รีวิวจัดเต็ม Fantastic 4 เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ เฉื่อย ๆ หนัง Super Heroes ที่ทำได้ไม่สุดซักทาง ***ไม่สปอย***
ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าผมเป็นแฟนบอยการ์ตูนมาร์เวลตัวยง คือรู้จักการ์ตูนมาร์เวลก่อนจะรู้จัก DragonBall ซะอีก
ดังนั้นด้วยความชื่นชอบเป็นพิเศษ จึงเหมือนไฟต์บังคับ ที่จะต้องติดตามดูภาพยนตร์ทุกเรื่องที่สร้างจากการ์ตูนของมาร์เวล
การได้เห็นตัวละครในการ์ตูนมาโลดแล่นบนจอใหญ่ มันคือความสุขใจประการหนึ่ง
ดังนั้นแม้หนังที่ใคร ๆ ว่าแย่ แต่ส่วนใหญ่ผมก็ดูแบบมีความสุขได้ตามอัตภาพ
แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ความสุขในการดูภาพยนตร์ Super Heroes จากการ์ตูนมาร์เวลของผมหมดไปดังที่ Dare Devil และ Ghost Rider 2 ทำได้มาแล้ว
ตั้งแต่มีการประกาศ รีบูต สร้างใหม่อีกรอบ พร้อมรายชื่อนักแสดง ผมก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าอย่าไปคาดหวังอะไรมาก
ยิ่งหนังไปจับเอาเนื้อหาของจักรวาลอัลติเมท ที่ไม่ใช่จักรวาลหลัก มาเป็นแกนหลักแล้ว ยิ่งต้องบอกตัวเองย้ำอีกหน ว่าอย่าไปคาดหวังอะไร
หนังเปิดตัวมาด้วยอดีต รี๊ด ริชาร์ต ในวัยเด็ก ที่ฉายความมีอัจฉริยะภาพมาตั้งแต่ตอนนั้น และปูเรื่องราวให้รู้ว่ารี๊ดกับเบน เป็นเพื่อนรักกันได้ยังไง
แต่หนังก็จับประเด็นนี้แค่ผิวเผิน แล้วตัดไปสู่ช่วงวัยรุ่นเข้ามหาวิทยาลัยเลย จากนั้นความน่าสนใจก็ดำเนินไปด้วยความราบเรียบ เรื่อยเฉื่อย เฉยชา
มีความพยายามจะให้เห็นมุมกุ๊กกิ๊กระหว่างรี๊ดและซูซาน แต่เคมีมันไม่ให้ ไม่ได้รู้สึกเลยว่าคู่นี้มันไปรักกันตอนไหน
จะพอมีดีก็ตรงเปิดตัว วิคเตอร์ วอน ดูม ได้น่าสนใจดี แต่ก็ทำได้แค่นั้น เพราะหลังจากนั้น วิคเตอร์ก็จืดจางไม่ต่างจากเบนที่หายไปเลย
หนังพยายามจะบอกความเป็นตัวร้ายให้คนดูรู้ แต่ก็เหมือนไม่ได้เล่าอะไร ทำให้คนดูไม่ได้อะไรนอกจากสงสัยว่าทำไมดูมถึงเข้ากับคนอื่นไม่ได้
และทำไม ดูม ถึงไม่ชอบใจโลกใบนี้
แล้วจู่ ๆ จอห์นนี่ก็โผล่เข้ามา ฉากแข่งความเร็วของจอห์นนี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์เพลิงทุกเวอร์ชั่นทำได้จืดชืดทื่อ ๆ ราวกับหนังเกรดบี
ยิ่งฉากดราม่าระหว่าพ่อกับลูกยิ่งไม่ได้รู้สึกเลยว่า 2 คนนี้ เป็นพ่อลูกกันจริง ๆ
แล้วหลังจากนั้นหนังก็เริ่มเข้าสู่การเป็นหนัง Sci-fi ซะที (แต่เดี๋ยวนะ เรื่องนี่มันใช่หนังแอ็คชั่น ไซไฟ จริง ๆ เหรอ)
หลังจากการเดินทางข้ามมิติ ที่เป็นแอ็คชั่นเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ร่วมลุ้นเอาใจช่วยซักเท่าไหร
ก็เป็นไปตามฟอร์มหนังแนวนี้ทั่ว ๆ ไปที่นำพาความวิบัติกลับมา แต่ความวิบัตินี่ผมไม่ได้หมายถึงในเรื่องนะ แต่หมายถึงความวิบัติของหนังเรื่องนี้ต่างหาก
จากช่วงแรกที่พอจะมีชั้นเชิงให้ค้นหาติดตามอยู่บ้าง(ม้จะไม่มากก็เถอะ) แต่ครึ่งหลังนี่ราวกับเปลี่ยนทีมเขียนบทใหม่เป็นอีกทีมไปเลย
บทเบิ่ด ไม่ต้องไปใส่ใจ ทุกสิ่งดูง่ายดายไปหมด อยากยัดอะไรใส่ก็ใส่ไปซะงั้น แม้แต่ฉากดราม่าที่พ่อเห็นลูกทั้ง 2 อาการปางตาย
กลับไม่ได้มีความรู้สึกร่วมอะไรเลยสักนิด มันแข็งทื่อ มันจับยัด และผิดที่ผิดทางไปซะหมด
หนังพยายามเล่นประเด็นการยอมรับในพลังใหม่ที่พวกเขาได้รับแต่ก็เล่นได้ผิวเผิน เบาบาง
หรือแม้แต่เรื่องความไว้วางใจกันและกันของสมาชิกในกลุ่มก็ยิ่งเหมือนใส่ไว้ไปงั้น ๆ บทจะดีกันก็ง่าย ๆ
แต่ที่เลวร้ายสุดคือฉาก Action ตอนท้าย ดร.ดูมแสดงพลังอย่างเทพ ระดับแบบไปสู้กับพวกกึ่ง ๆ Cosmic Being อย่าง Silver Surfer ได้สบาย
แต่มาแพ้แกงค์ F4 เอาง่าย ๆ ซะงั้น ใครที่บ่นว่าหนังที่สร้างจากการ์ตูนมาร์เวล ตัวร้ายมักจะตายง่าย ๆ ขอบอกว่าเรื่องนี้ง่ายกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาซะอีก
สรุป
ข้อดี CG & Visual Effect ทำได้ดีตามยุคสมัย แต่ก็ไม่ได้เด่นหรือสวยงามจนต้องว้าว เอาเป็นว่าทำได้ดีแหละก็นี่มันยุค 2015 แล้วนี่
แต่ก็นะ หาข้อดีได้เท่านี้จริง ๆ
ข้อเสีย
1. Casting นักแสดง ได้ห่วยมาก คุณจงลืมภาพของตัวละครในการ์ตูนและในภาพยนตร์ฉบับเก่าไปเสีย เพราะนี่คือคนใหม่ที่บังเอิญชื่อเหมือนกันเท่านั้น
1.1 รี๊ด ริชาร์ท อัจฉริยะฉลาดล้ำอันดับ 1 ฝ่ายมนุษย์ของมาร์เวล มันไม่ได้ปรากฏให้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย
โอเคว่าในแง่การแสดงนั้นนักแสดงทำได้ดีแต่มันไม่ทำให้เชื่อได้เลยว่า นี่คืออัจฉริยะ สุดเกรียน สุดเนิร์ดที่เราเคยเห็นมา
1.2 ซูซาน สตอร์ม ไม่ใช่แค่ภาคนี้กลายเป็นลูกบุญธรรม แต่ยังทำให้สาวสวยระดับ 1 ใน 3 ของจักรวาลมาร์เวล
ต้องกลายเป็นแค่สาวมหาลัยหน้าตาดีคนหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ก็สวยนะ แต่ก็แค่สวยที่พอเดินผ่านไปก็ลืม
1.3 จอห์นนี่ สตอร์ม จงลืมมนุษย์เพลิงทุกคนที่คุณรู้จักไปเสียให้หมด เพราะไม่ว่าจะจักรวาลไหน ก็เป็นหนุ่มหล่อสาวตรึมสุดเกรียน เก๋ ๆ ทั้งนั้น
แต่ภาคนี้ไม่ใช่ ดูยังไง ๆ ก็แค่เด็กแวนซ์เอาแต่ใจที่พบได้มากตามแกงค์ซิ่งขวางถนน
1.4 เบน กริมม์ เพื่อนรักที่ตายแทนกันได้ของรี๊ด ในเวอร์ชั่นคนแสดงถือได้ว่าจมหายไปกับฉาก ไร้ความน่าจดจำใด ๆ มีดีหน่อยตรงกลายร่างแล้วนั่นแหละ
1.5 วิคเตอร์ วอน ดูม เปิดตัวมาอย่างเท่ แต่ก็แค่นั้น บทมันไม่ส่งให้จริง ๆ แค่แสดงให้ไม่โดนอย่างอื่นกลืนหมดได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว
อ้อ คอสตูมตอนเป็น ดร.ดูม เลวร้ายและไร้สง่าราศีสุด ๆ
2. บทห่วย ช่วงแรกพอไหว แต่ช่วงหลังมันไม่ใช่เลยสักอย่าง อะไรจะง่ายไปหมดขนาดนั้น ขนาดดราม่า ก็ดราม่าพอดูได้สัก 2 นาที
แล้วก็กลับไปจับยัด สุกเอาเผากินกันต่อไป อยากใส่อะไรก็ใส่เข้ามา ปมที่สร้าง ๆ มาก็โยนทิ้งไปซะดื้อ ๆ ก็มี
3. โทนของเรื่อง คือเห็นความพยายามอย่างยิ่งที่จะให้หนังมันดู ดาร์ค ดูจริงจัง แต่มันดันไปอยู่ในวัตถุดิบที่มันไม่ใช่
F4 มันเป็นเรื่องแนวสดใส ดราม่าหนัก ๆ ที่มีก็แค่สามีภรรยาทะเลาะกัน พี่น้องขัดใจ เพื่อนไม่เข้าใจเพื่อน อกหัก แค่นั้น มันดราม่าใหญ่ ๆในเรื่องนี้
ไม่เหมือน X-men ที่มีเรื่องการยอมรับของ 2 เผ่าพันธุ์ Avenger ที่มีการเมืองเข้ามาเอี่ยว
แค่สไปดี้สุดเกรียน สุดฮาจับมาดาร์คหมองหม่นไป 3 ภาคก็เอียนจะแย่แล้ว (แต่อันนั้เขามือถึงไงเลยดูดาร์คไม่น่าเกลียดเท่าไหร่)
แต่นี่คิดจะดาร์คแต่มือไม่ถึง มันเลยเป็นหนัง Super Heroes จริงจังแต่บทห่วยมาก มันเลยไม่เข้า มันจับยัด และมันพยายามจนเกินพอดี
4. ทำอะไรทำไม่สุดซักทาง จะเป็น Action ระเบิดภูเขาเผากระท่อมดูเอามันส์ ไม่ต้องสนใจบทอย่าง Transformer ก็ทำได้ไม่ถึง
จะดาร์คดราม่าหมองหม่น แม้แต่แค่เสี้ยงของ Spider man 2 ภาคหลังยังทำไม่ได้ จะไป Sci-fi ก็ประดักประเดิดไม่เข้าพวกอีก
ไม่รู้จริง ๆ ว่าอยากจะวางตัวเองไว้ที่ตรงจุดไหนกันแน่
5. การแสดง ก็ในเมื่อบทมันไม่ส่ง ต่อให้ได้พระเอกแสดงดีมากในหนังเรื่องอื่นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ส่วนตัวละครอื่น ๆ นอกจากพระเอกนั้นไร้อารมณ์มาก
มี ดร. ดูม ที่พอไหวอีกคน แต่ก็งั่น ๆ บทมันไม่เอื้อให้นักแสดงได้แสดงฝีมืออย่างแรง
สรุปส่งท้าย
ให้คะแนน 4/10 ดูก็ได้ แต่ถึงไม่ดูก็ไม่จำเป็นต้องขวนขวายหามาดูก็ได้ มันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอก
อันดับความชอบเกือบรั้งท้าย คือให้เพ่ากับ Dare Devil ฉบับพี่เบน ซึ่งดีกว่า Ghost Rider 2 นิดหน่อย อยากจะบอกว่า F4 ภาคก่อนหน้า ดูดีขึ้นมาจริง ๆ
[CR] รีวิวจัดเต็ม Fantastic 4 เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ เฉื่อย ๆ หนัง Super Heroes สอบตก 4/10 ที่ทำได้ไม่สุดซักทาง ***ไม่สปอย***
ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าผมเป็นแฟนบอยการ์ตูนมาร์เวลตัวยง คือรู้จักการ์ตูนมาร์เวลก่อนจะรู้จัก DragonBall ซะอีก
ดังนั้นด้วยความชื่นชอบเป็นพิเศษ จึงเหมือนไฟต์บังคับ ที่จะต้องติดตามดูภาพยนตร์ทุกเรื่องที่สร้างจากการ์ตูนของมาร์เวล
การได้เห็นตัวละครในการ์ตูนมาโลดแล่นบนจอใหญ่ มันคือความสุขใจประการหนึ่ง
ดังนั้นแม้หนังที่ใคร ๆ ว่าแย่ แต่ส่วนใหญ่ผมก็ดูแบบมีความสุขได้ตามอัตภาพ
แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ความสุขในการดูภาพยนตร์ Super Heroes จากการ์ตูนมาร์เวลของผมหมดไปดังที่ Dare Devil และ Ghost Rider 2 ทำได้มาแล้ว
ตั้งแต่มีการประกาศ รีบูต สร้างใหม่อีกรอบ พร้อมรายชื่อนักแสดง ผมก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าอย่าไปคาดหวังอะไรมาก
ยิ่งหนังไปจับเอาเนื้อหาของจักรวาลอัลติเมท ที่ไม่ใช่จักรวาลหลัก มาเป็นแกนหลักแล้ว ยิ่งต้องบอกตัวเองย้ำอีกหน ว่าอย่าไปคาดหวังอะไร
หนังเปิดตัวมาด้วยอดีต รี๊ด ริชาร์ต ในวัยเด็ก ที่ฉายความมีอัจฉริยะภาพมาตั้งแต่ตอนนั้น และปูเรื่องราวให้รู้ว่ารี๊ดกับเบน เป็นเพื่อนรักกันได้ยังไง
แต่หนังก็จับประเด็นนี้แค่ผิวเผิน แล้วตัดไปสู่ช่วงวัยรุ่นเข้ามหาวิทยาลัยเลย จากนั้นความน่าสนใจก็ดำเนินไปด้วยความราบเรียบ เรื่อยเฉื่อย เฉยชา
มีความพยายามจะให้เห็นมุมกุ๊กกิ๊กระหว่างรี๊ดและซูซาน แต่เคมีมันไม่ให้ ไม่ได้รู้สึกเลยว่าคู่นี้มันไปรักกันตอนไหน
จะพอมีดีก็ตรงเปิดตัว วิคเตอร์ วอน ดูม ได้น่าสนใจดี แต่ก็ทำได้แค่นั้น เพราะหลังจากนั้น วิคเตอร์ก็จืดจางไม่ต่างจากเบนที่หายไปเลย
หนังพยายามจะบอกความเป็นตัวร้ายให้คนดูรู้ แต่ก็เหมือนไม่ได้เล่าอะไร ทำให้คนดูไม่ได้อะไรนอกจากสงสัยว่าทำไมดูมถึงเข้ากับคนอื่นไม่ได้
และทำไม ดูม ถึงไม่ชอบใจโลกใบนี้
แล้วจู่ ๆ จอห์นนี่ก็โผล่เข้ามา ฉากแข่งความเร็วของจอห์นนี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์เพลิงทุกเวอร์ชั่นทำได้จืดชืดทื่อ ๆ ราวกับหนังเกรดบี
ยิ่งฉากดราม่าระหว่าพ่อกับลูกยิ่งไม่ได้รู้สึกเลยว่า 2 คนนี้ เป็นพ่อลูกกันจริง ๆ
แล้วหลังจากนั้นหนังก็เริ่มเข้าสู่การเป็นหนัง Sci-fi ซะที (แต่เดี๋ยวนะ เรื่องนี่มันใช่หนังแอ็คชั่น ไซไฟ จริง ๆ เหรอ)
หลังจากการเดินทางข้ามมิติ ที่เป็นแอ็คชั่นเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ร่วมลุ้นเอาใจช่วยซักเท่าไหร
ก็เป็นไปตามฟอร์มหนังแนวนี้ทั่ว ๆ ไปที่นำพาความวิบัติกลับมา แต่ความวิบัตินี่ผมไม่ได้หมายถึงในเรื่องนะ แต่หมายถึงความวิบัติของหนังเรื่องนี้ต่างหาก
จากช่วงแรกที่พอจะมีชั้นเชิงให้ค้นหาติดตามอยู่บ้าง(ม้จะไม่มากก็เถอะ) แต่ครึ่งหลังนี่ราวกับเปลี่ยนทีมเขียนบทใหม่เป็นอีกทีมไปเลย
บทเบิ่ด ไม่ต้องไปใส่ใจ ทุกสิ่งดูง่ายดายไปหมด อยากยัดอะไรใส่ก็ใส่ไปซะงั้น แม้แต่ฉากดราม่าที่พ่อเห็นลูกทั้ง 2 อาการปางตาย
กลับไม่ได้มีความรู้สึกร่วมอะไรเลยสักนิด มันแข็งทื่อ มันจับยัด และผิดที่ผิดทางไปซะหมด
หนังพยายามเล่นประเด็นการยอมรับในพลังใหม่ที่พวกเขาได้รับแต่ก็เล่นได้ผิวเผิน เบาบาง
หรือแม้แต่เรื่องความไว้วางใจกันและกันของสมาชิกในกลุ่มก็ยิ่งเหมือนใส่ไว้ไปงั้น ๆ บทจะดีกันก็ง่าย ๆ
แต่ที่เลวร้ายสุดคือฉาก Action ตอนท้าย ดร.ดูมแสดงพลังอย่างเทพ ระดับแบบไปสู้กับพวกกึ่ง ๆ Cosmic Being อย่าง Silver Surfer ได้สบาย
แต่มาแพ้แกงค์ F4 เอาง่าย ๆ ซะงั้น ใครที่บ่นว่าหนังที่สร้างจากการ์ตูนมาร์เวล ตัวร้ายมักจะตายง่าย ๆ ขอบอกว่าเรื่องนี้ง่ายกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาซะอีก
สรุป
ข้อดี CG & Visual Effect ทำได้ดีตามยุคสมัย แต่ก็ไม่ได้เด่นหรือสวยงามจนต้องว้าว เอาเป็นว่าทำได้ดีแหละก็นี่มันยุค 2015 แล้วนี่
แต่ก็นะ หาข้อดีได้เท่านี้จริง ๆ
ข้อเสีย
1. Casting นักแสดง ได้ห่วยมาก คุณจงลืมภาพของตัวละครในการ์ตูนและในภาพยนตร์ฉบับเก่าไปเสีย เพราะนี่คือคนใหม่ที่บังเอิญชื่อเหมือนกันเท่านั้น
1.1 รี๊ด ริชาร์ท อัจฉริยะฉลาดล้ำอันดับ 1 ฝ่ายมนุษย์ของมาร์เวล มันไม่ได้ปรากฏให้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย
โอเคว่าในแง่การแสดงนั้นนักแสดงทำได้ดีแต่มันไม่ทำให้เชื่อได้เลยว่า นี่คืออัจฉริยะ สุดเกรียน สุดเนิร์ดที่เราเคยเห็นมา
1.2 ซูซาน สตอร์ม ไม่ใช่แค่ภาคนี้กลายเป็นลูกบุญธรรม แต่ยังทำให้สาวสวยระดับ 1 ใน 3 ของจักรวาลมาร์เวล
ต้องกลายเป็นแค่สาวมหาลัยหน้าตาดีคนหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ก็สวยนะ แต่ก็แค่สวยที่พอเดินผ่านไปก็ลืม
1.3 จอห์นนี่ สตอร์ม จงลืมมนุษย์เพลิงทุกคนที่คุณรู้จักไปเสียให้หมด เพราะไม่ว่าจะจักรวาลไหน ก็เป็นหนุ่มหล่อสาวตรึมสุดเกรียน เก๋ ๆ ทั้งนั้น
แต่ภาคนี้ไม่ใช่ ดูยังไง ๆ ก็แค่เด็กแวนซ์เอาแต่ใจที่พบได้มากตามแกงค์ซิ่งขวางถนน
1.4 เบน กริมม์ เพื่อนรักที่ตายแทนกันได้ของรี๊ด ในเวอร์ชั่นคนแสดงถือได้ว่าจมหายไปกับฉาก ไร้ความน่าจดจำใด ๆ มีดีหน่อยตรงกลายร่างแล้วนั่นแหละ
1.5 วิคเตอร์ วอน ดูม เปิดตัวมาอย่างเท่ แต่ก็แค่นั้น บทมันไม่ส่งให้จริง ๆ แค่แสดงให้ไม่โดนอย่างอื่นกลืนหมดได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว
อ้อ คอสตูมตอนเป็น ดร.ดูม เลวร้ายและไร้สง่าราศีสุด ๆ
2. บทห่วย ช่วงแรกพอไหว แต่ช่วงหลังมันไม่ใช่เลยสักอย่าง อะไรจะง่ายไปหมดขนาดนั้น ขนาดดราม่า ก็ดราม่าพอดูได้สัก 2 นาที
แล้วก็กลับไปจับยัด สุกเอาเผากินกันต่อไป อยากใส่อะไรก็ใส่เข้ามา ปมที่สร้าง ๆ มาก็โยนทิ้งไปซะดื้อ ๆ ก็มี
3. โทนของเรื่อง คือเห็นความพยายามอย่างยิ่งที่จะให้หนังมันดู ดาร์ค ดูจริงจัง แต่มันดันไปอยู่ในวัตถุดิบที่มันไม่ใช่
F4 มันเป็นเรื่องแนวสดใส ดราม่าหนัก ๆ ที่มีก็แค่สามีภรรยาทะเลาะกัน พี่น้องขัดใจ เพื่อนไม่เข้าใจเพื่อน อกหัก แค่นั้น มันดราม่าใหญ่ ๆในเรื่องนี้
ไม่เหมือน X-men ที่มีเรื่องการยอมรับของ 2 เผ่าพันธุ์ Avenger ที่มีการเมืองเข้ามาเอี่ยว
แค่สไปดี้สุดเกรียน สุดฮาจับมาดาร์คหมองหม่นไป 3 ภาคก็เอียนจะแย่แล้ว (แต่อันนั้เขามือถึงไงเลยดูดาร์คไม่น่าเกลียดเท่าไหร่)
แต่นี่คิดจะดาร์คแต่มือไม่ถึง มันเลยเป็นหนัง Super Heroes จริงจังแต่บทห่วยมาก มันเลยไม่เข้า มันจับยัด และมันพยายามจนเกินพอดี
4. ทำอะไรทำไม่สุดซักทาง จะเป็น Action ระเบิดภูเขาเผากระท่อมดูเอามันส์ ไม่ต้องสนใจบทอย่าง Transformer ก็ทำได้ไม่ถึง
จะดาร์คดราม่าหมองหม่น แม้แต่แค่เสี้ยงของ Spider man 2 ภาคหลังยังทำไม่ได้ จะไป Sci-fi ก็ประดักประเดิดไม่เข้าพวกอีก
ไม่รู้จริง ๆ ว่าอยากจะวางตัวเองไว้ที่ตรงจุดไหนกันแน่
5. การแสดง ก็ในเมื่อบทมันไม่ส่ง ต่อให้ได้พระเอกแสดงดีมากในหนังเรื่องอื่นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ส่วนตัวละครอื่น ๆ นอกจากพระเอกนั้นไร้อารมณ์มาก
มี ดร. ดูม ที่พอไหวอีกคน แต่ก็งั่น ๆ บทมันไม่เอื้อให้นักแสดงได้แสดงฝีมืออย่างแรง
สรุปส่งท้าย
ให้คะแนน 4/10 ดูก็ได้ แต่ถึงไม่ดูก็ไม่จำเป็นต้องขวนขวายหามาดูก็ได้ มันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอก
อันดับความชอบเกือบรั้งท้าย คือให้เพ่ากับ Dare Devil ฉบับพี่เบน ซึ่งดีกว่า Ghost Rider 2 นิดหน่อย อยากจะบอกว่า F4 ภาคก่อนหน้า ดูดีขึ้นมาจริง ๆ