สวัสดีคะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนล่ะกันนะค่ะ ขอเรียกตัวเองว่า "ที" ล่ะกันคะ เราก็เป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วไปคนนึงที่อายุเข้าใกล้เลขสามแล้ว ทำงานเป็นสาวออฟฟิต หน้าตาไม่ได้จัดว่าดี แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้ว ขี้เหร่ อะไร เหมือนจะมีชีวิตแบบผู้หญิงทั่วไปคะ คือ อยากแต่งงาน มีครอบครัวที่ดี มีลูกที่น่ารัก แต่ติดปัญหานิดนึงตรงที่ว่า เราเองมีปัญหาเรื่องมดลูกและประจำเดือนมาตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่น (มาจากระดับฮอร์โมนที่ไม่ปกติคะ หมอแนะนำว่า วิธีการรักษาที่ดีและเป็นธรรมชาติที่สุด คือ ให้มีลูกคะ) ยิ่งพออายุมากขึ้นปัญหาที่ว่า ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราก็เริ่มรู้ตัวคะ และ เริ่มทำใจกับสภาวะการมีลูกยากและเสี่ยงที่จะแท้งง่ายของตัวเอง (ไม่แน่ใจว่าเรื่องของกรรมพันธุ์มีผลมั้ย แต่แม่ก็เป็นคล้ายๆกัน และ มาดีขึ้นจนเป็นปกติตอนที่ท้องเรา และ พี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องก็เป็นเหมือนกันคะ พยายามทำกิ๊ฟอยู่ 4 ครั้ง แต่ก็หลุดทุกครั้ง จนตอนนี้เลิกพยายามแล้วคะ เพราะ เสี่ยงทั้งแม่และเด็ก)
กลับเข้าเรื่องที่จะเล่าล่ะกันคะ ขอบอกก่อนว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตัวของเราเอง อันที่จริงต้องพูดว่า เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆเมื่อเช้านี้เองคะ และ ตอนนี้เราไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปดีคะ
เรื่องมีอยู่ว่า เรามีแฟนคะ ขอเรียกแฟนว่า "เจ" นะคะ เรากับ เจคบกันมาได้สักพักนึง เจเค้ารับรู้เรื่องราวและอาการของเรามาตลอดคะ ว่าเรามีปัญหาเรื่องมดลูกและอยากมีลูกมาก และ กลัวว่า ถ้าอายุเยอะๆ แล้วจะมีลูกไม่ได้ ครอบครัวของเราจะไม่สมบูรณ์ แต่เจเค้าปลอบใจเราตลอดคะ ว่าไม่เป็นไรนะ ถ้าถึงวันนั้น มีลูกไม่ได้จริง เค้าไม่ซีเรียสเลย อยู่ด้วยกันสองคนไปจนแก่ก้อมีความสุขดีออกนะ มันทำให้เราคลายกังวลไปได้บ้างคะ แต่ก็ยังหวังลึกๆว่าอยากมีลูกอยู่ดี จนอยู่มาวันนึงคะ เจมาช่วยเราไปถ่ายรูปที่สตูดิโอบอกว่า ได้วอเชอร์มาจากเพื่อนให้ไปถ่ายฟรี แต่งหน้าทำผม ฟรีหมด แถมได้รูปใหญ่อีกหนึ่งรูป ไฟล์รูปด้วย เราก้อไม่ได้คิดอะไรมาก บอกว่าไปก็ได้นะ เพราะเราชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว และ เค้าบอกว่าไม่ต้องถ่ายชุดแต่งงาน ใส่ชุดราตรีถ่ายแฟชั่นทั่วไปก็ได้ เราก้อโอเคคะ นัดวันไปถ่ายรูป ตอนนั้นเป็นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์คะ แต่พอถึงวันที่ไปนัดถ่ายรูป เจกลับเลือกถ่ายชุดแต่งงานคะ ด้วยเหตุผลว่า ชุดแบบอื่นไม่สวยไม่ถูกใจ เราก้อตามน้ำไปเรื่อยคะ ถ่ายก้อถ่าย ระหว่างแต่งหน้าทำผม พี่ช่างแต่งหน้าก้อถามคะ ว่ามีแพลนจะแต่งกันเมื่อไหร่คะ คือ เราก้อขำๆคะ บอกว่าไม่รู้เหมือนกันคะพี่ ยังไม่เคยคุยเรื่องนี้กันเลย พอได้รูปเสร็จ กำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เจเค้าก้อเดินมากอดเราจากด้านหลังคะ แล้วบอกเราว่า วันนี้เค้ามีความสุขมากนะ ขอบคุณมากที่มาถ่ายรูปกับเค้า เค้าอยากแต่งงานกับเรานะ ตอนนั้นดีใจน้ำตาไหลเลยคะ คือ เค้าขอเราแต่งงานใช่มั้ย? ทั้งดีใจ ทั้งตกใจ ทั้งมีความสุขเลยคะ หลังจากวันนั้นเราก้อเริ่มคุยกันเรื่องงานแต่งงานของเรา
เราเริ่มช่วยกันหาข้อมูลว่าเราชอบสไตล์ไหน งบประมาณเท่าไหร่ รูปแบบพิธีเป็นยังไง แต่ทุกอย่างก้อไม่ได้ราบรื่นเสมอไปคะ เนื่องจากว่า เจเป็นคริสเตียนคะ และ ความปรารถนาของเค้าคือ การจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์เท่านั้น นั้นหมายความว่า เราจะต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ก่อนถึงจะทำพิธีในโบสถ์ได้คะ ซึ่งตัวเราเองไม่มีปัญหาอะไรสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะ ปกติแล้ว ถ้าวันอาทิตย์ไหนสะดวกก้อจะไปโบสถ์เพื่อนมัสการพระเจ้า พร้อมกับครอบครัวของเจอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว (แต่ครอบครัวเรานับถือพุทธนะคะทั้งบ้านเลย รวมทั้งเราด้วย) ด้วยเหตุนี้เราเลยคุยและตกลงเรื่องรูปแบบงานแต่งของเราว่า เริ่มแรก เราจะทำพิธีสู่ขอและหมั้นหมายกันเอาไว้ก่อนคะ หลังจากนั้น เราจะไปสมัครเข้าเรียนที่โบสถ์ เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจ ก่อนที่จะรับเชื่อ และ เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ (ปกติเท่าที่ทราบมาจะใว้เวลาอย่างน้อยๆ ประมาณครึ่งปี แต่ก้อแล้วแต่คนคะ) หลังจากเรียนจบและรับเชื่อแล้ว เราสองคนจะเข้าเรียนการใช้ชีวิตคู่กับศาสนาจารย์ที่โบสถ์คะ หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยเราถึงจะจัดพิธีแต่งงานในโบถส์ตามที่เจต้องการ และ จัดเลี้ยงฉลองสมรสตอนช่วงเที่ยงหลังจบพิธีคะ พอเราสองคนตกลงกันได้ตามนี้ เราก้อคุยกันว่า ขั้นตอนต่อไปเราจะไปคุยกับผู้ใหญ่ ต่างฝ่ายต่างไปคุยกับพ่อแม่ของตัวเองก่อน เราก้อไปคุยกับแม่คะ เรื่องที่จะต้องเปลี่ยนศาสนา ถ้าจะแต่งงาน แม่ก้อเหมือนจะเข้าใจคะ ไม่ได้ว่าหรือขัดอะไร แต่อยากให้เข้ามาคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวคะ ส่วนของทางเจ เค้าก้อไปคุยกับม๊าเค้าเรื่องการมาสู่ขอเราคะ แต่เนื่องจาก ม๊าของเจไม่เห็นด้วย แล้วบอกเจว่า จะไม่ยอมไปสู่ขอหรือมีพิธีหมั้นหมายอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากจะแต่งก้อให้เรามาเรียน และ เข้าพิธีรับเชื่อก่อนคะ เอาล่ะสิคะ คราวนี้กลายเป็นปัญหาหนักอกของเรากับเจทันที เราสองคนเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่องคะ เริ่มมีปัญหาทะเลาะกัน เนื่องจากเจ เค้าอยากให้เราทำตามที่ม๊าบอกคะ คือ ไปเรียนก่อนเลย เปลี่ยนศาสนาเสร็จค่อยว่ากัน ส่วนทางเราก้อไม่เห็นด้วยคะ เนื่องจาก เรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควรในชีวิต จะไม่ไปบอกกล่าวให้ผู้ใหญ่ทางฝ่ายเรารับรู้และขออนุญาตเลย ก้อดูจะเป็นการไม่ให้เกียรติกันมากเกินไปคะ พ่อกับแม่เรา ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน คุณแม่รับราชการ ส่วนคุณพ่อเป็นตำรวจคะ เราก้อเลยไม่ยอมคะ เรายืนยันว่ายังไงทางเค้าก้อต้องไปขออนุญาตกับพ่อแม่เราก่อนคะ เราถึงจะยอมไปเรียนตามที่เค้าขอ....เดี๋ยวมาเล่าต่อนะคะ อีกยาวเหมือนกันคะ
อยากขอความคิดเห็นว่า ควรจะทำอย่างไรต่อดี กับชีวิตคู่ที่ไม่สามารถกำหนดอะไรได้ด้วยตัวเองสักอย่าง (อาจมีดราม่ามั้งนะค่ะ)
กลับเข้าเรื่องที่จะเล่าล่ะกันคะ ขอบอกก่อนว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตัวของเราเอง อันที่จริงต้องพูดว่า เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆเมื่อเช้านี้เองคะ และ ตอนนี้เราไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปดีคะ
เรื่องมีอยู่ว่า เรามีแฟนคะ ขอเรียกแฟนว่า "เจ" นะคะ เรากับ เจคบกันมาได้สักพักนึง เจเค้ารับรู้เรื่องราวและอาการของเรามาตลอดคะ ว่าเรามีปัญหาเรื่องมดลูกและอยากมีลูกมาก และ กลัวว่า ถ้าอายุเยอะๆ แล้วจะมีลูกไม่ได้ ครอบครัวของเราจะไม่สมบูรณ์ แต่เจเค้าปลอบใจเราตลอดคะ ว่าไม่เป็นไรนะ ถ้าถึงวันนั้น มีลูกไม่ได้จริง เค้าไม่ซีเรียสเลย อยู่ด้วยกันสองคนไปจนแก่ก้อมีความสุขดีออกนะ มันทำให้เราคลายกังวลไปได้บ้างคะ แต่ก็ยังหวังลึกๆว่าอยากมีลูกอยู่ดี จนอยู่มาวันนึงคะ เจมาช่วยเราไปถ่ายรูปที่สตูดิโอบอกว่า ได้วอเชอร์มาจากเพื่อนให้ไปถ่ายฟรี แต่งหน้าทำผม ฟรีหมด แถมได้รูปใหญ่อีกหนึ่งรูป ไฟล์รูปด้วย เราก้อไม่ได้คิดอะไรมาก บอกว่าไปก็ได้นะ เพราะเราชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว และ เค้าบอกว่าไม่ต้องถ่ายชุดแต่งงาน ใส่ชุดราตรีถ่ายแฟชั่นทั่วไปก็ได้ เราก้อโอเคคะ นัดวันไปถ่ายรูป ตอนนั้นเป็นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์คะ แต่พอถึงวันที่ไปนัดถ่ายรูป เจกลับเลือกถ่ายชุดแต่งงานคะ ด้วยเหตุผลว่า ชุดแบบอื่นไม่สวยไม่ถูกใจ เราก้อตามน้ำไปเรื่อยคะ ถ่ายก้อถ่าย ระหว่างแต่งหน้าทำผม พี่ช่างแต่งหน้าก้อถามคะ ว่ามีแพลนจะแต่งกันเมื่อไหร่คะ คือ เราก้อขำๆคะ บอกว่าไม่รู้เหมือนกันคะพี่ ยังไม่เคยคุยเรื่องนี้กันเลย พอได้รูปเสร็จ กำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เจเค้าก้อเดินมากอดเราจากด้านหลังคะ แล้วบอกเราว่า วันนี้เค้ามีความสุขมากนะ ขอบคุณมากที่มาถ่ายรูปกับเค้า เค้าอยากแต่งงานกับเรานะ ตอนนั้นดีใจน้ำตาไหลเลยคะ คือ เค้าขอเราแต่งงานใช่มั้ย? ทั้งดีใจ ทั้งตกใจ ทั้งมีความสุขเลยคะ หลังจากวันนั้นเราก้อเริ่มคุยกันเรื่องงานแต่งงานของเรา
เราเริ่มช่วยกันหาข้อมูลว่าเราชอบสไตล์ไหน งบประมาณเท่าไหร่ รูปแบบพิธีเป็นยังไง แต่ทุกอย่างก้อไม่ได้ราบรื่นเสมอไปคะ เนื่องจากว่า เจเป็นคริสเตียนคะ และ ความปรารถนาของเค้าคือ การจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์เท่านั้น นั้นหมายความว่า เราจะต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ก่อนถึงจะทำพิธีในโบสถ์ได้คะ ซึ่งตัวเราเองไม่มีปัญหาอะไรสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะ ปกติแล้ว ถ้าวันอาทิตย์ไหนสะดวกก้อจะไปโบสถ์เพื่อนมัสการพระเจ้า พร้อมกับครอบครัวของเจอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว (แต่ครอบครัวเรานับถือพุทธนะคะทั้งบ้านเลย รวมทั้งเราด้วย) ด้วยเหตุนี้เราเลยคุยและตกลงเรื่องรูปแบบงานแต่งของเราว่า เริ่มแรก เราจะทำพิธีสู่ขอและหมั้นหมายกันเอาไว้ก่อนคะ หลังจากนั้น เราจะไปสมัครเข้าเรียนที่โบสถ์ เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจ ก่อนที่จะรับเชื่อ และ เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ (ปกติเท่าที่ทราบมาจะใว้เวลาอย่างน้อยๆ ประมาณครึ่งปี แต่ก้อแล้วแต่คนคะ) หลังจากเรียนจบและรับเชื่อแล้ว เราสองคนจะเข้าเรียนการใช้ชีวิตคู่กับศาสนาจารย์ที่โบสถ์คะ หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยเราถึงจะจัดพิธีแต่งงานในโบถส์ตามที่เจต้องการ และ จัดเลี้ยงฉลองสมรสตอนช่วงเที่ยงหลังจบพิธีคะ พอเราสองคนตกลงกันได้ตามนี้ เราก้อคุยกันว่า ขั้นตอนต่อไปเราจะไปคุยกับผู้ใหญ่ ต่างฝ่ายต่างไปคุยกับพ่อแม่ของตัวเองก่อน เราก้อไปคุยกับแม่คะ เรื่องที่จะต้องเปลี่ยนศาสนา ถ้าจะแต่งงาน แม่ก้อเหมือนจะเข้าใจคะ ไม่ได้ว่าหรือขัดอะไร แต่อยากให้เข้ามาคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวคะ ส่วนของทางเจ เค้าก้อไปคุยกับม๊าเค้าเรื่องการมาสู่ขอเราคะ แต่เนื่องจาก ม๊าของเจไม่เห็นด้วย แล้วบอกเจว่า จะไม่ยอมไปสู่ขอหรือมีพิธีหมั้นหมายอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากจะแต่งก้อให้เรามาเรียน และ เข้าพิธีรับเชื่อก่อนคะ เอาล่ะสิคะ คราวนี้กลายเป็นปัญหาหนักอกของเรากับเจทันที เราสองคนเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่องคะ เริ่มมีปัญหาทะเลาะกัน เนื่องจากเจ เค้าอยากให้เราทำตามที่ม๊าบอกคะ คือ ไปเรียนก่อนเลย เปลี่ยนศาสนาเสร็จค่อยว่ากัน ส่วนทางเราก้อไม่เห็นด้วยคะ เนื่องจาก เรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควรในชีวิต จะไม่ไปบอกกล่าวให้ผู้ใหญ่ทางฝ่ายเรารับรู้และขออนุญาตเลย ก้อดูจะเป็นการไม่ให้เกียรติกันมากเกินไปคะ พ่อกับแม่เรา ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน คุณแม่รับราชการ ส่วนคุณพ่อเป็นตำรวจคะ เราก้อเลยไม่ยอมคะ เรายืนยันว่ายังไงทางเค้าก้อต้องไปขออนุญาตกับพ่อแม่เราก่อนคะ เราถึงจะยอมไปเรียนตามที่เค้าขอ....เดี๋ยวมาเล่าต่อนะคะ อีกยาวเหมือนกันคะ