เด็กเกรด A ผู้ชนะที่ติด “กับดัก”

โพสต์ที่แล้วผมได้พูดถึงเด็กเกรด C สองแบบ  แบบแรกคือ Consumer ที่เน้นหาความสุขจากการบริโภค  และ C แบบ Creator ผู้ค้นหาตัวเองและ ”ผลิต” สิ่งต่างๆให้กับสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผมคิดว่าน่าจะประสบความสำเร็จได้มากกว่าเด็กเกรด A (หรือเด็กที่ตั้งใจเรียน) ซะอีก

Bill Gates ก็เป็นหนึ่งในเด็กเกรด C ที่ออกมาพูด ว่า “ผมเรียนตกบางวิชา แต่เพื่อนผมเรียนผ่านหมด ตอนนี้เขาเป็นวิศวกรที่ Microsoft ส่วนผมเป็นเจ้าของบริษัท Microsoft”

“I failed in some subjects in exam, but my friend passed in all. Now he is an engineer in Microsoft and I am the owner of Microsoft.”


ที่คุณ Bill Gates พูดมาแบบนี้ ผมว่าเขาคงไม่ได้อยากให้เราเลิกเรียนกะทันหันหรอก และก็ไม่ได้บอกว่าการศึกษานั้นไม่ดีด้วย  แต่เขาแค่อยากให้เราเข้าใจว่า เกรดนั้นไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างต่างหาก

อ้าว! แล้วทำไมเด็กเกรด A ถึงไม่ค่อยมีคนที่เป็น Creator แบบคุณ Bill Gates แต่เป็น A แบบ Consumer ซะแทบจะทุกคน? แล้วถ้าเกรดไม่สำคัญ อะไรล่ะ ที่สำคัญ?

มันเป็นคำถามที่ผมควรจะใช้ถามตัวเองไปตั้งนานแล้ว  แต่ผมเพิ่งมาหาคำตอบอย่างจริงๆ จังๆ เมื่อไม่นานมานี้

ผู้ชนะที่ติดกับดัก

ผมก็เป็นหนึ่งใน เด็กเกรด A ที่เป็น “ผู้ชนะ” ในระบบการศึกษาตั้งแต่จำความได้  ผมและเด็กเกรด A แทบจะทุกคน มักจะให้ความสำคัญกับเกรดเป็นอย่างมาก  เราเชื่อว่าเกรดที่สูงกว่านั้นจะนำมาซึ่งโอกาสที่ดีกว่า เช่นได้เข้าโรงเรียนดีๆ มีชื่อเสียง ถ้าเป็นเด็กหน่อยก็อาจจะได้ของขวัญชิ้นโตจากคุณพ่อ

แต่ถึงผมจะได้เข้ามหาลัยฯ ดีๆ ผมก็จะพบว่า  เวลาผมต้องตัดสินใจ “เลือกทางเดินชีวิต” ทีไรผมมักจะตัดสินใจได้ยากทุกที เหมือนเราไม่รู้จักตัวเองเลย  และก็มักจะ “อ้าง” ให้ตัวเองว่า “ เรียนให้ได้เกรดดีๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน”  (เคยมีคนมาผมถามว่า ทำไมถึงเลือกคณะเศรษฐศาสตร์จุฬา? ผมตอบว่ามันใกล้รถไฟใต้ดินดี ถ้าเทียบกับคณะวิศวะ – ดู มัน ตอบไปได้ !)

ผมไม่เคยจะเอะใจเลยว่า  ความคิดแบบนี้ คือสัญญานของการ “ติดกับดัก”  ที่ชัดเจน

ต้องปาเข้าไปตอนเรียนป.โท กว่าผมจะรู้ตัว  (แบบกระจ่าง) ว่า  “เกรด” ในชีวิตมหาลัยนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกต่อไป  ใช่แล้ว! การหา “สิ่งที่ตัวเองรัก” และ “สร้างสรรค์” สิ่งที่มีคุณค่าคนให้คนอื่นต่างหาก (เป็น Creator) คือสิ่งที่สำคัญกว่า!

“เห้ย! นี่เราเข้าใจผิดมานานขนาดไหนแล้ว?! นี่มันปัญหาใหญ่กว่าที่เราคิดนะเนี่ย!”

การติดอยู่ใน “กับดัก(ของการแข่งขัน)” ที่แสนจะยาวนานครั้งนี้  ทำให้ผมเขียนบล็อกนี้ขึ้นมา เพื่อเตือนน้องๆที่กำลังอยู่ในวัยมันส์ทั้งหลายครับ

กับดัก

สำหรับเด็กเกรด A  การสนใจเกรดมากเกินไปนั้น เปรียบเสมือนการติดกับดัก ที่กำลังรัดแขน รัดขาของเขาเอาไว้ ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางเรื่องการเรียน  ที่แปลกคือ  ยิ่งพวกเขาตั้งใจเรียนและได้เกรดดีขึ้นเท่าไหร่ กับดักนั้นก็เหมือนจะรัดเราแน่นมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เด็กเกรดเอ (รวมถึงผมด้วย) เลือกที่จะไม่พยายามสลัดกับดักนี้ทิ้ง เพราะความเสียดาย  เสียดายสิ่งดีๆ ที่เกรดดีๆ “สัญญา” ว่า จะนำมา  ทั้งโอกาสที่จะติดมหาลัยฯดีๆ โอกาสได้งานดีๆ และไหนจะความภาคภูมิใจของครอบครัวอีก  “ไหนๆ ปั้นเกรดมาได้ขนาดนี้แล้ว ต้องทำให้มันดีต่อไป” เป็นความคิดของพวกเราหลายๆคน

แต่ถึงเกรดจะดีแค่ไหน  การติดกับดักก็มีข้อเสียเหมือนกัน

การที่เราสนใจเกรดมากเกินไป ทำให้เราเสียโอกาสในการค้นหา Passion (งานที่ตัวเองรัก) ของตัวเอง  เราจะไม่มีโอกาสทำในสิ่งที่คนที่สนใจเรื่องเกรดน้อยกว่าสามารถทำได้  เช่น การโดดเรียน 2 อาทิตย์ไปเข้าค่ายอาสา  การลงวิชาที่ชอบ แต่เป็นวิชาที่ได้เกรดดีๆยาก หรือ การโดดเรียนไปซ้อมฟุตบอลให้กับรุ่นน้องก็ตาม  และเมื่อได้ทำลองทำอะไรใหม่ๆ น้อยกว่า ก็มีโอกาสสูงเราจะยังไม่รู้จักตัวเอง

ผมเองมักจะตัดสินใจไม่ถูกทุกที  ในเวลาที่ผมต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ  เช่น เรียนต่อสาขาอะไร หรือจะไปทำงานอะไรต่อ หรือแม้กระทั่ง “ชอบอะไร?”  พอมีคนถามคำถามพวกนี้ ผมมักจะเกาหัวหงิกๆ แล้วก็ตอบว่า “ยังไม่รู้เลยค้าบ” ทุกที  นอกจากนี้ จากที่สังเกตจากเพื่อนๆ พวกเรามักจะหางานโดยการหว่านเรซูเม่ ตามบริษัทที่มีชื่อดี และให้เงินเดือนดี หรือไม่ก็สมัครตามเพื่อนไปเลย (ง่ายจุงเบย)

นอกจากนี้ คุณ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal กล่าวไว้ว่า การขาด passion  นั้นยังทำให้เด็กเกรด A มีทัศนคติแบบ incrementalism หรือการพัฒนาแบบทีละขั้นๆ ไม่ใช่แบบก้าวกระโดด  ผมคนหนึ่ง เคยชอบคิดว่า “ถ้าวิชาไหนน่าจะได้ A แล้ว ก็ไม่ต้องทำหนักมากแล้ว เอาเวลาเล่นเกมดีกว่า” นี่แหละ Incrementalism ของแท้ มันทำให้ผมไม่คิดที่จะทำอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่ “ระบบ” ได้กำหนดไว้  (อ่านหนังสือล่าสุดของ Peter Thiel: Zero to One ฉบับแปลไทยกดที่นี่)

ใช่แล้ว  การที่ไม่เคยสลัดหนีจากกับดัก ออกมาลองผิดลองถูก ทำให้พวกเขากลัวความล้มเหลวจนไม่กล้าเดิมพันกับตัวเอง  กลับกัน พวกเขามักจะเลือกที่จะ “รักษาทางเลือก” นั่นคือ “พยายามเรียนให้ได้ดีๆ ไว้ก่อน  จะได้มีทางเลือกเยอะๆ  เรื่องหาว่าตัวเองชอบอะไรนั้น เอาไว้ทีหลัง” การกระทำนี้ มีแต่จะทำให้นับวันๆ กับดักชิ้นนี้ มีแต่จะรัดแน่นขึ้น แน่นขึ้น  และทำให้เด็กเกรด A กลายเป็น Consumer กันหมด

คงจะมีน้อยคนนักที่จะโชคดีได้เจอสิ่งที่ตัวเองรักโดยที่ไม่ได้ลงแรงค้นหาตัวเอง

ได้คำตอบแล้วนะครับ ทั้งการที่ไม่ได้เจอ passion ของตัวเองซักที  การที่มีทัศคติแบบพัฒนาตามระบบ  แถมการกลัวความล้มเหลวจนไม่กล้าเสี่ยงกับตัวเอง  ทำให้ จากเด็กเกรด A เป็นแสนๆ ล้านๆ คน  มีแค่ไม่กี่คนที่จะเจอค้นพบตัวเอง และออกมาเป็น Creator อย่างแท้จริง (ในแต่ละชั้นปีนี่นับหัวได้เลย)  ว่าแต่คุณล่ะ อยากติดกับดักไปตลอดชีวิตหรือเปล่า?

ช้าก่อน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมชวนให้ “ดรอป” จากมหาลัย ฯ เพื่อมาออกมาตามหาฝันนะครับ  รั้วมหาลัยฯ ยังมีกิจกรรมดีๆ มีคนเก่งๆ ให้เราค้นหาและรู้จักอีกเยอะ  มหาลัยฯเป็นที่ที่เราสามารถลอง “ล้ม” โดยที่ไม่เจ็บตัวมากเกินไป  เราสามารถเปลี่ยนตัวเองจาก Consumer มาเป็น Creator ได้ โดยที่ไม่ต้องออกจากโรงเรียนหรือมหาลัยฯ ครับ  (ในความเห็นผม คนกลุ่มเดียวที่สามารถดรอปจากมหาลัยได้  คือคนที่เคยประสบความสำเร็จในระดับสูงจากการเป็น Creator มาแล้วเท่านั้น แบบ Steve Jobs และ Bill Gates เป็นต้นครับ )

ในโพสต์หน้า หน้าผมจะมาสรุปแนวทางปฏิบัติที่ผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายแนะนำ เพื่อสลัดตัวออกจากกับดักที่คอยยับยังไม่ให้เรา เจอตัวตนที่แท้จริงของเรานี้ให้จงได้ ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วครับ!

Checklist: คุณติดกับดักรึเปล่า?

เรามาทบทวนกันอีกทีว่า เด็กที่ติดกับดักมีพฤติกรรม และความคิดแบบไหนบ้าง คุณเพื่อนๆเข้าข่ายรึเปล่า? จากประสบการณ์ของผมโดยตรง และจากการสังเกตเพื่อนๆ รอบข้างครับ ถ้าใครคิดออกเพิ่มมาช่วยกันใส่เพิ่มในคอมเม็นต์ได้เลย

- เรียนก่อนเล่น พวกเราเด็กเกรด A จะเข้าเรียน ตั้งใจเรียน แต่ถ้าเข้าใจอยู่แล้วก็จะทำตัวชิววว และในความชิวนั้นคือความมั่นใจว่าน่าจะสอบได้อยู่ดี (จนอาจทำให้เพื่อนๆที่เหลือหมั่นไส้เล็กน้อย)  เด็กเกรด A ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างดี  ถ้าเหลือก็ค่อยไปเล่นเกม ดูหนัง ดูซีรี่ส์ หาร้านอาหารกินข้าว และกิจกรรมอื่นๆ แต่กิจกรรมมักจะซ้ำๆ มากกว่าทำสิ่งแปลกใหม่

- สอบสำคัญที่สุด พอถึงช่วงใกล้สอบพวกเราจะทิ้งทุกอย่าง ตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบเต็มที่ เราจะไม่หยุดจนกว่าถึงจุดที่เราคิดว่าจะได้ A แล้ว (บางคนทบทวนทั้งสัปดาห์) พอสอบเสร็จก็จะใช้ชีวิตชิวๆ ตามแบบข้อด้านบน เราถือว่าเราได้ทำหน้าที่เราเสร็จแล้ว  หนังสือและโน้ตต่างๆ นี่เรียกได้ว่าแทบจะเอาไปเผาทิ้ง เพราะมันหมดหน้าที่แล้ว (ล้อเล่นนะ อย่าเผาทิ้งนะ เก็บไว้ให้รุ่นน้องดีกว่าเน้อ)

- เรียนดีไว้ก่อนก็พอ เราจะคิดว่า “ตราบใดที่เกรดยังดี ก็ใช้ชีวิตยังไงได้ เพราะหน้าที่ของเราคือเรียนให้ดี” หรือบางทีเราก็เข้าข้างตัวเองว่า  “ตราบใดที่เรายังขยันพอ เราก็โอเค ไปเล่นได้”

- กว่าจะอยากทำอะไรแบบ Creator ก็สายไป (อีกแล้ว!) บางที (โดยเฉพาะช่วงปิดเทอม) พอชีวิตเราชิวเกินไปแล้ว พวกเราก็อยากจะหาอะไรทำจริงๆ จังๆ ที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนบ้าง แต่พอเริ่มหาอะไรทำทีไร ก็จะเปิดเรียนอีกแล้ว (หรือไม่ก็จะสอบอีกแล้ว!)  และแน่นอน เมื่อเรื่องเรียนมา  เรื่องที่จะ “หาอะไรทำกับชีวิต” ก็หายไปกับตา

- ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรแบบจริงจัง (ที่มีประโยชน์ต่อคนอื่น) เวลา มีคนถามคำถามพวกเช่น “จบแล้วไปทำไหน” “ชอบทำงานอะไร”  “อยากเรียนสาขาอะไรต่อ”  เรามักจะเกาหัวหงิกๆ แล้วก็ตอบว่า “ยังไม่รู้เลยค้าบ =.=” ทุกที  แต่ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ เราก็ไม่ได้พยายามหาคำตอบเหล่านี้อยู่ดี

อ่านต่อ: ไม่ใช่เด็กเกรด C ทุกคนที่จะเป็นได้อย่าง Bill Gates. ลองอ่านต่อที่นี่นะครับ เด็กเกรด C แบบไหนไม่แพ้เด็กเกรด A
https://metapon.wordpress.com/2015/06/28/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94-c-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B9%80/
ขอบคุณที่อ่านมาถึงนี่นะครับบ

ถ้าชอบบทความ ติดตามเพจได้ที่ www.facebook.com/metaponblog ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่