุดแล้วแต่จะนิยามได้
ช่างเป็นเพลงที่ยืดยาวนาน และเศร้าโศกในตลอดเนื้อเพลง ชายหนุ่มแทบไม่รู้ตัว ว่าตนร้องไห้ให้กับเสียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
แม้ว่าจะไม่มีเสียงคนร้อง หรือคำพูดชัดเจนในถ้วงทำนองเหล่านั้น แต่ชายหนุ่มก็พบว่าตนเองกำลังฟังเรื่องราวเรื่องหนึ่งผ่านบทเพลง เพลงนี้ไม่ได้เริ่มต้นบรรเลงในตอนที่เขาแว่วได้ยินเสียง หากแต่มันเล่นของมัน มานานแสนนานแล้ว มันเดินทางมาจากดินแดนที่ไกลออกไป ถูกสายลมโอบอุ้มพัดพามาตามทาง ความหวังอันแสนเลือนรางจางหายไปในอากาศทุกทีที่คาดหวังถึงจุดหมายปลายทาง
เพลงบทนี้เหนื่อยล้าเต็มที ไม่รู้ว่าจะบรรเลงต่อไปได้อีกนานแค่ไหน เหมือนกับขาที่อ่อนแรง จะก้าวก็ไม่ได้ จะยืนก็ไม่ไหว หากล้มลงไปอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นกลับมาได้หรือไม่
มันไม่อยากหยุดเพลงเอาไว้ในที่แห่งนี้เลย -- -- มันไม่อยากจบตัวเองลงที่ยอดเขาเงียบเหงาแห่งนี้ มันรู้ตัวว่ามันเป็นบทเพลงที่สวยงาม แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครฟังมันตั้งแต่ต้นจนจบเพลงเลยสักคนเดียว มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนจบของมันจะเป็นแบบไหน ไม่รู้ว่าถูกประพันธ์ให้จบลงที่โน็ตทรงพลังถึงสี่คีย์ หรือจะเป็นโน็ตเดียวที่ปล่อยให้เสียงจางหายไป
บทเพลงจะไม่มีโอกาสรู้ความหมายของตัวเองเลย ถ้ามันไปต่อจากที่นี่ไม่ได้
“เช่นนั้นจงเอาขาของฉันไปเถิด แล้วท่านจะเดินต่อไปได้” ชายหนุ่มบอกกับบทเพลง
เช่นนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงนั่งอยู่กับพื้นดิน ในสภาพชายพิการที่ปราศจากขาทั้งสองข้าง
แต่บทเพลงก็ยังคงเดินทางจากยอดเขาที่หนาวเย็นแห่งนี้ไม่ได้ เพราะมันไม่มีสองแขนโอบกอดตนเอง สายลมนิ่งสนิทดุจถูกแช่แข็งในสายหมอก บทเพลงนี้ก็เป็นเหมือนกับบทเพลงอื่นทั่วๆไป …. ไม่ว่าเพลงใดก็ตามบทโลกใบนี้ ย่อมดำเนินต่อไปไม่ได้หากโน็ตตัวถัดไปไม่ถูกบรรเลง
“อย่าเผลอนอนหลับเชียว ความหนาวจะฆ่าท่านได้โดยไม่รู้ตัว! ” ชายหนุ่มร้องเตือน “จงเอาแขนของฉันไปเถิด แล้วโอบกอดตัวท่านเอง ให้หายหนาว”
เช่นนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงกลายเป็นชายพิการที่นอนอยู่บนพื้นดินอันเปียกชื้น โดยปราศจากทั้งท่อนขาและท่อนแขน ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะยันตัวเองขึ้นมานั่ง เขาในตอนนี้มีเพียงศีรษะกับลำตัวเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่เขาเสียสละแขนขาไปนั้น บทเพลงเพลงหนึ่งก็ดังกระฮึ่มขึ้นรอบทิศ ดังมาจากทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออก และ ทางตะวันตก ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่บนพรมหนานุ่มของโรงละคร ไม่มีความเหน็บหนาวใดๆหลงเหลืออยู่อีกต่อไป มีแต่ความอบอุ่น แสงไฟ และความไพเราะของถ้วงทำนองเพลงที่ไม่คุ้นหู เป็นบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง น่าเกรงขาม มันรวมทุกสรรพสิ่งเสียงอยู่ในทุกจังหวะ
เขาได้ยินทั้งเสียงคนร้องคลอ เสียงเส้นสายของเครื่องดนตรี เสียงกลองที่ดังลั่น รวมถึงเสียงที่เขาไม่ได้ยินมานานแล้ว -- -- เสียงสายน้ำไหล เสียงร้องคำรามของสัตว์ป่า -- -- เขาได้ยินแม้แต่เสียงระฆังใสกังวาลที่อยู่สูงลิ่ว !
มันเป็นเหมือนวงดนตรีขนาดใหญ่ ที่รวมทุกศิลปินมือทองมาร่วมประพันธ์ มาร่วมบรรเลง เพลงลึกลับนี้ ไม่มีที่มาว่าปรากฎมาจากไหน หรือเริ่มต้นขึ้นมาได้อย่างไร ดูเหมือนกับว่าหน้าที่ของมันในตอนนี้ คือเพียรสร้างเสียงให้ดังต่อไป อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ชายหนุ่มรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา ในเวลานี้เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหรือสมเพชตัวเอง แต่เพียงรู้สึกสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่บางอย่างที่แฝงมากับบทเพลง -- -- มันยิ่งใหญ่และมีอำนาจอย่างเหลือเชื่อ
ในช่วงเวลาที่สติเลือนราง ชายหนุ่มก็เห็นมือคู่หนึ่งปรากฏมาจากหมอกหนาที่อยู่เหนือร่างเขา มันเป็นมือของเขาเอง -- -- มือที่เคยยันร่างเขาขึ้นมาจากเตียงนอน มือที่หยิบไม้เท้า แล้วก็เป็นมือเดียวกับที่ถูกส่งมอบไปให้แก่บทเพลง ….เพลงที่เขาเพียงแต่ได้ยินมันเท่านั้น ไม่ได้แตะต้อง หรือเห็นเป็นรูปเป็นร่าง -- -- แต่บัดนี้บทเพลงมีมือของเขาแล้ว -- -- สามารถจับต้องได้ สัมผัสได้ ไม่ได้ล่องลอยเป็นมโนภาพ -- -- มืออันคุ้นเคยคู่นั้น บรรจงลูบเส้นผมของเขา เช็ดหยดไอน้ำจากผิวหน้าอย่างอ่อนโยน คล้ายว่าจะปลอบประโลม เหมือนปลอบเด็ก
หูพลันได้ยินเสียงที่เบาหวิวดังมากับสายลม
‘ขอบคุณมาก’
แล้วชายหนุ่มก็เห็นฝ่าเท้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้าของ ก้าวเดินออกมาจากสายหมอก มันเลยผ่านร่างของเขาไป ก้าวพ้นออกไปยังสุดขอบยอดเขา เท้าที่เปลือยเปล่านั้นวางลงบนอากาศ
แล้วก็หายลับไปในสายลม
และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มได้รับรู้ ก่อนจะนอนหลับสนิทไปบนยอดเขา
ถั่วเล่าจบลงเพียงเท่านี้
เรื่องสั้นนี้ถูกเล่าท่ามกลางบรรยากาศเดียวกันกับการแสดงตลก เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะระหว่างการเล่า ไม่มีใครที่ไม่ชอบใจ และไม่มีใครที่ผิดหวังในตัวถั่วแระ มันเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นที่สุด ที่พวกเขาเคยได้ยินมา !
ฺBEAN THE TELLER ถั่วนักเล่า
แวะมาทักทายกันได้ค่ะ www.facebook.com/the.samanthachiew
ถั่วเมล็ดหนึ่งกำลังดูรูปร่างกลมเกลี้ยงของตนเองในเงากระจก มันเป็นเหมือนเมล็ดถั่วแระทั่วๆไป ไม่ได้มีตาหูจมูกปากเหมือนกับคน มันมีสีเขียว ขนาดเล็ก และง่ายต่อการถูกทำลายทิ้งไป ผ่านหม้อ ผ่านกระทะ กลายเป็นอาหารจานเด็ด หรือให้ง่ายกว่านั้นก็โยนใส่ปาก เคี้ยวกรวมๆ กลืนลงคอไปเสียเลย
เหตุผลเดียวที่เจ้าถั่วเมล็ดนี้ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้กลายสภาพไปอยู่ในอาหารมื้อค่ำ หรือถูกย่อยในกระเพาะของใคร ก็เป็นเพราะมันเป็นถั่วอารมณ์ดี
แค่เหตุผลเดียวก็เกินพอแล้ว ที่จะให้พ่อครัวไว้ชีวิตมันไว้ แล้วขายมันให้แก่โรงละครสัตว์ที่เพิ่งเดินทางเข้ามาในเมือง เจ้าถั่วเป็นตัวทำเงินมากกว่าที่ถั่วในจานอาหารจะทำได้ เพราะไม่ค่อยมีใครเห็นถั่วแบบนี้สักเท่าไหร่
มันพูดมากกว่าถั่วแระเขียวๆทั่วๆไป แต่ละเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องตลกขบขัน บ่อยครั้งที่มักจะทิ้งข้อคิดประเทืองปัญญา บางครั้งก็สามารถแต่งเพลงขึ้นมาได้ด้วยซ้ำไป ด้วยความสามารถอันพิสดารเหล่านี้ คนในเมืองจึงนิยมชมชอบการแสดงของถั่ว ปากต่อปากทำให้ชื่อเสียงของมันโด่งดังไปทั่วเมือง
เด็กๆเริ่มชอบการที่ได้จูงมือพ่อแม่มานั่งดูถั่ว พ่อแม่เองก็ชอบผ่อนสมองด้วยการฟังถั่วเล่าเรื่องตลก ชาวนาชาวไร่ก็ชอบพักแรงด้วยการมาดูถั่วร้องเพลง แม้แต่พ่อค้าก็เร่งปิดร้านค้าให้เร็วขึ้น เพื่อให้มาทันดูการแสดงของถั่ว
ใครๆก็รักถั่วแระ -- -- แม้แต่พ่อครัวที่เคยเกือบจะโยนมันลงหม้อ
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการแสดงของถั่ว ตั๋วขายหมดทุกใบ และผู้ชมก็เข้ามานั่งรออยู่นานแล้ว ตามปกติ มันเป็นนักแสดงที่ไม่เคยเสียเวลาไปกับการแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่เป็นนักแสดงที่ชอบเสียเวลาไปกับการส่องกระจกในห้องแต่งตัว ชอบกระโดดโหยงๆไปมารอบโต๊ะเครื่องแป้ง หัวเราะเอิกอากก่อนจะไปขึ้นเวที ต่างกับนักละครสัตว์รอบข้างที่จำต้องนั่งนิ่งๆ ให้สมาธิบังเกิดในตัว ก่อนจะกล้าพอที่จะออกไปหาผู้ชม
เด็กขายตั๋วคนหนึ่งยังเคยยืนยัน ว่าหลังเวทีแล้วนั้น เจ้าถั่วเมล็ดนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากตอนอยู่ท่ามกลางแสงไฟและเก้าอี้ผู้ชม มันปราศจากท่าทีของความกังวล หรือความประหม่าตื่นเต้น ยิ่งใกล้เวลาเท่าไหร่ มันก็ยิ่งพร้อมแสดงขึ้นเท่านั้น -- -- ช่างเป็นถั่วที่แปลกเสียจริง
หลังจากที่เจ้าถั่วพอใจกับการดูกระจกและกลิ้งไปมาบนโต๊ะเครื่องแป้ง มันก็ร้องขอเด็กขายตั๋ว ให้ช่วยอุ้มประคองด้วยมือ นำมันไปยังบันไดเวที
ถั่วกล่าวขอบคุณเด็กขายตั๋ว แล้วกลิ้งตัวเองไปยังกลางเวที แสงไฟส่องตรงลงมา ดึงดูดทุกสายตาที่กำลังรอคอย
คราวนี้ถั่วเล่าเรื่องตลกเรื่องใหม่
เป็นเรื่องของชายที่ละทิ้งบ้านของตัวเอง เพื่อไปเป็นคนเร่ร่อนพเนจรคนหนึ่ง
เช้าวันนั้นเขารู้สึกนอนเต็มอิ่ม ร่างกายเรียกร้องให้เขาลุกขึ้นออกมาจากเตียงนอน มือข้างหนึ่งคว้าท่อนไม้สูง มือข้างหนึ่งคว้าเสื้อคลุมตัวเก่งมาสวมทับชุดนอน แล้วก็เริ่มต้นออกเดินจากบ้าน ไม่ได้ใส่กุญแจประตู ไม่ได้บอกลาใคร ไม่แม้แต่สวมรองเท้า เขาทิ้งประตูให้เปิดอ้าซ่าอยู่เช่นนั้นในขณะที่เดินไปตามถนน
เขาเดินแล้วเดินอีก เดินไปตามถนนที่ร้างผู้คน รู้สึกหนาวเล็กน้อยท่ามกลางหมอกที่ลงหนา ในที่สุดปลายเท้าเปล่าก็สัมผัสผืนดิน ชายหนุ่มรู้ตัวทันทีว่าเขาได้พ้นออกมาจากตัวเมืองแล้ว
ชายหนุ่มเดินขึ้นเขา ขึ้นแล้วขึ้นอีก สะดุดหินบ้าง เท้าเกี่ยวรากไม้บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีความคิดจะกลับหลังหันลงไปจากเขา
ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว เสื้อคลุมเริ่มหมดความหมายลงทุกที มันไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย กระทั่งไปจนถึงยอดเขา เขาก็ทิ้งเสื้อคลุมตัวนั้น ปล่อยให้มันถูกพัดปลิวลงไปยังเบื้องล่าง เขารู้สึกหนาวเย็นเพราะลมที่พัดแรง แต่ก็เป็นนาทีเดียวกันกับที่เขาได้ยินเสียงบางอย่าง ลอยมากับสายลม
เสียงนกร้องหรือเปล่า เอ ….. หรือจะเป็นเสียงระฆังสวรรค์
“ไม่น่าจะใช่” ชายหนุ่มบอกกับตนเอง “เสียงสวรรค์ย่อมดังมาจากฟากฟ้าที่สูงส่ง มิใช่มาจากลมบนยอดเขา”
เขาอาจจะหูฝาดก็เป็นได้ -- -- เมื่อคิดเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็โน้มตัวนอนลงไปกับผืนดินที่เปียกชื้น
ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงลึกลับนั้นอีก -- -- ไม่ผิดแน่ มันดังมากับสายลมที่เย็นยะเยือกนี่ แล้วดังขึ้นมากกว่าครั้งก่อนอีกด้วย
มันเป็นเพลงพิสดารที่ไม่เคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน ไม่รู้ว่าบทเพลงนี้เริ่มต้นมาจากไหน เป็นเพลงขับร้อง หรือเพลงบรรเลงก็สุดแล้วแต่จะนิยามได้
ช่างเป็นเพลงที่ยืดยาวนาน และเศร้าโศกในตลอดเนื้อเพลง ชายหนุ่มแทบไม่รู้ตัว ว่าตนร้องไห้ให้กับเสียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
แม้ว่าจะไม่มีเสียงคนร้อง หรือคำพูดชัดเจนในถ้วงทำนองเหล่านั้น แต่ชายหนุ่มก็พบว่าตนเองกำลังฟังเรื่องราวเรื่องหนึ่งผ่านบทเพลง เพลงนี้ไม่ได้เริ่มต้นบรรเลงในตอนที่เขาแว่วได้ยินเสียง หากแต่มันเล่นของมัน มานานแสนนานแล้ว มันเดินทางมาจากดินแดนที่ไกลออกไป ถูกสายลมโอบอุ้มพัดพามาตามทาง ความหวังอันแสนเลือนรางจางหายไปในอากาศทุกทีที่คาดหวังถึงจุดหมายปลายทาง
เพลงบทนี้เหนื่อยล้าเต็มที ไม่รู้ว่าจะบรรเลงต่อไปได้อีกนานแค่ไหน เหมือนกับขาที่อ่อนแรง จะก้าวก็ไม่ได้ จะยืนก็ไม่ไหว หากล้มลงไปอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นกลับมาได้หรือไม่
มันไม่อยากหยุดเพลงเอาไว้ในที่แห่งนี้เลย -- -- มันไม่อยากจบตัวเองลงที่ยอดเขาเงียบเหงาแห่งนี้ มันรู้ตัวว่ามันเป็นบทเพลงที่สวยงาม แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครฟังมันตั้งแต่ต้นจนจบเพลงเลยสักคนเดียว มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนจบของมันจะเป็นแบบไหน ไม่รู้ว่าถูกประพันธ์ให้จบลงที่โน็ตทรงพลังถึงสี่คีย์ หรือจะเป็นโน็ตเดียวที่ปล่อยให้เสียงจางหายไป
บทเพลงจะไม่มีโอกาสรู้ความหมายของตัวเองเลย ถ้ามันไปต่อจากที่นี่ไม่ได้
“เช่นนั้นจงเอาขาของฉันไปเถิด แล้วท่านจะเดินต่อไปได้” ชายหนุ่มบอกกับบทเพลง
เช่นนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงนั่งอยู่กับพื้นดิน ในสภาพชายพิการที่ปราศจากขาทั้งสองข้าง
แต่บทเพลงก็ยังคงเดินทางจากยอดเขาที่หนาวเย็นแห่งนี้ไม่ได้ เพราะมันไม่มีสองแขนโอบกอดตนเอง สายลมนิ่งสนิทดุจถูกแช่แข็งในสายหมอก บทเพลงนี้ก็เป็นเหมือนกับบทเพลงอื่นทั่วๆไป …. ไม่ว่าเพลงใดก็ตามบทโลกใบนี้ ย่อมดำเนินต่อไปไม่ได้หากโน็ตตัวถัดไปไม่ถูกบรรเลง
“อย่าเผลอนอนหลับเชียว ความหนาวจะฆ่าท่านได้โดยไม่รู้ตัว! ” ชายหนุ่มร้องเตือน “จงเอาแขนของฉันไปเถิด แล้วโอบกอดตัวท่านเอง ให้หายหนาว”
เช่นนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงกลายเป็นชายพิการที่นอนอยู่บนพื้นดินอันเปียกชื้น โดยปราศจากทั้งท่อนขาและท่อนแขน ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะยันตัวเองขึ้นมานั่ง เขาในตอนนี้มีเพียงศีรษะกับลำตัวเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่เขาเสียสละแขนขาไปนั้น บทเพลงเพลงหนึ่งก็ดังกระฮึ่มขึ้นรอบทิศ ดังมาจากทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออก และ ทางตะวันตก ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่บนพรมหนานุ่มของโรงละคร ไม่มีความเหน็บหนาวใดๆหลงเหลืออยู่อีกต่อไป มีแต่ความอบอุ่น แสงไฟ และความไพเราะของถ้วงทำนองเพลงที่ไม่คุ้นหู เป็นบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง น่าเกรงขาม มันรวมทุกสรรพสิ่งเสียงอยู่ในทุกจังหวะ
เขาได้ยินทั้งเสียงคนร้องคลอ เสียงเส้นสายของเครื่องดนตรี เสียงกลองที่ดังลั่น รวมถึงเสียงที่เขาไม่ได้ยินมานานแล้ว -- -- เสียงสายน้ำไหล เสียงร้องคำรามของสัตว์ป่า -- -- เขาได้ยินแม้แต่เสียงระฆังใสกังวาลที่อยู่สูงลิ่ว !
มันเป็นเหมือนวงดนตรีขนาดใหญ่ ที่รวมทุกศิลปินมือทองมาร่วมประพันธ์ มาร่วมบรรเลง เพลงลึกลับนี้ ไม่มีที่มาว่าปรากฎมาจากไหน หรือเริ่มต้นขึ้นมาได้อย่างไร ดูเหมือนกับว่าหน้าที่ของมันในตอนนี้ คือเพียรสร้างเสียงให้ดังต่อไป อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ชายหนุ่มรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา ในเวลานี้เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหรือสมเพชตัวเอง แต่เพียงรู้สึกสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่บางอย่างที่แฝงมากับบทเพลง -- -- มันยิ่งใหญ่และมีอำนาจอย่างเหลือเชื่อ
ในช่วงเวลาที่สติเลือนราง ชายหนุ่มก็เห็นมือคู่หนึ่งปรากฏมาจากหมอกหนาที่อยู่เหนือร่างเขา มันเป็นมือของเขาเอง -- -- มือที่เคยยันร่างเขาขึ้นมาจากเตียงนอน มือที่หยิบไม้เท้า แล้วก็เป็นมือเดียวกับที่ถูกส่งมอบไปให้แก่บทเพลง ….เพลงที่เขาเพียงแต่ได้ยินมันเท่านั้น ไม่ได้แตะต้อง หรือเห็นเป็นรูปเป็นร่าง -- -- แต่บัดนี้บทเพลงมีมือของเขาแล้ว -- -- สามารถจับต้องได้ สัมผัสได้ ไม่ได้ล่องลอยเป็นมโนภาพ -- -- มืออันคุ้นเคยคู่นั้น บรรจงลูบเส้นผมของเขา เช็ดหยดไอน้ำจากผิวหน้าอย่างอ่อนโยน คล้ายว่าจะปลอบประโลม เหมือนปลอบเด็ก
หูพลันได้ยินเสียงที่เบาหวิวดังมากับสายลม
‘ขอบคุณมาก’
แล้วชายหนุ่มก็เห็นฝ่าเท้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้าของ ก้าวเดินออกมาจากสายหมอก มันเลยผ่านร่างของเขาไป ก้าวพ้นออกไปยังสุดขอบยอดเขา เท้าที่เปลือยเปล่านั้นวางลงบนอากาศ
แล้วก็หายลับไปในสายลม
และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มได้รับรู้ ก่อนจะนอนหลับสนิทไปบนยอดเขา
ถั่วเล่าจบลงเพียงเท่านี้
เรื่องสั้นนี้ถูกเล่าท่ามกลางบรรยากาศเดียวกันกับการแสดงตลก เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะระหว่างการเล่า ไม่มีใครที่ไม่ชอบใจ และไม่มีใครที่ผิดหวังในตัวถั่วแระ มันเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นที่สุด ที่พวกเขาเคยได้ยินมา !