เราเป็นคนนึงที่ได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ว่าเป็นโรคซึมเศร้า เป็นมากว่าสิบปีแล้วจนเรียนแทบไม่ได้ ตอนที่เป็นก็ทรมานมากๆ มันรู้สึกแค่ว่าทรมานเหลือเกิน อยากไปให้พ้นๆจากภาวะแบบนี้ ตอนที่หาหมอปรับยาแรกๆก็ทรมานมากๆจากผลข้างเคียงของยา จนต้องขออนุญาตทางคณะที่เรียนอยู่ให้คุณแม่เข้าห้องเรียนด้วย หรือช่วงไหนคุณแม่ไม่ได้เข้าห้องเรียนแล้วเกิดอาการรุนแรงขึ้นกะทันหันก็จะวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่คณะที่เข้าใจ ไปกอดไปร้องไห้ จำได้ว่าตัวสั่นไปหมด ทั้งกลัว ทรมาน อึดอัดไม่รู้จะระบายยังไง ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดตอนที่ไม่ได้มีอะไรแย่ๆมากระทบเลย... ถ้ามีอะไรแย่ๆมากระทบจะหนักกว่านี้ แทบจะไมีมีสติประคองตัวเองเลยด้วยซ้ำ ในหัวจะเบลอๆว่างๆ มันจะอยากแต่ฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตัวเองเท่านั้น ณ ตอนนั้นมันคิดอะไรไม่ออกหรอกค่ะ สมองมันว่างเปล่า รู้แต่ว่าจะไปทำแบบนี้ๆ แค่นั้น ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าทำไมไม่นึกถึงคนข้างหลังบ้าง เพราะมันนึกอะไรไม่ออกทั้งนั้นค่ะ.... เวลาที่จะทำจริง มันนึกไม่ออกจริงๆ แต่ก่อนหน้านั้นอาจจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ร้องไห้ฟูมฟายเพราะความคิดกำลังตีกันอย่างหนัก จะทำยังไงดีหาทางออกยังไงดีหรือจะตายไปเลยจะได้พ้นๆจากนรกนี่ซะที พยายามขอความช่วยเหลือ เมื่อไม่มีคนช่วย ไม่มีใครสนใจ บางคนก็ด่าว่าเรากลับมาอีก ก็ยิ่งเก็บกด กดดัน และยิ่งหาทางออกไม่เจอ ยิ่งทรมานมากขึ้น จนสุดท้ายสมองมันเบลอและว่างๆไปเลย นั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการพยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งตอนนั้นจะไม่ค่อยฟูมฟายแล้ว จะแน่วแน่แล้วว่าจะทำ เพราะมันมองหาทางออกของปัญหาไม่เจอจริงๆ คิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าทรมานมากๆ ในเคสของเราจะมีอาการซึมเศร้าครึ่งเดือนต่อเดือน และเป็นทุกๆเดือน ติดต่อกันมานานนับสิบปี
ยิ่งมีคนไม่เข้าใจ เอาเราไปซุบซิบนินทา ไม่ให้คนเข้าใกล้เราเพราะเราเป็นตัวประหลาด นินทากระทั่งว่าน้ำหน้าอย่างเราไม่มีทางเรียนจบได้หรอก หรือนินทาชนิดว่าเราไม่ใช่คน มันก็ยิ่งซ้ำเติมให้อาการเราหนักขึ้นอย่างมากๆ มากจริงๆ คือตอนนั้นเราที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว ก็ยิ่งติดลบลงไปเลย เหมือนตีตราตัวเองเลยว่า เป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ไม่มีใครอยากคบด้วย...
หรือกระทั่งรุมเมท กะเพื่อนๆรุมเมทที่เคยสนิทกับเราก็ยังรวมตัวกันพยายามหาวิธีทางขับไล่เราออกจากห้อง เพราะไปเจอหนังสือชื่อเรื่อง นักฆ่าตัวตายมืออาชีพ แต่คิดว่าเค้าคงไม่ได้อ่านข้อมูลด้านในเพราะมันเป็นประสบการณ์ของผู้ป่วยซึมเศร้าท่านนึงที่ผ่านอุปสรรคต่างๆนานา จนหายและมีชีวิตปกติที่ดี (ตอนหลังทราบว่า หลังออกหนังสือเล่มนั้นมา เธอก็โดนคนบางคนโจมตีหนักจนกลับไปเป็นซึมเศร้าอีกครั้ง) พอเรารู้จากเพื่อนที่มาบอกว่า รูมเมทเรากับเพื่อนๆของรูมเมทกำลังคิดวางแผนที่จะพูดกับเราเพื่อให้เราไปอยู่ที่อื่น (พูดง่ายๆก็คือจะขับไล่ออกจากหอนั่นแหละ) เราก็มีเสียใจบ้างนะ เพราะจริงๆแล้วเราสนิทกับทุกๆคนที่ว่านั้นเลย แล้วเราก็ตัดสินใจที่เก็บข้าวของและย้ายออกไปอยู่ที่อื่นเลยทันทีโดยไม่ได้บอกเหตุผลอะไรกับใครทั้งสิ้น ในใจเราคิดว่า เค้าไม่สะดวกใจที่จะอยู่กับเรา ไม่ต้อนรับเราแล้ว อยากจะให้เราออกไป เราก็จะออกไปเพื่อไม่ให้เค้าเดือดเนื้อร้อนใจ และอีกอย่างนึงคือ เราเหมือนยอมรับสภาพตัวเองด้วย ด้วยความที่คนรอบข้างในคณะที่เรียนหลายๆคนช่วยกันตีตราเป็นตราบาปให้เรา เราก็เลยเหมือนตีตราตัวเองว่าเป็นคนที่สังคมไม่ยอมรับไปด้วยในตัว จนมันกลายเป็นปมด้อยลึกๆในใจอันนึง และทำให้ความมั่นใจทั้งหมดที่เคยมีพังทลายแทบไม่เหลือชิ้นดี การไปเรียนแต่ละครั้งค่อนข้างต้องฝืนตัวเองพอควรเลย มีบ้างที่เผอิญได้ยินคนนินทาเรากับพวกเพื่อนๆเค้าแบบจังๆพร้อมทั้งหัวเราะขบขันกันอย่างสนุกสนาน แม้กระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่งก็ยังเรียกเราไปพบบอกให้เราทำใจและลองหาทางเปลี่ยนย้ายคณะดูเพราะคิดว่าเราคงเรียนคณะนี้ไม่จบแน่ๆ
ตอนนี้เราอาการดีขึ้นแล้ว ซึ่งอยากบอกว่ากว่าเราจะผ่านมาได้ เรียนจบได้ เริ่มมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นก็ใช้เวลาตั้งหลายปี .... คือ มันยากมากๆนะ กับการที่เป็นโรคนี้และมีคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจคอยซ้ำเติมเหยียบย่ำ ทำให้ที่แย่อยู่แล้วยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก (กรณีของเรา เราคิดว่าสิ่งแวดล้อมทำให้เราแย่ลงมากกว่าตัวโรคเองจริงๆเสียอีก เพราะมีความกดดันหลายด้านมากๆ) แต่ถึงมันจะยาก แต่มันเป็นไปได้ มันผ่านได้ มันดีขึ้นได้ ถึงแม้ว่า ณ ตอนนั้นมันจะรู้สึกเหมือนหนทางมันมืดมนไปทุกอย่างจนมองไม่เห็นเลยว่ามันจะดีขึ้นได้อย่างไร มันรู้สึกเหมือนกับว่ามันจะต้องแย่ ต้องทรมานแบบนี้ตลอดไปแน่ๆเลย.... ในฐานะที่เป็นคนนึงที่ผ่านจุดนั้นมาไม่รู้กี่สิบครั้ง (ทุกวันนี้ก็มีบ้างที่รู้สึกแบบนั้นแต่ไม่รุนแรงเท่า) แต่เราก็ผ่านมันมาได้ทุกครั้ง เราเรียนจบ ได้รับปริญญา และในที่สุดเราก็ตามหาความฝันและคุณค่าของชีวิตของเราเจอจนได้ ทั้งๆที่เราไม่ใช่คนเก่ง เราไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไรเลย แต่เราก็ทำได้ และเราเชื่อว่า คนอื่นๆที่เป็นโรคนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน เราขอเป็นกำลังใจให้
สิ่งที่อยากแชร์คือ
1. ครอบครัวสำคัญที่สุด เราพูดได้เต็มปากเลยว่า ส่วนหลักๆเลยที่ทำให้เราผ่านมาได้คือ แม่ของเราเอง ในขณะที่เราไม่สามารถจะเรียนได้ตามปกติเพราะมีอาการ panic และอื่นๆ (ช่วงปรับยาตอนแรกๆ) เราได้แม่นี่แหละอยู่เคียงข้างเกือบตลอด คือ เกือบตลอดจริงๆนะ ทั้งเข้าห้องเรียนเลกเชอร์กะเรา อยู่หอเป็นเพื่อนเรา นอนด้วยกัน คุยด้วยกัน เวลาเราแย่ๆก็ได้แม่เรานี่แหละกอดเราปลอบใจเรา
2. การไปพบจิตแพทย์เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้
3. ทานยาให้ตรงตามเวลาทุกครั้ง ถึงแม้ว่าอาการข้างเคียงแรกๆจะเยอะมากๆจนเกือบทนไม่ไหวก็ทนไปก่อน หาความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวที่เราไว้ใจ และอย่าได้ปรับยาเองตามใจเราเด็ดขาดเพราะอาจจะมีผลกระทบ ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นว่าทำให้อาการเรื้อรัง หายช้ากว่าที่ควรเป็น
4. แม้ยาจะเป็นสิ่งจำเป็นมาก แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ช่วยให้อาการดีขึ้น... สาเหตุของโรคซึมเศร้ามาจากหลายปัจจัยรวมกัน การทำจิตบำบัดจะช่วยให้เราเข้าใจและยอมรับหลายๆอย่างมากขึ้น ทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น การออกกำลังกายก็ช่วยได้มากเช่นกัน
5. แนะนำ จิตวิทยาเชิงบวก ของ ดร.ทาล เบน ชาฮาร์ มีทั้งหนังสือแปลเป็นภาษาไทยวางขาย และ วีดีโอ YouTube ที่เป็นคลาสเรียนใน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้เรียนได้ฟรี .... อันนี้ช่วยเราได้มากๆ
6. สุดท้ายแต่สำคัญมากๆ คือ ธรรมะ แต่ไม่ใช่เพียงแต่ฟังธรรมะเท่านั้น ต้องมีการ บริจาคทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนา ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปวัดก็สามารถทำได้ง่ายๆในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ หากสนใจสามารถเข้าไปได้ที่
http://www.dhamma.com มีทั้ง ebooks และไฟล์เสียง ให้ดาวโหลดได้ฟรีค่ะ ในส่วนนี้นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ ได้ทำการวิจัยมาแล้วหลายสิบและน่าจะหลายร้อยงานวิจัย ที่สนับสนุนว่า การทำสมาธิและการวิป้สสนา ช่วยในเรื่องของโรคทางจิตเวชและโรคอื่นๆอีกหลายโรคได้จริง แถมได้ผลดีมากๆซะด้วยจนเค้านำวิธีเหล่านี้มาผนวกไว้ในการรักษาแผนปัจจุบันของเค้าเลยล่ะค่ะ
สุดท้าย ขอฝากเอาไว้สักนิดหนึ่งสำหรับผู้ที่อาจจะยังไม่เข้าใจโรคซึมเศร้า.... เราไม่ได้อยากที่จะฆ่าตัวตาย หากเป็นไปได้เราก็อยากมีชีวิตที่มีความสุข อยากมีชีวิตปกติธรรมดาที่ไม่ต้องทนทรมานกับโรคซึมเศร้านี่ การพยายามฆ่าตัวตายที่ออกมานั่นคือ การพยายามดิ้นรนหาทางออกจากความทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างสาหัสที่มันกำลังบีบคั้นอยู่ ซึ่งถ้าหากพวกเราพยายามดิ้นรนหาทางออกให้กับสิ่งที่กำลังบีบคั้นอยู่ไม่ได้ เราจะรู้สึกเหมือนมันไม่มีทางเลือก ไปซ้ายก็ไม่ได้ขวาก็ไม่ได้ถอยหลังก็ไม่ได้เดินหน้าก็ไม่ได้อีก มันเหมือนอับจนทุกหนทาง บวกกับความทรมานทางจิตใจที่มากมายจนไม่อยากที่จะรับรู้อะไรอีกต่อไป เราถึงได้เลือกที่จะจบความทรมานนั้นด้วยการพยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งแท้จริงแล้วอาการทั้งหลายเหล่านี้ รวมถึงความคิดในแง่ลบนั้น มันก็เป็นอาการของโรคซึมเศร้าที่เกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุลนั้นด้วยซ้ำไป ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับคนเป็นโรคอัลไซเมอร์แล้วจำอะไรไม่ได้...หากเค้าหลงลืมอะไรสักอย่างหนึ่ง คุณจะโทษเค้าหรือไม่ว่า อะไรกันเรื่องแค่นี้ทำไมถึงจำไม่ได้?
สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า... เราเชื่อว่าคุณไม่ได้เป็นคนที่อ่อนแอ คุณยืนหยัดสู้กับโรคที่แสนจะทรมานนี่มาได้ถึงขนาดนี้แล้ว คุณไม่อ่อนแอหรอกนะ เรารู้ดีว่ามันทรมานแค่ไหน ในช่วงที่ยังไม่มีอาการหรือยังมีอาการไม่มาก เราอยากให้คุณหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่คุณเป็นนี้ให้มากๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจตัวโรคให้ลึกซึ้ง มันจะทำให้เรายอมรับตัวโรค และยอมรับตัวเองได้ง่ายขึ้น นำไปสู่การปล่อยวางต่อการกระทำของคนอื่นที่ทำกับเราได้ง่ายขึ้น (เพราะส่วนใหญ่ที่เค้าทำแบบนั้นเพราะเค้าไม่รู้ไม่เข้าใจ) แล้วทดลองทำตามข้อมูลที่ทางการแพทย์แนะนำ หรือจะทำตามที่เราลองมาแล้วก็ได้ ซึ่งทั้งเรื่อง การออกกำลังกาย การทำสมาธิ(meditation) และการวิปัสสนา(mindfulness) ทั้งหมดนี้ได้ผ่านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมาแล้วมากมาย ว่าได้ผลในการรักษาทั้งโรคทางจิตเวชและโรคทางกายได้ดีเยี่ยมจริงๆ (สามารถค้นหางานวิจัยเหล่านี้มาอ่านได้จากเวปไซต์ pubmed ค่ะ) เราเป็นกำลังใจให้นะคะ
แก้ไข 1 ก็อปปี้มาแปะซ้ำกันสองที เลยลบไปทีนึงค่ะ
แก้ไข 2 เพิ่มเติมเนื้อหา
แชร์ประสบการณ์ตรงจากผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่เคยพยายามฆ่าตัวตายนีบสิบๆครั้ง
ยิ่งมีคนไม่เข้าใจ เอาเราไปซุบซิบนินทา ไม่ให้คนเข้าใกล้เราเพราะเราเป็นตัวประหลาด นินทากระทั่งว่าน้ำหน้าอย่างเราไม่มีทางเรียนจบได้หรอก หรือนินทาชนิดว่าเราไม่ใช่คน มันก็ยิ่งซ้ำเติมให้อาการเราหนักขึ้นอย่างมากๆ มากจริงๆ คือตอนนั้นเราที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว ก็ยิ่งติดลบลงไปเลย เหมือนตีตราตัวเองเลยว่า เป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ไม่มีใครอยากคบด้วย...
หรือกระทั่งรุมเมท กะเพื่อนๆรุมเมทที่เคยสนิทกับเราก็ยังรวมตัวกันพยายามหาวิธีทางขับไล่เราออกจากห้อง เพราะไปเจอหนังสือชื่อเรื่อง นักฆ่าตัวตายมืออาชีพ แต่คิดว่าเค้าคงไม่ได้อ่านข้อมูลด้านในเพราะมันเป็นประสบการณ์ของผู้ป่วยซึมเศร้าท่านนึงที่ผ่านอุปสรรคต่างๆนานา จนหายและมีชีวิตปกติที่ดี (ตอนหลังทราบว่า หลังออกหนังสือเล่มนั้นมา เธอก็โดนคนบางคนโจมตีหนักจนกลับไปเป็นซึมเศร้าอีกครั้ง) พอเรารู้จากเพื่อนที่มาบอกว่า รูมเมทเรากับเพื่อนๆของรูมเมทกำลังคิดวางแผนที่จะพูดกับเราเพื่อให้เราไปอยู่ที่อื่น (พูดง่ายๆก็คือจะขับไล่ออกจากหอนั่นแหละ) เราก็มีเสียใจบ้างนะ เพราะจริงๆแล้วเราสนิทกับทุกๆคนที่ว่านั้นเลย แล้วเราก็ตัดสินใจที่เก็บข้าวของและย้ายออกไปอยู่ที่อื่นเลยทันทีโดยไม่ได้บอกเหตุผลอะไรกับใครทั้งสิ้น ในใจเราคิดว่า เค้าไม่สะดวกใจที่จะอยู่กับเรา ไม่ต้อนรับเราแล้ว อยากจะให้เราออกไป เราก็จะออกไปเพื่อไม่ให้เค้าเดือดเนื้อร้อนใจ และอีกอย่างนึงคือ เราเหมือนยอมรับสภาพตัวเองด้วย ด้วยความที่คนรอบข้างในคณะที่เรียนหลายๆคนช่วยกันตีตราเป็นตราบาปให้เรา เราก็เลยเหมือนตีตราตัวเองว่าเป็นคนที่สังคมไม่ยอมรับไปด้วยในตัว จนมันกลายเป็นปมด้อยลึกๆในใจอันนึง และทำให้ความมั่นใจทั้งหมดที่เคยมีพังทลายแทบไม่เหลือชิ้นดี การไปเรียนแต่ละครั้งค่อนข้างต้องฝืนตัวเองพอควรเลย มีบ้างที่เผอิญได้ยินคนนินทาเรากับพวกเพื่อนๆเค้าแบบจังๆพร้อมทั้งหัวเราะขบขันกันอย่างสนุกสนาน แม้กระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่งก็ยังเรียกเราไปพบบอกให้เราทำใจและลองหาทางเปลี่ยนย้ายคณะดูเพราะคิดว่าเราคงเรียนคณะนี้ไม่จบแน่ๆ
ตอนนี้เราอาการดีขึ้นแล้ว ซึ่งอยากบอกว่ากว่าเราจะผ่านมาได้ เรียนจบได้ เริ่มมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นก็ใช้เวลาตั้งหลายปี .... คือ มันยากมากๆนะ กับการที่เป็นโรคนี้และมีคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจคอยซ้ำเติมเหยียบย่ำ ทำให้ที่แย่อยู่แล้วยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก (กรณีของเรา เราคิดว่าสิ่งแวดล้อมทำให้เราแย่ลงมากกว่าตัวโรคเองจริงๆเสียอีก เพราะมีความกดดันหลายด้านมากๆ) แต่ถึงมันจะยาก แต่มันเป็นไปได้ มันผ่านได้ มันดีขึ้นได้ ถึงแม้ว่า ณ ตอนนั้นมันจะรู้สึกเหมือนหนทางมันมืดมนไปทุกอย่างจนมองไม่เห็นเลยว่ามันจะดีขึ้นได้อย่างไร มันรู้สึกเหมือนกับว่ามันจะต้องแย่ ต้องทรมานแบบนี้ตลอดไปแน่ๆเลย.... ในฐานะที่เป็นคนนึงที่ผ่านจุดนั้นมาไม่รู้กี่สิบครั้ง (ทุกวันนี้ก็มีบ้างที่รู้สึกแบบนั้นแต่ไม่รุนแรงเท่า) แต่เราก็ผ่านมันมาได้ทุกครั้ง เราเรียนจบ ได้รับปริญญา และในที่สุดเราก็ตามหาความฝันและคุณค่าของชีวิตของเราเจอจนได้ ทั้งๆที่เราไม่ใช่คนเก่ง เราไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไรเลย แต่เราก็ทำได้ และเราเชื่อว่า คนอื่นๆที่เป็นโรคนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน เราขอเป็นกำลังใจให้
สิ่งที่อยากแชร์คือ
1. ครอบครัวสำคัญที่สุด เราพูดได้เต็มปากเลยว่า ส่วนหลักๆเลยที่ทำให้เราผ่านมาได้คือ แม่ของเราเอง ในขณะที่เราไม่สามารถจะเรียนได้ตามปกติเพราะมีอาการ panic และอื่นๆ (ช่วงปรับยาตอนแรกๆ) เราได้แม่นี่แหละอยู่เคียงข้างเกือบตลอด คือ เกือบตลอดจริงๆนะ ทั้งเข้าห้องเรียนเลกเชอร์กะเรา อยู่หอเป็นเพื่อนเรา นอนด้วยกัน คุยด้วยกัน เวลาเราแย่ๆก็ได้แม่เรานี่แหละกอดเราปลอบใจเรา
2. การไปพบจิตแพทย์เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้
3. ทานยาให้ตรงตามเวลาทุกครั้ง ถึงแม้ว่าอาการข้างเคียงแรกๆจะเยอะมากๆจนเกือบทนไม่ไหวก็ทนไปก่อน หาความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวที่เราไว้ใจ และอย่าได้ปรับยาเองตามใจเราเด็ดขาดเพราะอาจจะมีผลกระทบ ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นว่าทำให้อาการเรื้อรัง หายช้ากว่าที่ควรเป็น
4. แม้ยาจะเป็นสิ่งจำเป็นมาก แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ช่วยให้อาการดีขึ้น... สาเหตุของโรคซึมเศร้ามาจากหลายปัจจัยรวมกัน การทำจิตบำบัดจะช่วยให้เราเข้าใจและยอมรับหลายๆอย่างมากขึ้น ทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น การออกกำลังกายก็ช่วยได้มากเช่นกัน
5. แนะนำ จิตวิทยาเชิงบวก ของ ดร.ทาล เบน ชาฮาร์ มีทั้งหนังสือแปลเป็นภาษาไทยวางขาย และ วีดีโอ YouTube ที่เป็นคลาสเรียนใน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้เรียนได้ฟรี .... อันนี้ช่วยเราได้มากๆ
6. สุดท้ายแต่สำคัญมากๆ คือ ธรรมะ แต่ไม่ใช่เพียงแต่ฟังธรรมะเท่านั้น ต้องมีการ บริจาคทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนา ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปวัดก็สามารถทำได้ง่ายๆในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ หากสนใจสามารถเข้าไปได้ที่ http://www.dhamma.com มีทั้ง ebooks และไฟล์เสียง ให้ดาวโหลดได้ฟรีค่ะ ในส่วนนี้นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ ได้ทำการวิจัยมาแล้วหลายสิบและน่าจะหลายร้อยงานวิจัย ที่สนับสนุนว่า การทำสมาธิและการวิป้สสนา ช่วยในเรื่องของโรคทางจิตเวชและโรคอื่นๆอีกหลายโรคได้จริง แถมได้ผลดีมากๆซะด้วยจนเค้านำวิธีเหล่านี้มาผนวกไว้ในการรักษาแผนปัจจุบันของเค้าเลยล่ะค่ะ
สุดท้าย ขอฝากเอาไว้สักนิดหนึ่งสำหรับผู้ที่อาจจะยังไม่เข้าใจโรคซึมเศร้า.... เราไม่ได้อยากที่จะฆ่าตัวตาย หากเป็นไปได้เราก็อยากมีชีวิตที่มีความสุข อยากมีชีวิตปกติธรรมดาที่ไม่ต้องทนทรมานกับโรคซึมเศร้านี่ การพยายามฆ่าตัวตายที่ออกมานั่นคือ การพยายามดิ้นรนหาทางออกจากความทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างสาหัสที่มันกำลังบีบคั้นอยู่ ซึ่งถ้าหากพวกเราพยายามดิ้นรนหาทางออกให้กับสิ่งที่กำลังบีบคั้นอยู่ไม่ได้ เราจะรู้สึกเหมือนมันไม่มีทางเลือก ไปซ้ายก็ไม่ได้ขวาก็ไม่ได้ถอยหลังก็ไม่ได้เดินหน้าก็ไม่ได้อีก มันเหมือนอับจนทุกหนทาง บวกกับความทรมานทางจิตใจที่มากมายจนไม่อยากที่จะรับรู้อะไรอีกต่อไป เราถึงได้เลือกที่จะจบความทรมานนั้นด้วยการพยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งแท้จริงแล้วอาการทั้งหลายเหล่านี้ รวมถึงความคิดในแง่ลบนั้น มันก็เป็นอาการของโรคซึมเศร้าที่เกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุลนั้นด้วยซ้ำไป ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับคนเป็นโรคอัลไซเมอร์แล้วจำอะไรไม่ได้...หากเค้าหลงลืมอะไรสักอย่างหนึ่ง คุณจะโทษเค้าหรือไม่ว่า อะไรกันเรื่องแค่นี้ทำไมถึงจำไม่ได้?
สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า... เราเชื่อว่าคุณไม่ได้เป็นคนที่อ่อนแอ คุณยืนหยัดสู้กับโรคที่แสนจะทรมานนี่มาได้ถึงขนาดนี้แล้ว คุณไม่อ่อนแอหรอกนะ เรารู้ดีว่ามันทรมานแค่ไหน ในช่วงที่ยังไม่มีอาการหรือยังมีอาการไม่มาก เราอยากให้คุณหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่คุณเป็นนี้ให้มากๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจตัวโรคให้ลึกซึ้ง มันจะทำให้เรายอมรับตัวโรค และยอมรับตัวเองได้ง่ายขึ้น นำไปสู่การปล่อยวางต่อการกระทำของคนอื่นที่ทำกับเราได้ง่ายขึ้น (เพราะส่วนใหญ่ที่เค้าทำแบบนั้นเพราะเค้าไม่รู้ไม่เข้าใจ) แล้วทดลองทำตามข้อมูลที่ทางการแพทย์แนะนำ หรือจะทำตามที่เราลองมาแล้วก็ได้ ซึ่งทั้งเรื่อง การออกกำลังกาย การทำสมาธิ(meditation) และการวิปัสสนา(mindfulness) ทั้งหมดนี้ได้ผ่านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมาแล้วมากมาย ว่าได้ผลในการรักษาทั้งโรคทางจิตเวชและโรคทางกายได้ดีเยี่ยมจริงๆ (สามารถค้นหางานวิจัยเหล่านี้มาอ่านได้จากเวปไซต์ pubmed ค่ะ) เราเป็นกำลังใจให้นะคะ
แก้ไข 1 ก็อปปี้มาแปะซ้ำกันสองที เลยลบไปทีนึงค่ะ
แก้ไข 2 เพิ่มเติมเนื้อหา