(เรื่องน่ารู้ภาคพิเศษ) ทำไมประเทศไทยถึงมีการรัฐประหารมากกว่าประเทศอื่นๆ

กระทู้สนทนา


ประชาชนได้ถ่ายรูปเซฟฟี่ตัวเองกับกองทัพไทยในขณะที่มีการเจรจาพูดคุยเรื่องสันติภาพระหว่างฝ่ายต่อต้านและสนับสนุนรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม  ปี 2014 (ภาพโดย Rufus Cox)


เมื่อกองทัพไทยได้ประกาศยึดอำนาจเต็มรูปแบบจากรัฐบาลเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็คิดว่า มันก็ไม่ได้มีชื่อไหนดีไปกว่าที่จะใช้ชื่อว่า แดนแห่งรัฐประหารแล้ว ประเทศต้องเจอกับความโชคร้ายที่เจอกับเอกลักษณ์ในการรัฐประหารหลายปีที่เกือบจะเป็นประเทศที่รัฐประหารบ่อยที่สุดในโลก ทั้งหมดมีการรัฐประหารถึง 19 ครั้ง การรัฐประหารทำให้การเมืองไทยได้มีการเปลี่ยนชื่อเล่นใหม่หลังจากนั้น

แต่ละครั้งที่กองทัพไทยได้เข้ามายึดอำนาจนั้นก็ค่อนข้างที่จะทำให้ประเทศไทยผิดแปลกไปจากสายตาการเมืองระดับนานาชาติ และเป็นที่ชัดเจนว่ามันก็ไม่ได้มีแนวทางไหนที่เหมาะสมไปกับการเข้าร่วมกับการคบค้าสมาคมในประเทศต่างๆ แต่ว่าแล้วทำไมประเทศไทยถึงมีการคาดการณ์รัฐประหารอยู่บ่อยครั้งล่ะ? นี่ถือเป็นปัจจัยไม่กี่อย่างที่ทำให้ประเทศเกิดความสับสนอยู่


ความกลัวในอดีตในช่วงปี 30

ในปี 1932 มีเจ้าหน้าที่กองทัพกลุ่มเล็กๆได้เข้ามาล้มล้างอำนาจการปกครองระบอบราชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้มีการนองเลือดแต่อย่างใด ทางด้าน Washington Post ก็ได้กล่าวว่า การเคลื่อนไหวนี้ได้สิ้นสุดระบบราชาธิปไตยเกือบ 700 กว่าปีและก็ประเมินว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคงมีอยู่ถึงทุกวันนี้

แม้ว่ากองทัพไทยจะมอบอำนาจให้กับรัฐบาลพลเรือนภายหลังจากที่ได้มีการรัฐประหารแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ในระยะยาว หลังจากที่ได้มีการปฎิวัติสยามปี 1932 แล้ว เป็นอีกครั้งที่ทางกองทัพได้เข้ามาโค่นล้มรัฐบาลหลังจากที่ได้ถกเถียงกันเรื่องประเด็นกฎหมายรัฐธรรมของนายกรัฐมนตรีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เรื่องนี้ได้นำไปสู่ความเสถียรภาพในบางส่วน (จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารอีกครั้งในปี 1942) แต่เช่นกันที่ยังมีความกลัวในอดีตว่า กองทัพจะเข้ามาควบคุมประเทศทุกๆเวลา


ปัญหาการทำรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง

อย่างที่ Max Fisher ได้อธิบายเอาไว้ว่า นักวิชาการไทยบางส่วนยังถกเถียงกันอยู่ว่า การรัฐประหารต่อเนื่องจะนำไปสู่วัฒนธรรมในการรัฐประหาร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยอมรับสำหรับกองทัพที่เข้ามาโค่นล้มอำนาจรัฐบาล บางทีส่วนหนึ่งก็อธิบายได้ว่าปฎิกิริยาของประชาชนในวันพฤหัสที่ได้มีการโค่นล้มนั้น ก็ไม่มีใครออกมาคัดค้าน นอกจากการที่กองทัพได้คืนความสุขในช่วงเวลานั้น

ในระยะสั้นนั้น ทางด้าน Fisher ได้กล่าวอ้างว่า งานต่างๆของนักวิชาการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นได้กล่าวเอาไว้ว่า การรัฐประหารจะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับสถาบันทางการเมืองในประเทศไทย เช่นเดียวกับประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่ไม่รู้สึกถึงการโดนบังคับขู่เข็ญในการค้นหาทางออกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง? หากส่วนหนึ่งเห็นด้วยว่า สังคมจะต้องเล่นไปตามกฎเกณฑ์มาตรฐานทางการเมือง นี่ถือเป็นเหตุผลสำคัญที่มีการบังคับขู่เข็ญที่อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์การรัฐประหารไทยหลายครั้ง แต่เช่นกันเรื่องนี้ก็ไม่ควรที่จะนำมาเป็นแรงผลักดันขึ้นมา



ทหารได้ยืนเฝ้าระวังหลังจากประกาศเคอร์ฟิวส์เวลา 4 ทุ่มของวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2014 (ภาพโดย Paula Bronstein)


ประเทศไทยมีข้ออ้างหลายอย่างในการทำรัฐประหาร

นักรัฐศาสตร์อย่าง Jay Ulfelder ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องรัฐล้มเหลวนั้น ก็ได้มีการเขียนลงในเว็บบล็อกในวันพฤหัสเอาไว้ว่า เป็นเรื่องแปลกใจแต่ก็ไม่ถึงกับช็อคอะไร สำหรับเหตุการณ์ในประเทศไทยที่ผ่านมา ในปีที่เขาได้ทำการสำรวจในประเทศต่างๆที่คิดว่าสุ่มเสี่ยงต่อการทำรัฐประหารนั้น Ulfelder จะให้ประเทศไทยติดอยู่ 10 อันดับเสมอ

การให้เหตุผลของ Ulfelder ก็มีพื้นฐานมาจากค่าตัวเลขที่มีความซับซ้อนและข้อมูลต่างๆที่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆอย่างเช่นพื้นที่ประเทศ ความเสถียรภาพทางการเมืองและการเติบโตของเศรษฐกิจ

หลังจากที่ได้ดูส่วนนี้แล้ว ต่อมา Ulfelder ก็ได้แถลงในเว็บบล็อกของเขาเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ซึ่งเขาเชื่อว่า กองทัพจะต้องฉวยโอกาสยึดอำนาจอีกครั้งหากสถานการณ์เลวร้ายมากพอที่จะไม่มีต้นทุนอะไรต้องเสียแล้ว บอกได้เลยว่านี่เป็นการส่งเสริมให้มีการยกระดับการต่อสู้ที่เข้มข้นระหว่างคู่ปรับทางการเมือง

ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่างๆตามมาบ้าง และเขาก็ได้แถลงในการโพสต์ล่าสุด ซึ่งเขาเชื่อว่า ความกังวลจะเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองที่จะเกิดขึ้นกับความตกต่ำทางด้านเศรษฐกิจที่สุดท้ายก็อยากจะแนะนำให้ผู้นำทางกองทัพว่า ให้คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาบ้าง


แต่ว่าทำไมถึงมีการรัฐประหารมากกว่าประเทศอื่นๆล่ะ?

จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกอยู่เล็กน้อยที่ประเทศไทยมีการรัฐประหารอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะมีการกล่าวหาในเรื่องของวัฒนธรรมการรัฐประหารกับข้ออ้างต่างๆ ทางด้าน Ulfelder ก็ได้แถลงในปี 2013 พร้อมกับให้สัมภาษณ์ใน Washington Post ในประเด็นนี้ที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่า ข้อมูลทุกๆอย่างในประวัตศาสตร์บนปัจจัยความเสี่ยงต่างๆนั้น ทำให้ประเทศไทยยึดติดกับการทำรัฐประหารว่า เป็นสิ่งที่สมควรทำ

เหตุผลที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ ประวัติศาสตร์การรัฐประหารในประเทศไทยสุดท้ายจะต้องมอบอำนาจกลับคืนมายังรัฐบาลพลเรือนอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับบางประเทศเช่นประเทศอียิปต์เมื่อมีการรัฐประหารแล้ว ก็จะเดินหน้าใช้กฎกองทัพต่อไป เมื่อผู้นำพลเรือนล้มเหลวต่อการระงับสถานการณ์ในประเทศ ทางกองทัพก็จะใช้มาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่เห็นต่างพร้อมกับปลดผู้นำรัฐบาลไป

ทางด้าน NPR ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า ตลอดการรัฐประหารที่ผ่านมา พระมหากษัตริย์ก็ได้ดำเนินการสร้างความมีเสถียรภาพ หลายสิบปีที่ผ่านมาพระมหากษัตริย์ก็ยังวางตัวเป็นกลางและยังมีความเสถียรภาพอยู่แม้ว่ากองทัพได้ล้มล้างการเลือกตั้งก็ตาม

การอธิบายส่วนอื่นๆก็คือ การรัฐประหารก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นและตราบใดที่มีการแบ่งแยกทางการเมือง ทั้งโครงสร้างรัฐบาลกับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ยังมีการถกเถียงกันอยู่ ก็ยิ่งจะทำให้เกิดเงื่อนไขปัจจัยต่างมากขึ้นไปอีก



ประชาชนได้ถ่ายรูปกับทหารที่เฝ้าระวังระหว่างที่มีการเจรจาระหว่างฝ่ายต่อต้านและสนับสนุนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2014 (ภาพโดย Rufus Cox)


แล้วจะเป็นยังไงต่อไป

สถานการณ์ในประเทศไทยก็ยังต้องมาดูว่าอนาคตของรัฐบาลจะเป็นยังไง ยังมีการวิเคราะห์หลายอย่างสำหรับผู้ที่จับตาสอดส่องประเทศไทยอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เช่นเดียวกับหากมีแนวโน้มที่จะทำการรัฐประหารที่สามารถค้นพบความมีเสถียรภาพได้จริง สำหรับช่วงนี้อย่างไรก็ตามก็ดูเหมือนว่า ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยก็เป็นอีกครั้งที่จะต้องยอมรับต่อการโค่นล้มอำนาจ เชื่อฟังกฎอัยการศึกและก็ถ่ายรูปเซลฟี่กับทหารที่ผ่านมาพอดี

ผู้แปล : Mr.lawrence10

ที่มา :http://www.huffingtonpost.com
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่