วิเคราะห์ พรบ. กำลังพลสำรอง

https://www.facebook.com/pages/Doungchampa-Spencer-Isenberg/804632636246419?fref=ts

ขอบอกเกริ่นก่อนว่า Status วันนี้ จะยาวหน่อย อาจจะใช้เวลาอ่านประมาณ 5 นาที

-------------------------------------------

แต่ดิฉันขอเปิดใจเขียนเรื่องนี้ เพราะมีความเป็นห่วงกับเพื่อนๆ หลายท่าน ที่กำลังมีผลกระทบกับกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการเรียกกำลังสำรองในประเทศไทย ขอให้ใจเย็นๆ อ่านไปและคิดไปด้วยว่า มันมีโอกาสเกิดขึ้นกับท่านมากน้อยสักแค่ไหน

ดิฉันยังสามารถแชร์ความคิดเขียนให้ท่านฟังกัน เนื่องจากพวกท่านอาจจะไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ในประเทศไทยได้ เพราะอาจจะมี “ผู้เยี่ยมเยือน” เดินทางมาปรับทัศนคติกับท่านถึงที่

-------------------------------------------

สืบเนื่องจากกระทู้ที่เขียนไว้ เกี่ยวกับการเรียกกำลังสำรองใน USA เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (ลิ้งค์อยู่ในคอมเม้นท์แรก และคอมเม้นท์ที่สอง ของ Status ชุดนี้):

เคยได้ยินคำกล่าวเก่าๆ ในภาษาอังกฤษ ว่า “If you want to kill someone without going to jail, then, make the killing becomes legal.” หรือ แปลง่ายๆ ก็คือ “ ถ้าท่านต้องการจะฆ่าใครสักคนหนึ่งโดยไม่ต้องไปติดคุกติดตาราง ก็ทำให้กฎหมายในการฆ่า กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรมไปเสีย....”

พอจำประโยคข้างบนได้ วันนี้ เลยมาทำการวิเคราะห์กับกฎหมายแปลกๆ เกี่ยวกับการเรียกกำลังสำรองฉบับนี้

-------------------------------------------

ก็เลยขอสร้างสมมติฐาน (Hypothesis) ขึ้นมา (ย้ำอีกครั้งนะคะ ว่า เป็น "สมมติฐาน") ซึ่งจะต้องมีการพิสูจน์กันจากข้อมูลการวิจัยในภายหลังว่า สมมติฐานของตนเองนี้ มีความถูกต้องหรือผิดพลาดมากน้อยขนาดไหน

-------------------------------------------

ถึงแม้กฎหมายฉบับนี้ จะเพิ่งผ่านวาระแรกไปก็ตาม แต่มันมีโอกาสที่จะกลายเป็นกฎหมายบังคับใช้กับท่านได้ในอนาคต สิ่งที่เห็นแปลกๆ คือ:

1. กฎหมายฉบับนี้ ระบุว่า มีความจำเป็นต้องเรียกระดมทหารกองหนุนที่มีอยู่ 1 ล้าน 2 แสนคน ให้หมุนเวียนกลับเข้ารับการฝึกทหารซ้ำใหม่ปีละ 4.5 หมื่นคน หรือคิดเป็น 2.5 เปอร์เซ็นต์ของกำลังพลสำรอง มีการเรียกระดมชายไทยที่เป็นทหารกองหนุนให้กลับไปใช้ชีวิตเป็นทหาร กินนอนในค่ายทหารเป็นเวลาไม่เกิน 2 เดือน

2. มีการบังคับให้นายจ้าง ต้องจ่ายเงินเดือนตามอัตราเต็ม (ซึ่งเรื่องนี้เป็นการผลักภาระให้กับผู้ประกอบการอย่างแน่นอนที่สุด)

3. ไม่มีรายละเอียดว่า บุคคลที่ทำงานเกี่ยวกับการช่วยชีวิตมนุษย์อย่างเช่น แพทย์ฉุกเฉิน, แพทย์, พนักงานดับเพลิง, ครูอาจารย์ หรือ แม้นักบวช จะได้รับการละเว้นจากการถูกเรียกตัวหรือไม่? และบุคคลต่างชาติที่ถือใบต่างด้าว จะต้องถูกเรียกตัวด้วยหรือไม่?

4. . ทางฝ่ายกองทัพไม่ได้แจ้งเลยว่า การสุ่ม 2.5 เปอร์เซ็นต์ จะทำกันอย่างไรบ้าง? ใช้ฐานข้อมูลประเภทไหนในการสุ่ม?

(ระบบของไทย ไม่มีการสุ่ม Lottery แบบใน US ซึ่งเห็นได้บ่อยครั้ง เวลาทำการสุ่มหาบุคคลเพื่อไปปฏิบัติการในคณะลูกขุน)

ส่วนในประเทศไทย แทนที่จะสุ่ม (Random) อาจจะกลายเป็นการ เลือกเฟ้น (Selection) ได้เช่นกัน เพราะไม่มีการระบุวิธีการสุ่มกันเลย

-------------------------------------------

กลุ่มประชาชนที่จะมาอยู่ในการวิเคราะห์ของ Status นี้คือ:

1.1 .ทหารกองหนุนประเภท 1 (คือผู้ผ่านการเกณฑ์ทหารแล้ว หรือผู้ที่ได้รับยกเว้นเนื่องจากเรียน รด. ที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี)

1.2. .ทหารกองหนุนประเภท 2 (คือผู้ที่เข้ารับการเกณฑ์ทหารแต่โชคดีจับได้ ใบดำ รวมถึงทหารกองหนุนประเภท 1 ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีถึง 60 ปี)

-------------------------------------------

กองกำลังสำรองใน USA ฝ่าย Reserves จะเป็นพวกอาสาสมัครทั้งหมด ซึงตามที่กฎหมายระบุไว้ จะมีอายุเกิน 35 ปีไม่ได้ เนื่องจากว่า สภาพร่างกายของมนุษย์ มันเริ่มเสื่อมสภาพลงไปทีละนิดๆ ไม่มีความ active มากเหมือนสมัยที่ยังเป็นแบบ teens หรือ tweens (20+) อยู่

การเรียกคนอายุเกิน 35 ปีเข้าไปฝึก ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา การฟื้นฟูสภาพของร่างกายจะไม่เหมือนกับคนอายุ 25-35 อย่างแน่นอน เป็นต้นว่า ถ้าแข้งขาเคล็ด หรือ กระดูกหัก ก็ต้องใช้เวลานานกว่าในการรักษาเยียวยา แต่อย่างไรก็ตาม ก็คงไม่สามารถทำการฟ้องร้องฝ่ายทหารได้แม้แต่เรื่องเดียว

คนอายุเกิน 35 ไปแล้ว ร่างกายจะทนต่อเรื่อง Abusive แบบลงโทษหรือ Corporal Punishment ไม่ได้มากเท่าไรนัก รวมไปถึงการฝึกฝน (Drills) แม้กระทั่งวิ่งออกกำลังกายตั้งแต่เช้าตรู่เป็นอีกหลายๆ กิโลเมตร อย่างที่เราเรียกกันว่า Reveille ก็จะมีปัญหาตามมาแน่นอน

ท่านทราบกันหรือไม่ว่า บุคคลที่มีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนกัน และผู้คนก็จะน้ำหนักเพิ่มกันได้ง่ายดาย โดยเฉพาะที่หน้าท้อง และที่สำคัญมากๆ คือ กล้ามเนื้อจะเริ่มค่อยๆ หย่อนยานลงมา ทำให้ตนเองอ่อนเปลี้ย และป้อแป้ได้ง่ายยิ่งขึ้น

-------------------------------------------

ส่วนคนที่มีโรคประจำตัวอย่างเช่น โรคหัวใจ หรือ สุขภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก จะทำอย่างไรกัน? คนอายุขนาดนี้ ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักเกินพิกัดมาตรฐานอยู่แล้ว และยิ่งมีความตั้งใจจะเรียกคนอายุเกิน 50+ ไปฝึก ก็ยังถือว่า ต้องถูกเรียกตัวเข้าไปฝึกกำลังสำรองกันอย่างนั้นหรือ?

สมมติว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเกี่ยวกับคนที่อายุเกินกว่า 50 ปีขึ้นไป ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องเหล่านี้? จะมาอ้างว่า ผู้ฝึกขาดประสบการณ์ก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่อาชีพของเขาที่จะต้องมาฝึกอะไรกันอย่างนี้อีก ในยามที่ตนเองใกล้เวลาเกษียณอายุกัน

และถ้าจะให้เทียบจริงๆ ก็ลองไปดูนายพลพุงพลุ้ยอีกหลายๆ คนในประเทศไทยเอง คิดว่า พวกนี้จะวิ่งกันไหวอย่างนั้นหรือ? ถึงแม้ว่า พวกนี้จะเป็นทหารอาชีพก็ตาม ถ้าอายุเกิน 50+ ปีไปแล้ว ก็ลองมาฝึกกันสักสองเดือน มันจะไหวหรือไม่?

ดิฉันไม่มีข้อมูลว่า สถานที่ฝึก จะกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ หรือว่ามาอยู่ที่สถานที่แห่งเดียวกัน ตามที่เข้าใจ คาดว่า น่าจะมาอยู่ในสถานที่เดียวกันในการฝึก เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียว ดังนั้น ก็คงจะมีการให้ผู้ถูกเรียกตัว เดินทางเข้ามาในค่ายฝึกแบบเดียวกันหมด ตัวอย่างเช่น ผู้ถูกเรียกตัวทุกๆ คน จะต้องเดินทางมายังค่ายฝึกที่ ร.11 เป็นต้น

-------------------------------------------

คราวนี้ มาถึงการวิเคราะห์กัน:

1. ทางการทหารไม่ได้ระบุรายละเอียดใดๆ ว่า ทำไมจะต้องมีการบังคับให้ทหารกองหนุนประเภท 2 ต้องเข้ามาฝึกด้วย?

ดิฉันคาดว่า บุคคลที่อายุประมาณ 55-60 ปี เริ่มใกล้เวลาเกษียณอายุตนเอง ส่วนใหญ่คนในกลุ่มนี้ จะมีสภาวะทางการเงินมั่นคงกว่าบุคคลที่มีอายุรุ่น 25-50 ปี

และเท่าที่เห็นกันการปฏิบัติกันในประเทศไทย เงินสดมันซื้อ "ความสะดวกสบาย" ต่างๆ ได้ และมีโอกาสสูงมาก ที่จะมีการ "ทำมาหากิน" กับพวกที่มีอายุในกลุ่มนี้

และการฝึก อาจจะกลายเป็น "ตลาดมืด" ในการรีดไถได้อย่างง่ายดาย ถ้าอยาก "สบาย" ก็ช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง..

-------------------------------------------

ส่วนกลุ่ม 25-40 ปี ก็ต้องระบุสถานะของตนเองในช่วงตอนกรอกข้อมูลเช่นกัน และเมื่อข้อมูลเหล่านี้ เป็นข้อมูลเปิดเผยกับฝ่ายทหาร ท่านก็คงจะทราบกันดีว่า ใครมีรายได้เท่าไร และทางทหารเอง ก็ทราบว่า นายจ้างก็จะต้องเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้อยู่แล้ว การ Abuse ในเรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับคนที่มีรายได้สูง ก็มีแนวโน้มว่า จะกลายเป็น "เป้า" ในเรื่องเหล่านี้กัน หรือไม่ก็จาก “คำบอกเล่าแบบปากต่อปาก” ว่า นี่คือ “ลูกคนรวย” ฯลฯ

ดังนั้น มันสามารถกลายเป็นการเปิดช่องทางทำมาหากินกันได้อย่างถ้วนหน้า เพราะ จะต้องนำบุคคลเหล่านี้ เข้ามาฝึกในสถานที่ปิด และเป็นสถานที่เดียวกัน หมุนเวียนกันอยู่ผลัดละ 2 เดือน

-------------------------------------------

2. บุคคลที่อายุ 40-60 ปี จะมีภาระทางบ้านมากกว่าบุคคลอายุ 25-40 ปี เพราะต้องทำการ Take care สมาชิกครอบครัวตนเอง รวมทั้งผู้ปกครองที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย และถ้ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินในครอบครัวเกิดขึ้น ทางกฎหมายจะระบุไว้อย่างไรว่า ขั้นตอนต่อไป จะต้องทำอย่างไรกัน? และถ้ามีผู้คนข้างนอกทราบว่า เจ้าของบ้านไม่อยู่ ต้องไปฝึกทหารเป็นเวลาสองเดือน จะมีการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับบ้านช่องกันอย่างไร? มีโอกาสถูกโจรขึ้นบ้านปล้นบ้านในยามเศรษฐกิจย่ำแย่กันหรือไม่?

-------------------------------------------

3. เรื่องนี้เป็นข้อสังเกตในด้านการเมืองอีกมุมหนึ่ง คือ ผู้ที่ทำการเคลื่อนไหวสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย ส่วนใหญ่จะมีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปเกือบทั้งหมด มันถึงไปสอดคล้องกับเรื่อง ทหารกองหนุนประเภท 2 (คือผู้ที่เข้ารับการเกณฑ์ทหารแต่โชคดีจับได้ ใบดำ รวมถึงทหารกองหนุนประเภท 1 ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีถึง 60 ปี)

เมื่อคิดดูดีๆ มันเหมือนกับว่า เป็นความตั้งใจจริงๆ ที่จะให้กฎหมายฉบับนี้ มาปฏิบัติใช่กับบุคคลที่มีอายุในกลุ่มนี้ และดิฉันมั่นใจว่า จะมีการ “คัดตัว” (hand-pick หรือ select) กัน แทนที่จะทำกันแบบ “สุ่มตัว” หรือ Random

กลับไปดูคำกล่าวในประโยคข้างบนที่เขียนไว้ว่า If you want to kill someone without going to jail, make the killing becomes legal และพิจารณาในเรื่องนี้ มันเลยเข้า Specifications จริงๆ ว่า มันอาจจะกลายเป็นการ Abuses กันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

มันเปรียบเสมือนว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องในการออกกฎหมายฉบับนี้ ต้องการ "แก้แค้น" กลุ่มที่ออกมาเดินขบวนเพื่อสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยกัน แต่อาศัยการชักแม่น้ำทั้งห้า เข้ามารวมในกฎหมายฉบับนี้

-------------------------------------------

ลองไปดูในต่างประเทศหลายๆ ประเทศกันดูได้ว่า มีการ “บังคับ” เรียก Active Reserves ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ที่ไหนกันบ้าง?

จริงๆ แล้ว คุณภาพของทหารกองหนุนอายุ 40 ปีขึ้นไป แทบไม่มีเลย เพราะพวกนี้ ไม่ได้ฝึกฝนอยู่อย่างเป็นประจำ เนื่องจากต้องดำรงชีวิตแบบพลเรือนกัน

ถ้าเป็น "กลุ่มเสื้อแดง" แล้ว บุคคลอายุ 40-60 ปีนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะโดน "โขกสับ" กันอย่างหนัก เพราะทหารถือว่า มันเป็นกฎหมายออกมาแล้ว และมีโอกาสสูงมากที่จะใช้วิธีปฏิบัติการแบบนี้ กับผู้สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยกัน เพื่อ "สั่งสอน" เป็นบทเรียนว่า "พวกยิ้ม อย่ามาซ่าให้มาก หุบปากเสีย" รวมทั้งต้องเข้าคอร์ส เพื่อสร้างวิธีความรักชาติ รักสถาบันต่างๆ อีกด้วย

และเป็นเรื่องแน่นอนที่สุด ที่ทางฝ่ายทหารเอง จะออกมา “ปฎิเสธ” ว่า ไม่จริง เพราะอาศัย “ความยุติธรรม” ทุกขั้นตอน...บลา..บลา..บลา...

และมีความมั่นใจอย่างมาก เกี่ยวกับเรื่อง "การกร่าง" “การโชว์อำนาจบาตรใหญ่” และ "การละเมิดสิทธิมนุษยชน" จะเกิดขึ้นกันอย่างถ้วนหน้า และอาจจะมีการฝึกแบบ "ชุดวันเกิด" อันลือลั่นมาแล้ว เกิดขึ้นได้

รวมไปถึง "การล้างสมอง" เกี่ยวกับการอ้างว่า สิ่งสำคัญและศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น กลายเป็นสิ่งที่ประเทศชาติขาดกันไม่ได้

และถ้าไม่ยอมรับในเรื่องเหล่านี้ ก็คงจะถูก “ทำโทษ” กัน ไม่ว่าจะหนักหรือเบา...

-------------------------------------------

ดิฉันไม่ทราบว่า บุคคลผู้ใด เป็นผู้เสนอกฎหมายนี้เข้าไป ท่านผู้อ่านก็ควรจะสืบข้อมูลกันดูเอง เพราะน่าจะมีคนหลายๆ คน ต้องการ "จองกฐิน" กับกลุ่มบุคคลเหล่านี้แน่นอน

-------------------------------------------

และเพื่อเป็นการ ปกป้องข้อมูลของตนเองอย่างมากที่สุด ท่านก็คงทราบกันดีว่า ชื่อจริง และ โปรไฟล์ของท่าน ที่อยู่ใน Social Network นั้น ฝ่ายทหารก็ต้องตาม follow แน่นอนว่า ท่านเป็นใคร มีสถานภาพความเป็นอยู่อย่างไร ทำงานที่ไหน และเรื่องเหล่านี้ สามารถเช็คได้ เวลาท่านเข้าไปอยู่ในค่ายเรียบร้อยแล้ว เพราะท่านคงไม่มีโอกาสได้ใช้คอมพิวเตอร์ในค่ายฝึกแต่อย่างใด รวมไปถึง การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือ Tablet หรือ Smart Phone อีกด้วย

ขอแนะนำให้ท่านเปลี่ยนชื่อใน Social network หรือ Add account ใหม่เสียตั้งแต่เวลานี้ จะดีกว่า และไปเปิดโปรไฟล์อะไรอีกก็ว่ากันไป เพราะข้อมูลของท่าน จะต้องถูกสืบหรือถูกบังคับให้เปิดเผยแน่นอน ด้วยการอ้างถึงเรื่อง “ความมั่งคง” บ้าง หรือไม่ก็เรื่อง “กฎหมาย” บ้าง...

ดิฉันคิดว่า ทางการทหารจะไม่ยอมให้ท่านนำเอา Smart phone หรือ คอมพิวเตอร์เข้าไปแน่ๆ ด้วยการอ้างถึง ความมั่นคง (
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 27
ปัจจุบัน ผม 31 ถ้าถูกเกณฑ์ไป  แล้วพวกครูฝึกสั่งให้ทำอะไรแปลก ๆ

สิ่งที่ผมคิดตอนนี้คือ ผมจะมองหน้าคนที่ต้องมาถูกเกณฑ์ด้วยกัน  สักสิบคน  ตะโกนถามว่าพวกมิงจะยอมหรือเปล่าให้ไอพวกนี้แค่ไม่กี่คนถือปืนกดหัว

ถ้าอีกสิบคนที่เหลือไม่ยอม ผมก็จะเรียกพวกเคัาลุกขึ้นมา

มันต้องโดนกันสักตั้ง  และผมเอาจริงนะ ชีวิตผมผ่านอะไรมาเยอะแล้ว  เรื่องตายเป็นเรื่องง่าย ๆ

แต่จะให้คนที่ไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่ญาติผัใหญ่ มาชี้นิ้วสั่ง ผมไม่เอานะ  ชีวิตเป็นของผม (อีกอย่าง ตอนนี้ไม่ได้เป็นลูกจ้างใคร ชี้นิ้วได้คือพ่อแม่และผู้ใหญ่ในตระกูล)

ทำงาน จ่ายภาษี ช่วยเหลือคน ช่วยเหลือสัตว์ บำรุงวัด  ผมทำมาเยอะ  ไม่ใช่ไม่ทำประโยชน์ให้ใคร

รัแค่ว่าถ้ามีการเรียก และผมโดน

กินทีนผมได้เลย  และผมจะไม่ทำคนเดียว  ตายก็ตายอยู่แล้ว อัดพวกนี้สักครั้งจะเป็นไร
ความคิดเห็นที่ 14
จาก  http://dmd.mod.go.th/PDF/reserv.aspx อ้างอิง
เท่าที่อ่านดูมันเป็นหลัการคร่าวๆครับ  แม้ว่าจะรับหลัการแล้ว  จะผ่านออกมาเป็นกฏหมายจริงๆนั้นคงยังอีกยาวครับ และอาจไม่ผ่าน เพราะขาดในเรื่องรายละเอียด การจัดการ โครงสร้างกำลังพล ฯลฯ ซึ่งมีปัญหาหลายๆข้อครับ เช่น
ปัญหาที่ 1 การแบ่งกลุ่มทหารกองหนุน
กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ผ่านการเป็นทหารกองประจำการ(ใบแดง/ร้องขอ)
กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้เรียนวิชาทหาร(นักศึกษาวิชาทหาร)
กลุ่มที่ 3 กลุ่มผู้เ้ขารับตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการ (ไม่ว่าจะได้จับใบดำใบแดงหรือไม่ เป็นชายแท้ หรือหญิงเทียม)
ซึ่งในกลุ่มที่ 3นี่เอง ที่จะเป็นปัญหาที่สุดเพราะไม่เคยผ่านการฝึกทหารมาก่อนนั่นเอง ซึงถ้าเอาไปฝึกรวมย่อมเกิดปัญหาร่วมกับการฝึกแน่นอน เพราะความไม่พร้อมหลายๆอย่าง เช่น สุขภาพ ร่างกาย ที่อาจมีมาตั้งแต่กำเนิด แต่ก็อยู่ในบัญชีทหารกองหนุนเช่นกัน

ปัญหาที่ 2 รายได้และภาระ
แม้ว่าจะออกกฏหมายมาบังคับนายจ้างได้  แต่ในทางกลับกัน ผู้ถูกเรียกคือนายจ้าง ย่อมมีผลกระทบกับลูกจ้างไปโดยปริยาย ขาดผู้สั่งงาน ขาดโอกาสของกิจการนั้นๆ หรือหากกิจการใดๆของผู้ถูกเรียกต้องหยุดกิจการนานๆ ลูกจ้างย่อมขาดรายได้จากการทำงานได้เช่นกัน ซึ่งย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน และหากกิจการนั้นๆต้องกู้ยืมเงินมาลงทุน ใครจะเป็นผู้แบกรับดอกเบี้ยและภาระทางสัญญานั้นได้
และในวัยยี่สิบกว่าถึงสี่สิบกว่า เป็นวัยที่ต้องรับภาระต่างๆมากมาย ในการเลี้ยงดูบุตร ภรรยา บิดามารดา ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวแล้ว ย่อมต้องมีภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น ลำพังเงินค่าตอบแทนที่รัฐมอบให้  อาจไม่เพียงพอแก่ค่าใช้จ่าย ค่าภาระหนี้สินที่จะตามมา หากรายได้ของผู้ถูกเรียกรับการฝึกต้องขาดหายไป  หรือการที่ต้องดูแลอนุบาลผู้เยาว์บุตรหลาน หรือผู้ชราพ่อแม่ปู่ย่า ก็ไม่สามารถทิ้งไม่ดูแลเป็นเวลานานๆได้เช่นกัน
ดังนั้นหารการเรียกกำลังสำรองเพื่อการใด ควรแบ่งให้ช่วงให้มีระยะสั้นที่สุด เช่น ฝึกเฉพาะเสาร์อาทิตย์ เพื่อที่จะกระทบต่อบุคลอื่นให้น้อยที่สุดได้

ปัญหาที่ 3 บุคลากรสำคัญ
บุคลากร อย่างเช่น ครู อาจารย์ หมอ พยาบาล ผู้ทำงานด้านการแพทย์  ซึ่งในที่นี้เป็นสายงานที่มีภาระผูกพันธกับงานที่ทำอยู่  การเรียกไปฝึก ประจำการหน้าที่อื่น เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่า ปล้นเอาการศึกษาของชาติไป หรือ แย่งเอาสุขภาพของประชาชนไป

ในต่างประเทศ เท่าที่ได้ทราบมา การเรียกกำลังพลสำรอง มักไม่ใช่การเรียกฝึก อาจมีการซักซ้อมกันบ้าง เช่น การส่งกำลังบำรุง การฝึกยิงปืน แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดฝึกรบ/เข้าตี อาจมีการแจกจ่ายยุทธปัจจัยต่างๆ เพื่อง่ายต่อการระดมพล เช่น เครื่องแบบทหาร หมวกเหล็ก(เดี๋ยวนี้คงเคฟล่าร์) รองเท้าบูท (ซึ่งในยามคับขันจริงๆการจัดหาและแจกจ่ายทำได้ยาก) หรืออย่างบางประเทศก็แจกปืนเล็กยาวด้วย(ประเทศไทยคงไม่ด้อง เดี๋ยวยิงกันตายหมดประเทศ)
ความคิดเห็นที่ 25
ขอนอกเรื่องนะครับ

น่าจะเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนศักยภาพทางสังคมจะดีกว่า

ระดมพล(พลเมือง) มาช่วยกันทำความสะอาดเมือง ทำประโยชน์ต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองที่อาศัย
จัดกิจกรรมระดับจังหวัด เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ทุกวัน...ของสัปดาห์ มาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อความปรองดองทางสังคม พบปะทักทาย
หรือเป็นมินิกิจกรรมของจังหวัดก็ได้ จะไม่ดีกว่าเหรอครับ ส่งเสริมทั้งสุขภาพ อารมณ์ อีกต่างหาก อารมณ์ดี จิตแจ่มใส เป็นคนดี แค่นี้สังคมก็น่าอยู่แล้ว

"ในยุคนี้" เราควรหันมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคมจะดีกว่านะครับ ไม่ใช่มารบหรือตั้งหน่วยกำลังรบสำรอง ระดมพลมาฝึกอะไรงี้
ทุกคนมี "หน้าที่" ที่ต้องทำ ไม่ใช่ "หน้าที่ที่ถูกบังคับให้รับผิดชอบ"

เราอยู่ในยุคประชาธิปไตย เราควรมีสิทธิ์เลือกในการดำรงชีวิต มีสิทธิ์เลือกในการตัดสินใจ ไม่ใช่ "ถูกบังคับ"

ผมเองก็เป็นประชาชนคนนึงที่มี "หน้าที่" ที่ผมต้องรับผิดชอบครับ
ความคิดเห็นที่ 68
อ้อ

ส่วนคนที่บอกว่า ไปฝึกสองเดือนจะเป็นไรไป

คนที่พูดอย่างงี้ได้ คือคนที่ไม่สำคัญอะไรกะครอบครัว กะสังคม องค์กร (คือเอ็งจะหายไปสองเดือน คนอื่นเค้าก็ไม่เดือนร้อนอะไร)

แปลง่ายๆคือคนไร้ค่าอะนะ
ความคิดเห็นที่ 1
ตามปกติ) ดังนั้น ท่านก็จะไม่สามารถบันทึกหลักฐานใดๆ ได้ ในสถานที่เหล่านั้น คำพูดของท่านจะมีน้ำหนักแค่ไหนก็ไม่ทราบ หากมีการร้องเรียนเกิดขึ้น

มันก็เหมือนกับ บุคคลหลายๆ คนที่ถูกฝ่ายทหารเรียกตัวไป เมื่อตอนรัฐประหารเกิดขึ้นใหม่ๆ แต่คราวนี้ ทำกันเป็นกลุ่มใหญ่ได้ โดยอ้างว่า มีกฎหมายรับรอง...

-------------------------------------------

แต่ที่แน่ๆ คือ ฝ่ายทหารจะใช้คอมพิวเตอร์ในการตรวจสอบดูว่า ท่านเคยโพสต์อะไรมาบ้าง มีภัยต่อความมั่นคงมากน้อยแค่ไหน จากนั้น ก็จะมีการจัดกระบวนการภายในกันเองว่า จะปฎิบัติการกับท่านอย่างไรต่อไป โดยการอ้างว่า ยังอยู่ในช่วงฝึก ฯลฯ รวมทั้งพยายามดูว่า “เพื่อน” ของท่านมีใครบ้าง เผื่อว่า จะได้ถูก “เรียกตัว” ด้วยเช่นกัน

และมีความเป็นไปได้ด้วยว่า คนที่เขา "เหม็นหน้า" จะต้องถูกถามเรื่อง Password หรือข้อมูลที่ท่านเคยโพสต์อยู่ใน Social Network กันอย่างแน่นอน ถ้าท่านไม่ให้ตามที่ขอ ท่านก็คงจะทราบชะตากรรมของตนเองว่า อะไรจะเกิดขึ้น อย่าบอกเลยว่า จะกลัวไปทำไม เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านจะ "โง่" ขนาดนั้นเลยหรือ?

-------------------------------------------

ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันก็จะเปลี่ยนชื่อใน Account จริงมันเสียเลย และทำการ Add ใช้ชื่ออื่นๆ แทน เพื่อเป็นการปกป้องตัวท่าน และเพื่อนๆ ของท่านอีกด้วย ถ้าท่านมี Line Account ก็น่าจะลงทะเบียนกับอีกเครื่องหนึ่งแทน เพราะฝ่ายทหารจะได้ข้อมูลจากท่านมากขึ้นกว่าเก่าอย่างแน่นอน

ส่วนฝ่ายทหารเอง ควรจะออกมาตอบคำถามว่า ทำไมจะต้องเรียกประชาชนที่มีอายุ 40-60 ปี? ทางทหารจะต้องตอบเรื่องนี้ให้ได้ และไม่ต้องอ้างเรื่องความมั่นคงของประเทศเลย

ถ้าตอบไม่ได้ ก็แสดงว่า ต้องการเรียกผู้คนเหล่านี้ เพื่อสืบข้อมูลต่อ รวมทั้งต้องการโยงว่า เป็นเพื่อนกับใครต่อใครอีกด้วย ใช่หรือไม่?

ส่วนท่านที่ถูกเรียกตัว หากท่านไม่ทำอะไรหรือเริ่มอะไรตั้งแต่ตอนนี้ ก็ตามใจท่าน แต่บางครั้ง การป้องกันตนเอง มันเปรียบเสมือนกับว่า "กันไว้ดีกว่าแก้" นะคะ

พยายามบันทึกเหตุการณ์ให้หมด หาพยานเพื่อส่งเรื่องไปให้กับกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ อย่างเช่น Human Rights Watch หรือองค์กระหว่างประเทศกัน

ส่วนคำถามเพิ่มอีกเล็กน้อยข้อหนึ่งก่อนจบก็คือ:

• มีโอกาสที่ พวกทหารที่ไป “รับใช้” ทหารระดับสูงๆ จะกลับเข้ามาในกรมกอง เพื่อมาฝึกต่อหรือไม่? หรือว่า จะมีการเอาทหารกองหนุนเหล่านี้ ไป “รับใช้” กันอีก?

Happy Monday ค่ะ


__________


ที่มา http://www.thairath.co.th/content/512333

สนช. รับหลักการ 189 งดออกเสียง 4 'พ.ร.บ. กำลังพลสำรอง'
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 ก.ค. 2558 15:09
2,354 ครั้ง

สนช.รับหลักการ 189 งดออกเสียง 4 พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง ตามที่ ครม.ผลักดัน "บิ๊กโด่ง" แจง ตั้ง คกส. คุมงาน สนช. ขณะเพศที่สาม ไม่ยกเว้นเป็นทหาร

เวลา 10.00 น. วันที่ 17 ก.ค. 58 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่าง พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง พ.ศ. ... ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ โดยมี พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า ที่ผ่านมาต้องใช้การหมุนเวียนกำลังพล เนื่องจากขาดงบประมาณ จึงได้เสนอกฎหมายเพื่อกำหนดประเภทบุคคลที่จะเป็นกำลังพลสำรอง รวมถึงกำหนดหน้าที่ สิทธิในการเข้ารับราชการทหารให้ชัดเจน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อว่า ได้เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการกำลังพลสำรอง (คกส.) โดยประธาน คกส. มาจากการมอบหมายของ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี และกรรมการ 20 คน พร้อมกำหนดวิธีรับบุคคลเข้าเป็นกำลังพลสำรอง โดยวิธีรับสมัคร หรือคัดเลือกจากนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน นายทหารสัญญาบัตรนอกราชการ นายทหารสัญญาบัตรนอกกอง ทหารกองหนุนประเภทที่ 1 หรือประเภทที่ 2 ทั้งนี้ การเรียกกำลังพลสำรองและการระดมพล จะเรียกได้เฉพาะกรณีจำเป็น ที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญ หรือการแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย เพื่อมิให้สร้างภาระแก่บุคคล เชื่อว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้ จะยกระดับกิจการพลสำรองทำให้กระทรวงกลาโหมมีความพร้อมในการสนับสนุน ป้องกันเพื่อประโยชน์ของชาติ ประชาชน

ทั้งนี้ สมาชิก สนช.ส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนให้มีการผลักดันกำลังพลสำรอง ทั้งชายและหญิง เข้ามารับใช้ประเทศ อาทิ พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร สนช. ระบุว่า ปัจจุบันมีบัญชีกำลังพลสำรอง จำนวนกว่า 10 ล้านคน ที่ต้องการทำหน้าที่เพื่อประเทศ แต่ขอตั้งข้อสังเกตถึงการรับสมัครบุคคลจากสองลักษณะ จะมีวิธีการคัดเลือกอย่างไร

ขณะที่ พล.ร.อ.วัลลภ เกิดผล สนช. อภิปรายว่า เป็นห่วงในกรณีที่มีการเรียกกำลังพลสำรองเป็นเวลานาน จะมีการดูแลสิทธิประโยชน์นายจ้างที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างที่เป็นกำลังพลสำรองอย่างไร

ส่วน นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สนช.อภิปรายตั้งข้อสังเกตว่า บุคคลเพศที่สาม จะได้รับการยกเว้นจากการเป็นกำลังพลสำรองหรือไม่

พล.อ.อุดมเดช ชี้แจงว่า บทบัญญัติว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร ไม่ได้กำหนดข้อยกเว้นบุคคลเพศที่สาม ไม่ต้องถูกเรียกเป็นกำลังพลสำรอง แต่หากอยู่ในความเหมาะสม และสถานการณ์ความจำเป็น ก็สามารถถูกเรียกเป็นกำลังพลสำรองได้เช่นกัน ส่วนกรณีกำหนดสิทธิประโยชน์แก่นายจ้างนั้น ได้วางมาตรการทุกอย่างเพื่อไม่ให้นายจ้างและกำลังพลสำรองเสียสิทธิประโยชน์ ไม่น่ามีปัญหา เพราะการเรียกกำลังพลใช้เวลาไม่นาน โดยจะถูกเรียกจำนวน 2.5 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนกำลังพลสำรองทั้งหมด ไปประจำตามเหล่าทัพใช้เวลาฝึก 2 เดือนเท่านั้น

จากนั้นที่ประชุมมีมติเห็นควรรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง พ.ศ. ... ด้วยคะแนน 189 งดออกเสียง 4 พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวน 19 คน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่