ฺBEAN THE TELLER ถั่วนักเล่า


แวะมาทักทายกันได้ค่ะ www.facebook.com/the.samanthachiew


ถั่วเมล็ดหนึ่งกำลังดูรูปร่างกลมเกลี้ยงของตนเองในเงากระจก   มันเป็นเหมือนเมล็ดถั่วแระทั่วๆไป  ไม่ได้มีตาหูจมูกปากเหมือนกับคน  มันมีสีเขียว  ขนาดเล็ก  และง่ายต่อการถูกทำลายทิ้งไป  ผ่านหม้อ ผ่านกระทะ กลายเป็นอาหารจานเด็ด  หรือให้ง่ายกว่านั้นก็โยนใส่ปาก เคี้ยวกรวมๆ กลืนลงคอไปเสียเลย

    เหตุผลเดียวที่เจ้าถั่วเมล็ดนี้ยังมีชีวิตอยู่  ไม่ได้กลายสภาพไปอยู่ในอาหารมื้อค่ำ หรือถูกย่อยในกระเพาะของใคร  ก็เป็นเพราะมันเป็นถั่วอารมณ์ดี

    แค่เหตุผลเดียวก็เกินพอแล้ว   ที่จะให้พ่อครัวไว้ชีวิตมันไว้  แล้วขายมันให้แก่โรงละครสัตว์ที่เพิ่งเดินทางเข้ามาในเมือง   เจ้าถั่วเป็นตัวทำเงินมากกว่าที่ถั่วในจานอาหารจะทำได้   เพราะไม่ค่อยมีใครเห็นถั่วแบบนี้สักเท่าไหร่

    มันพูดมากกว่าถั่วแระเขียวๆทั่วๆไป   แต่ละเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องตลกขบขัน  บ่อยครั้งที่มักจะทิ้งข้อคิดประเทืองปัญญา   บางครั้งก็สามารถแต่งเพลงขึ้นมาได้ด้วยซ้ำไป  ด้วยความสามารถอันพิสดารเหล่านี้   คนในเมืองจึงนิยมชมชอบการแสดงของถั่ว   ปากต่อปากทำให้ชื่อเสียงของมันโด่งดังไปทั่วเมือง   

เด็กๆเริ่มชอบการที่ได้จูงมือพ่อแม่มานั่งดูถั่ว   พ่อแม่เองก็ชอบผ่อนสมองด้วยการฟังถั่วเล่าเรื่องตลก   ชาวนาชาวไร่ก็ชอบพักแรงด้วยการมาดูถั่วร้องเพลง   แม้แต่พ่อค้าก็เร่งปิดร้านค้าให้เร็วขึ้น เพื่อให้มาทันดูการแสดงของถั่ว

ใครๆก็รักถั่วแระ -- --  แม้แต่พ่อครัวที่เคยเกือบจะโยนมันลงหม้อ

วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการแสดงของถั่ว   ตั๋วขายหมดทุกใบ  และผู้ชมก็เข้ามานั่งรออยู่นานแล้ว   ตามปกติ มันเป็นนักแสดงที่ไม่เคยเสียเวลาไปกับการแต่งองค์ทรงเครื่อง   แต่เป็นนักแสดงที่ชอบเสียเวลาไปกับการส่องกระจกในห้องแต่งตัว   ชอบกระโดดโหยงๆไปมารอบโต๊ะเครื่องแป้ง   หัวเราะเอิกอากก่อนจะไปขึ้นเวที  ต่างกับนักละครสัตว์รอบข้างที่จำต้องนั่งนิ่งๆ ให้สมาธิบังเกิดในตัว ก่อนจะกล้าพอที่จะออกไปหาผู้ชม
เด็กขายตั๋วคนหนึ่งยังเคยยืนยัน   ว่าหลังเวทีแล้วนั้น  เจ้าถั่วเมล็ดนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากตอนอยู่ท่ามกลางแสงไฟและเก้าอี้ผู้ชม   มันปราศจากท่าทีของความกังวล หรือความประหม่าตื่นเต้น   ยิ่งใกล้เวลาเท่าไหร่   มันก็ยิ่งพร้อมแสดงขึ้นเท่านั้น  -- -- ช่างเป็นถั่วที่แปลกเสียจริง
หลังจากที่เจ้าถั่วพอใจกับการดูกระจกและกลิ้งไปมาบนโต๊ะเครื่องแป้ง   มันก็ร้องขอเด็กขายตั๋ว   ให้ช่วยอุ้มประคองด้วยมือ นำมันไปยังบันไดเวที

ถั่วกล่าวขอบคุณเด็กขายตั๋ว  แล้วกลิ้งตัวเองไปยังกลางเวที  แสงไฟส่องตรงลงมา  ดึงดูดทุกสายตาที่กำลังรอคอย

คราวนี้ถั่วเล่าเรื่องตลกเรื่องใหม่

เป็นเรื่องของชายที่ละทิ้งบ้านของตัวเอง เพื่อไปเป็นคนเร่ร่อนพเนจรคนหนึ่ง

เช้าวันนั้นเขารู้สึกนอนเต็มอิ่ม   ร่างกายเรียกร้องให้เขาลุกขึ้นออกมาจากเตียงนอน    มือข้างหนึ่งคว้าท่อนไม้สูง   มือข้างหนึ่งคว้าเสื้อคลุมตัวเก่งมาสวมทับชุดนอน   แล้วก็เริ่มต้นออกเดินจากบ้าน    ไม่ได้ใส่กุญแจประตู   ไม่ได้บอกลาใคร  ไม่แม้แต่สวมรองเท้า   เขาทิ้งประตูให้เปิดอ้าซ่าอยู่เช่นนั้นในขณะที่เดินไปตามถนน

เขาเดินแล้วเดินอีก  เดินไปตามถนนที่ร้างผู้คน   รู้สึกหนาวเล็กน้อยท่ามกลางหมอกที่ลงหนา   ในที่สุดปลายเท้าเปล่าก็สัมผัสผืนดิน   ชายหนุ่มรู้ตัวทันทีว่าเขาได้พ้นออกมาจากตัวเมืองแล้ว

ชายหนุ่มเดินขึ้นเขา   ขึ้นแล้วขึ้นอีก   สะดุดหินบ้าง  เท้าเกี่ยวรากไม้บ้าง  แต่ก็ไม่ได้มีความคิดจะกลับหลังหันลงไปจากเขา

ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว  เสื้อคลุมเริ่มหมดความหมายลงทุกที  มันไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย   กระทั่งไปจนถึงยอดเขา  เขาก็ทิ้งเสื้อคลุมตัวนั้น  ปล่อยให้มันถูกพัดปลิวลงไปยังเบื้องล่าง   เขารู้สึกหนาวเย็นเพราะลมที่พัดแรง  แต่ก็เป็นนาทีเดียวกันกับที่เขาได้ยินเสียงบางอย่าง ลอยมากับสายลม

เสียงนกร้องหรือเปล่า เอ ….. หรือจะเป็นเสียงระฆังสวรรค์

“ไม่น่าจะใช่”   ชายหนุ่มบอกกับตนเอง   “เสียงสวรรค์ย่อมดังมาจากฟากฟ้าที่สูงส่ง   มิใช่มาจากลมบนยอดเขา”

เขาอาจจะหูฝาดก็เป็นได้ -- --  เมื่อคิดเป็นเช่นนั้นแล้ว   เขาก็โน้มตัวนอนลงไปกับผืนดินที่เปียกชื้น

ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงลึกลับนั้นอีก -- -- ไม่ผิดแน่  มันดังมากับสายลมที่เย็นยะเยือกนี่   แล้วดังขึ้นมากกว่าครั้งก่อนอีกด้วย

มันเป็นเพลงพิสดารที่ไม่เคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน   ไม่รู้ว่าบทเพลงนี้เริ่มต้นมาจากไหน เป็นเพลงขับร้อง หรือเพลงบรรเลงก็สุดแล้วแต่จะนิยามได้

ช่างเป็นเพลงที่ยืดยาวนาน  และเศร้าโศกในตลอดเนื้อเพลง   ชายหนุ่มแทบไม่รู้ตัว ว่าตนร้องไห้ให้กับเสียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่

แม้ว่าจะไม่มีเสียงคนร้อง  หรือคำพูดชัดเจนในถ้วงทำนองเหล่านั้น  แต่ชายหนุ่มก็พบว่าตนเองกำลังฟังเรื่องราวเรื่องหนึ่งผ่านบทเพลง   เพลงนี้ไม่ได้เริ่มต้นบรรเลงในตอนที่เขาแว่วได้ยินเสียง  หากแต่มันเล่นของมัน มานานแสนนานแล้ว  มันเดินทางมาจากดินแดนที่ไกลออกไป  ถูกสายลมโอบอุ้มพัดพามาตามทาง   ความหวังอันแสนเลือนรางจางหายไปในอากาศทุกทีที่คาดหวังถึงจุดหมายปลายทาง

เพลงบทนี้เหนื่อยล้าเต็มที   ไม่รู้ว่าจะบรรเลงต่อไปได้อีกนานแค่ไหน   เหมือนกับขาที่อ่อนแรง  จะก้าวก็ไม่ได้   จะยืนก็ไม่ไหว  หากล้มลงไปอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นกลับมาได้หรือไม่

มันไม่อยากหยุดเพลงเอาไว้ในที่แห่งนี้เลย -- --  มันไม่อยากจบตัวเองลงที่ยอดเขาเงียบเหงาแห่งนี้   มันรู้ตัวว่ามันเป็นบทเพลงที่สวยงาม   แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครฟังมันตั้งแต่ต้นจนจบเพลงเลยสักคนเดียว   มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนจบของมันจะเป็นแบบไหน   ไม่รู้ว่าถูกประพันธ์ให้จบลงที่โน็ตทรงพลังถึงสี่คีย์  หรือจะเป็นโน็ตเดียวที่ปล่อยให้เสียงจางหายไป

บทเพลงจะไม่มีโอกาสรู้ความหมายของตัวเองเลย  ถ้ามันไปต่อจากที่นี่ไม่ได้

“เช่นนั้นจงเอาขาของฉันไปเถิด   แล้วท่านจะเดินต่อไปได้”   ชายหนุ่มบอกกับบทเพลง

    เช่นนั้นแล้ว   ชายหนุ่มจึงนั่งอยู่กับพื้นดิน  ในสภาพชายพิการที่ปราศจากขาทั้งสองข้าง

    แต่บทเพลงก็ยังคงเดินทางจากยอดเขาที่หนาวเย็นแห่งนี้ไม่ได้   เพราะมันไม่มีสองแขนโอบกอดตนเอง  สายลมนิ่งสนิทดุจถูกแช่แข็งในสายหมอก   บทเพลงนี้ก็เป็นเหมือนกับบทเพลงอื่นทั่วๆไป  …. ไม่ว่าเพลงใดก็ตามบทโลกใบนี้ ย่อมดำเนินต่อไปไม่ได้หากโน็ตตัวถัดไปไม่ถูกบรรเลง

“อย่าเผลอนอนหลับเชียว  ความหนาวจะฆ่าท่านได้โดยไม่รู้ตัว! ”   ชายหนุ่มร้องเตือน   “จงเอาแขนของฉันไปเถิด   แล้วโอบกอดตัวท่านเอง ให้หายหนาว”

เช่นนั้นแล้ว   ชายหนุ่มจึงกลายเป็นชายพิการที่นอนอยู่บนพื้นดินอันเปียกชื้น   โดยปราศจากทั้งท่อนขาและท่อนแขน   ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะยันตัวเองขึ้นมานั่ง   เขาในตอนนี้มีเพียงศีรษะกับลำตัวเท่านั้น

ในช่วงเวลาที่เขาเสียสละแขนขาไปนั้น   บทเพลงเพลงหนึ่งก็ดังกระฮึ่มขึ้นรอบทิศ   ดังมาจากทางเหนือ  ทางใต้  ทางตะวันออก และ ทางตะวันตก   ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่บนพรมหนานุ่มของโรงละคร   ไม่มีความเหน็บหนาวใดๆหลงเหลืออยู่อีกต่อไป   มีแต่ความอบอุ่น  แสงไฟ   และความไพเราะของถ้วงทำนองเพลงที่ไม่คุ้นหู   เป็นบทเพลงที่ยิ่งใหญ่  ทรงพลัง น่าเกรงขาม   มันรวมทุกสรรพสิ่งเสียงอยู่ในทุกจังหวะ  
เขาได้ยินทั้งเสียงคนร้องคลอ   เสียงเส้นสายของเครื่องดนตรี   เสียงกลองที่ดังลั่น  รวมถึงเสียงที่เขาไม่ได้ยินมานานแล้ว -- -- เสียงสายน้ำไหล   เสียงร้องคำรามของสัตว์ป่า  -- -- เขาได้ยินแม้แต่เสียงระฆังใสกังวาลที่อยู่สูงลิ่ว !

มันเป็นเหมือนวงดนตรีขนาดใหญ่  ที่รวมทุกศิลปินมือทองมาร่วมประพันธ์   มาร่วมบรรเลง   เพลงลึกลับนี้ ไม่มีที่มาว่าปรากฎมาจากไหน  หรือเริ่มต้นขึ้นมาได้อย่างไร   ดูเหมือนกับว่าหน้าที่ของมันในตอนนี้ คือเพียรสร้างเสียงให้ดังต่อไป  อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

ชายหนุ่มรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา   ในเวลานี้เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหรือสมเพชตัวเอง  แต่เพียงรู้สึกสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่บางอย่างที่แฝงมากับบทเพลง -- -- มันยิ่งใหญ่และมีอำนาจอย่างเหลือเชื่อ

ในช่วงเวลาที่สติเลือนราง   ชายหนุ่มก็เห็นมือคู่หนึ่งปรากฏมาจากหมอกหนาที่อยู่เหนือร่างเขา   มันเป็นมือของเขาเอง -- --  มือที่เคยยันร่างเขาขึ้นมาจากเตียงนอน  มือที่หยิบไม้เท้า  แล้วก็เป็นมือเดียวกับที่ถูกส่งมอบไปให้แก่บทเพลง ….เพลงที่เขาเพียงแต่ได้ยินมันเท่านั้น  ไม่ได้แตะต้อง หรือเห็นเป็นรูปเป็นร่าง -- --  แต่บัดนี้บทเพลงมีมือของเขาแล้ว -- --  สามารถจับต้องได้  สัมผัสได้  ไม่ได้ล่องลอยเป็นมโนภาพ -- --   มืออันคุ้นเคยคู่นั้น บรรจงลูบเส้นผมของเขา  เช็ดหยดไอน้ำจากผิวหน้าอย่างอ่อนโยน  คล้ายว่าจะปลอบประโลม  เหมือนปลอบเด็ก
หูพลันได้ยินเสียงที่เบาหวิวดังมากับสายลม   

‘ขอบคุณมาก’

แล้วชายหนุ่มก็เห็นฝ่าเท้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้าของ  ก้าวเดินออกมาจากสายหมอก  มันเลยผ่านร่างของเขาไป  ก้าวพ้นออกไปยังสุดขอบยอดเขา  เท้าที่เปลือยเปล่านั้นวางลงบนอากาศ

แล้วก็หายลับไปในสายลม

    และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มได้รับรู้ ก่อนจะนอนหลับสนิทไปบนยอดเขา

    ถั่วเล่าจบลงเพียงเท่านี้

    เรื่องสั้นนี้ถูกเล่าท่ามกลางบรรยากาศเดียวกันกับการแสดงตลก   เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะระหว่างการเล่า  ไม่มีใครที่ไม่ชอบใจ   และไม่มีใครที่ผิดหวังในตัวถั่วแระ   มันเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นที่สุด ที่พวกเขาเคยได้ยินมา !
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่