หมอบิ๊กไบค์ หัวใจหล่อมาก

ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/513929



ถึงอาชีพแพทย์จะเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย หนักหนา และดูจะไม่ค่อยมีเวลาเป็นส่วนตัวสักเท่าไร แต่สำหรับแพทย์ประจำห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลเอกชัย "นพ. พลกฤษณ์ จันทรโสภาคย์" คนนี้ กลับได้สละเวลาว่างส่วนตัวอันน้อยนิด ออกเดินทางพร้อม 'บิ๊กไบค์' คู่ใจ ไปช่วยเหลือ และตรวจรักษาโรคต่างๆ ให้กับผู้ยากไร้ในถิ่นห่างไกล เพียงมุ่งหมายจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น …

หลายคนอาจคุ้นชินกับชื่อ "หมอหลุยส์" ที่เมื่อถูกเอ่ยขึ้นทีไร เป็นต้องนึกถึงคุณหมอหน้าละอ่อนที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในถิ่นทุรกันดารที่ต่างๆ ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟ ขึ้นดอยหรือเข้าป่าลึกไปไกล ลำบากสักแค่ไหน เขาก็จะไปให้ได้ ซึ่งตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ เขาออกเดินทางช่วยเหลือชาวบ้านมาเป็นเวลา 4 ปี ด้วยอุดมการณ์แรงกล้า และเป้าหมายที่ชัดเจนไม่แปรเปลี่ยน



หมอหลุยส์-พลกฤษณ์ จันทรโสภาคย์



ไทยรัฐออนไลน์บุกบ้านจับเข่านั่งคุยถึงเรื่องราวการเดินทางที่แสนประทับใจนี้ทำให้รู้ว่า 'ความสุข' ไม่ได้อยู่แค่การเดินทางไปที่ต่างๆ ด้วยสองล้อบิ๊กไบค์ และชิลกับบรรยากาศรอบๆ เท่านั้น ทว่ายังรวมถึงการช่วยเหลือ ตรวจรักษาชาวบ้านด้วยวิชาชีพแพทย์ที่ได้ร่ำเรียนมา และสานความหวังของทุกคนให้เป็นจริง

"การเห็นใบหน้าของชาวบ้านที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเป็นประกาย มันเป็นความสุขที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว" หมอขี่บิ๊กไบค์เป็นร้อยกิโลฯ เพื่ออุทิศตนช่วยคนยากไร้ ที่เชื่อว่าไม่ต้องรู้จักก็หลงรักได้ รับประกัน

บทเริ่มต้น : เริ่มต้นแรงบันดาลใจจากคุณตา

Q : จุดเริ่มต้น และแรงบันดาลใจกับการเป็นหมอเกิดขึ้นตอนไหน ?



จุดเริ่มต้นจริงๆ น่าจะมาจากคุณแม่ และครอบครัวที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยความที่คุณตาเป็นคุณหมออยู่แล้ว จึงทำให้ผมซึมซับ เรียนรู้มาเรื่อยๆ จนเริ่มชอบ เลยอยากเป็นหมอตั้งแต่เด็กๆ ตามคุณตา เด็กๆ จำได้ว่าชอบเห็นคุณตาขี่บิ๊กไบค์ไปตรวจคนไข้ (คุณตาเป็นคนชอบขี่บิ๊กไบค์มากๆ) เลยเป็นภาพจำติดตามาจนถึงปัจจุบัน ไม่ได้มีใครวางแผนหรือบังคับอะไร การขี่บิ๊กไบค์ไปช่วยเหลือคนอื่นพูดได้ว่าแรงบันดาลใจทั้งหมดมาจากคุณตา บวกความชอบส่วนตัวที่ได้เห็นจากภาพยนตร์ในทีวี หรือเอ็มวีเพลง ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็น ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน หรือจะเป็น อินเดียน มอเตอร์ไซเคิล

ที่จริงผมชอบบิ๊กไบค์มาตั้งแต่เด็กๆ เสิร์ชหาข้อมูล หาหนังสืออ่านมาเรื่อยๆ แต่ตอนแรกที่บ้านไม่ให้ขี่เลย ให้คุณตาขี่ได้ แต่พอมาถึงรุ่นผม คุณพ่อคุณแม่จะกลัวเรื่องอุบัติเหตุ กลัวรถล้ม เป็นแผลอะไรแบบนี้ แต่ก็ห้ามไม่ค่อยได้ (หัวเราะ)

Q : ชอบบิ๊กไบค์ขนาดสะสมเป็นคอลเลกชั่นหรือเปล่า ?



ไม่มีเลยครับ จริงๆ อย่างที่บอก คุณแม่ไม่ให้ขี่เลย ให้ขี่แต่จักรยาน หรือจะไปเล่นกีฬาอย่างอื่นก็ได้ทุกอย่าง แต่พอมาเป็นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ เขานึกถึงอุบัติเหตุก็ไม่โอเคแล้ว ผมก็เลยไม่ได้ขี่แต่มีหนังสือไว้คอยอ่านเรื่อยๆ แทน ซึ่งไม่ใช่แค่ผมที่คุณแม่ไม่อนุญาต คนอื่นๆ ในบ้านก็ด้วยเหมือนกัน ซึ่งหลังจากที่คุณปู่เสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ก็ไม่รู้ว่าบิ๊กไบค์ที่คุณปู่เคยขับ เคยสะสมหายไปไหนแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ผมเองก็เพิ่งมาสะสมช่วง 10 ปีหลัง ค่อยๆ ซื้อ ค่อยๆ สะสมไป



Q : อุปนิสัยตอนเด็กๆ ชอบขับบิ๊กไบค์ ที่ดูขัดกับคุณหมอเนี้ยบๆ ?


จริงๆ ผมไม่ได้คิดว่าจะได้มาขี่มอเตอร์ไซค์เยอะขนาดนี้ โดยเฉพาะการขี่ออกไปในถิ่นทุรกันดารห่างไกล ผมรู้แน่ๆ แค่ขี่ออกไปชิลๆ ตามร้านกาแฟ ไปทานข้าว หรือไปที่ทำงาน แต่พอได้มีโอกาสเดินทางไกลๆ ปรากฏว่ายิ่งขี่มันก็ยิ่งอิน ยิ่งหลงใหล มันสนุกเข้ากับไลฟ์สไตล์ชีวิตผมเลย เพราะผมเป็นคนลุยๆ อยู่แล้ว จะนอนกลางดินกินกลางทรายก็ยังได้ อีกทั้งการออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ (อย่างที่คุณตาทำ) ก็เหมือนผมได้ค้นพบ-เจอตัวเองในสิ่งที่ชอบ ว่าผมรักการเดินทางด้วยสองล้อไปช่วยเหลือคนอื่น ได้ไปเจอบรรยากาศ และสถานที่ที่ผมสามารถเข้าไปทำประโยชน์ได้ มันทำให้ผมรู้สึกดี และก็เลยตกหลุมรักการเดินทางไปกับบิ๊กไบค์คู่ใจไม่รู้ตัว ซึ่งจริงๆ มันก็ดูขัดกับลุคคุณหมอมากพอสมควรเหมือนกัน (หัวเราะร่า)

ตอนนี้ผมมีบิ๊กไบค์ทั้งหมด 8 คัน แต่มี 2 ยี่ห้อที่ชอบที่สุด คือ ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน และ อินเดียน มอเตอร์ไซเคิล มันเป็นรถที่ผมชอบและฝังใจมากๆ เพราะติดภาพลักษณ์มาจากฝรั่ง แต่ผมก็เปิดกว้างลองขับขี่ยี่ห้ออื่นด้วยนะ ก็เลยจะมีหลายยี่ห้อไว้ในครอบครอง ...

Q : จุดเริ่มต้นในการขี่บิ๊กไบค์ช่วยเหลือผู้ยากไร้ถิ่นห่างไกล เริ่มจากตรงไหน ยังไงบ้าง ? 


จริงๆ จุดเริ่มต้น คือ ผมขี่มอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว แล้วมันก็มีหลายสังคม หรือกลุ่มคนที่ส่วนใหญ่จะขี่บิ๊กไบค์ไปทำบุญ ไปบริจาคของเล็กๆ น้อยๆ ช่วยเหลือผู้ยากไร้กัน แต่ผมเห็นว่าหมอที่ขี่บิ๊กไบค์ไปช่วยเหลือคนจริงๆ มันยังไม่มี ทีนี้มีอยู่ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสได้เดินทางไปเข้าป่า เป็นป่าลึก ทุ่งใหญ่นเรศวร เข้าไปตรวจคนไข้ ไปกับกลุ่มมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ด้วย พอเข้าไปในครั้งนั้นมันเกิดความรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก ถึงทางเข้าไปจะยากลำบาก แต่พอนึกถึงชาวบ้าน-ชาวเขาแล้ว ผมก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ผมย้อนคิดดู พวกเขาจะต้องเข้า-ออกกันลำบากมากแค่ไหน ยิ่งเวลาใครเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยแล้ว เพราะขนาดผมเองยังว่าลำบากมากเลย ฉะนั้นทางการแพทย์ หรือยารักษาโรคต่างๆ มันต้องขาดแคลนอยู่แล้ว ตอนนั้นเมื่อผมได้ไปตรวจคนอย่างใกล้ชิดจริงๆ ได้เข้าไปช่วยเหลือคน ผมรู้สึกดีมากเลย และชอบมากอย่างอธิบายไม่ถูก ปกติคนเขาแค่เอาของไปบริจาคกัน แต่วันนั้นผมเอาเครื่องมือตรวจต่างๆ ติดไปด้วย เพื่อไปตรวจ และได้พูดคุยกับชาวบ้าน ผมรู้สึกประทับใจกับสิ่งที่พวกเขา (ชาวบ้าน) ตอบรับกลับมาอย่างเกินคาด



ทริปครั้งนั้นแฟนผม (หมอต่าย) ไม่ได้ไปด้วย พอกลับมาผมเจอเขา ผมเลยเล่าให้เขาฟังว่า ผมมีความสุขมากเลย เพราะนอกจากผมจะได้ขี่บิ๊กไบค์ที่ผมรัก ชิลไปกับธรรมชาติแล้ว ผมยังได้เข้าไปตรวจคนไข้อีก ซึ่งมันไม่ใช่แค่การไปบริจาคสิ่งของ หลังจากนั้นผมก็เลยชวนเขาไปที่นั่น เข้าป่าไปถิ่นทุรกันดารที่ต่างๆ ที่การแพทย์ยังเข้าไม่ถึง โดยมีมอเตอร์ไซค์คู่ใจเป็นตัวพาไป การเดินทางแต่ละครั้ง ไม่ได้หวังเพื่อความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว แต่ยังนำวิชาชีพแพทย์ที่ได้เรียนมาทำให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด



พาร์ตที่ 1 ออกสตาร์ตด้วยความสุข

Q : ทริปแรกที่ได้ไปเยือน ?

จำได้ว่าเป็นทุ่งใหญ่นเรศวร ที่หมู่บ้านสะแก ติดชายแดนพม่าเข้าไปลึกสุดเลย ถ้าฝนฟ้าเป็นใจอากาศดีหน่อย ก็ใช้เวลาเดินทางเข้าไป 2-3 วัน ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตรได้ แต่การเดินทางค่อนข้างลำบากมาก ต้องไปนอนกลางทางก่อน (กลางเต็นท์นอน) แล้วก็เดินทางต่ออีกประมาณหนึ่งวัน ซึ่งจากตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่า การแพทย์เขาขาดแคลนมาก ทั้งเส้นทางที่ไกลและยากลำบาก รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนคาดเดาไม่ได้ พอผมไปถึงได้ไปตรวจชาวบ้าน ผมวางแผนต่อได้เลยว่าครั้งหน้าที่ผมจะเข้ามา ผมต้องเอายาตัวไหนมารักษา หรือช่วยเหลือพวกเขาบ้าง เพราะบางทีผมไปตรวจแล้วเจอโรคที่ยังไม่มีหมอมารักษา หรือยายังเข้าไม่ถึง

ผมจะวางแผนสเต็ปที่ 2 คือ ถ้าครั้งหน้ากลับมาผมจะต้องทำอะไร ต้องเตรียมอะไร หรือยาตัวไหนมาให้พวกชาวบ้านอีกบ้าง เวลาออกทริปแต่ละครั้ง มันก็เลยกลับมาเป็นการบ้านว่า ผมจะกลับไปต่อยอดให้การรักษาสมบูรณ์ขึ้น มันเป็นโจทย์ที่สำคัญเลย จะรักษาชาวบ้านอย่างไรให้ต่อเนื่องมากที่สุด



Q : ได้ออกทริปช่วยเหลือชาวบ้านบ่อยไหม ?

ไปปีละ 1 หนนะ แต่อย่างทุ่งใหญ่นเรศวรที่ผมไป มันค่อนข้างลึกพอสมควร ทำให้บางที 1 วันถึงบ้าง หรือบางทีก็กินเวลา 2-3 วันเลย ทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นอะไรที่เข้ายาก และดูจะลำบากที่สุดแล้ว ไป-กลับ ตกประมาณ 3-4 วันเห็นจะได้ ยิ่งถ้าอยู่ๆ เกิดฝนตกระหว่างทางแน่นอนเลยว่าเกิน 5 วันและมันจะคาดไม่ได้ว่าจะกลับออกมาได้รึเปล่าด้วย





Q : อุดมการณ์ หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ในการออกเดินทางแต่ละครั้ง ?

ผมตั้งเป้าไว้แค่ว่า พอเข้าไปถึงแล้วสามารถบริจาคยาเวชภัณฑ์ต่างๆ และตรวจรักษาคนไข้ได้ในระดับหนึ่งเบื้องต้น จากนั้นจะเริ่มเสต็ป 2 วางแพลนต่อว่า คราวหน้าผมจะต้องกลับมาอีกทีหนึ่งเพื่อเอาอะไรๆ มาให้พวกเขาบ้าง มันจะไม่มีทริปครั้งเดียวจบ มันจะต้องมีเรื่อยๆ ครั้งที่ 2 ที่ 3 เพราะกว่าจะเข้าไปถึงครั้งแรกครั้งเดียว มันก็ยากลำบากมากอยู่แล้ว ทั้งไม่ชินทาง แถมยังไม่รู้ว่าที่นั่นเขาขาดแคลนอะไรบ้าง ฉะนั้นครั้งแรกมันไม่ได้พร้อมไปซะทุกอย่าง มันจะต้องขาดตกบกพร่องอะไรสักอย่างหนึ่งแน่นอน ยิ่งการรักษาที่ไม่รู้ว่าชาวบ้านป่วยเป็นโรคอะไรบ้าง มันจึงต้องมีครั้งที่ 2 เพื่อกลับมาเก็บงานซ้ำอีกที เจออะไรเพิ่มเติมก็จะได้จัดเตรียมมาให้พวกเขาพร้อมในครั้งหน้า ตลอดจนของใช้จำเป็นให้กับชาวบ้าน และเด็กๆ ด้วย



พาร์ต 2 : เพราะความสุขคือการได้ช่วยเหลือ และตรวจรักษาชาวบ้าน

Q : ออกทริปรักษาชาวบ้านแต่ละครั้ง มีเลือกสถานที่ไหม หรือไปได้ทุกที่ที่ขาดแคลนจริงๆ ?


สถานที่ส่วนใหญ่จะเป็นการทราบข่าว หรือส่งข่าวต่อกันมามากกว่า อย่างมีข่าวชุมชนถิ่นห่างไกลตามหน้าหนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต ว่ามีที่ไหนเดือดร้อนบ้าง ถ้าพวกเขาเดินทางลำบาก ต้องการแพทย์จริงๆ และความช่วยเหลือดูแลต่างๆ (โดยเฉพาะทางการแพทย์) ผมก็ยินดีจะไป และวางแผนติดต่อประสานงานไปในพื้นที่ทางนั้นให้เดินทางเข้าไปถึงได้ ช่วยในเรื่องของการอำนวยความสะดวกให้กันและกัน ทุกครั้งที่ไปจะไปกับแฟนผม 2 คนเป็นหลัก แต่บางทีก็จะมีเพื่อน หรือน้องผมที่เป็นหมอเหมือนกันไปด้วย ถ้ามีเวลาก็จะเข้ามาช่วยกัน

มีทริปที่ผมไปใกล้ๆ เหมือนกัน อยู่แค่นครปฐมเอง เป็นบ้านพักหญิงคนชรา ตอนนั้นมีกลุ่มน้องๆ ใจบุญที่ขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนกัน เขาจัดกิจกรรมที่นั่น ก็เลยมาชวนให้ผมไปช่วยตรวจคุณยาย ถึงมันจะอยู่แค่นครปฐม แต่ผมก็แฮปปี้มาก และพวกเขาเองก็มีความสุขมากเช่นกัน เพราะปกติจะมีแต่คนเอาของไปบริจาค แต่ไม่เคยมีใครเข้าไปนั่งคุย นั่งตรวจอย่างจริงจัง รวมไปถึงเรือนพักของคุณยายบางท่านที่ไม่สามารถเดินออกมาตรวจกับผมได้ ด้วยเพราะเขาอาจจะป่วย เรื่องของความพิการอะไรต่างๆ เดินไม่ไหว ผมก็เข้าไปเยี่ยมตรวจถึงเตียงเลย เหมือนทำงานโรงพยาบาลเลย เข้าไปดูคุณยายทีละเตียงๆ แล้วเอาของไปให้ ผมมีความสุขมากนะ ถึงแม้มันจะเป็นสถานที่ใกล้ๆ ก็ตาม เรื่องการเดินทางไม่ใช่ปัญหาว่า ผมจะต้องเดินทางไกลแล้วถึงจะมีความสุข มันไม่เกี่ยวเลย แค่ได้ไปตรวจ ได้ช่วยเหลือคนอื่น มันก็ทำให้ผมมีความสุขมากแล้ว


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่