แชร์ประสบการณ์การทำธุรกิจแล้วเจ๊งกัน

หลายคนบอก ความพร้อมไม่มีอยู่จริง มีแต่ต้องทำ ทำ ลงมือทำเลย



    หลายคนเริ่มต้นธุรกิจตอนที่ยังไม่พร้อม เจ้าของกระทู้ก็เช่นกัน ไม่มีความพร้อมอะไร ทั้งเงินลงทุน ทั้ง know how  
แต่แค่ชอบทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน เอาวะ ลองดู ความคิดแค่นั้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจแล้ว
    ภายในระยะเวลา 3 ปี ก็มีธุรกิจ 3 ธุรกิจ เกิดขึ้น แน่นอนหลายคนอาจจะเคยเข้าไปในร้านหนังสือแล้วบนชั้นวางหนังสือมีแต่หนังสือ how to ต่างๆใช่ไหมล่ะ เจ้าของกระทู้ก็ชอบอ่านเช่นกัน หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจ (เดิมทีชอบอะไรแนวธุรกิจ ค้าขาย เศรษฐศาสตร์ การเงินอยู่แล้ว) แต่วันนี้วันเป็นดีๆวันนึง ที่อยากเล่าประสบการณ์การทำธุรกิจเจ๊ง ให้หลายท่านทราบ ที่เขียนต่อไปนี้ไม่ใช่วิชาการหรืออิงทฤษฎีไรเลย มันคือความไม่รู้ แล้วเราก็ได้เจอตอนทำธุรกิจนั่นแหละ ขออนุญาตเขียนเป็นข้อๆแล้วกัน นึกไปเขียนไป ไม่เรียงตามลำดับเหตุการณ์นะ


1.    ไม่รู้เรื่องบัญชี
อันนี้ยากละ ปลอบใจตัวเองมาตลอด ไม่ได้เรียนบัญชีนี่หว่า จะทำเป็นได้ไง แต่ทำธุรกิจ ไม่รู้ ไม่ได้ (ในวงเล็บ ถ้าต้องการให้ธุรกิจเติบโตและเป็นProfessional) ถ้าชิลๆแบบหารายได้เสริมก็ไม่ผิดอะไร แต่ฝึกไว้ทุกคนคือดีในอนาคตแน่นอนจ่ะ


2.    คิดว่าโลเคชั่นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
    คิดแบบนี้คือปลอบใจตัวเองให้ทำงานน้อยไป ที่จริงแล้ว โลเคชั่นก็สำคัญมาก แต่เจ้าของกระทู้คิดว่าไม่ได้มาเป็นอันดับ 1 แน่นอน


3.    โลเคชั่นดีเลิศ ตราบใดที่ยังเปิดได้อยู่ และมีคนเดิน
    กับดักตรงนี้ก็ยอมรับว่าเริ่มต้นธุรกิจ(แบบค้าปลีก มีหน้าร้าน) ก็เริ่มต้นง่ายๆ คิดง่ายๆ ก็ต้องมีหน้าร้านสิ ถึงจะขายของได้ มีหน้าร้านก็หาโลเคชั่นสิ โลเคชั่นก็ต้องเป็นสถานที่ที่คนเยอะๆสิ คนเยอะๆก็น่าจะขายได้ …
ก็จริงอยู่ และหลายร้านขายดีซะด้วย แต่ประสบการณ์เจ้าของกระทู้มองว่า มันจะเป็นกับดักให้เรามองธุรกิจแบบ old traditional เกินไป หลายครั้งเราอาจจะมองเห็นพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่เราประสบความสำเร็จมา ด้วยสิ่งที่จับต้องได้ ด้วยสิ่งที่ตาเรามองเห็น เรามักจะเห็นการค้าขายจากหน้าร้านทั้งนั้นแหละ แต่อย่าลืมว่า ตราบใดที่ร้านไม่มีขา มันก็คือความเสี่ยง มันเดินไปไหนไม่ได้ มันแหง็กอยู่ตรงนั้น เมื่อใดก็ตามที่เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดต่างๆ เราไม่สามารถควบคุมได้แน่นอน เช่น ช่วงการมีชุมนุมทางการเมือง หรือการไล่ที่ การหมดสัญญาของเจ้าของโครงการ การถูก take over เป็นต้น


4.    คิดได้แบบนี้ กระจายความเสี่ยงสิ
กระจายสิ ใครๆก็ทำกัน เจ้าของกระทู้ก็คิดแบบนั้นนะ แต่ต้องทำธุรกิจแล้วมีเงินลงทุนมากพอ มีสภาพคล่อง และสำคัญมากๆ มีทรัพยากรเพียงพอ ยิ่งทรัพยากรบุคคลนะ สำคัญที่สุด มากกว่าเงินลงทุน (จากประสบการณ์จขกทนะ เพราะหลายคนเครดิตดี กู้สินเชื่อได้ Modelธุรกิจก็ดี น่าจะไปได้ดี แต่ทรัพยากรบุคคลไม่เพียงพอ หรือเจอบุคคลที่ไม่ดี อันนี้ก็ไม่รู้ทำไง ทำบุญละกัน)


5.    ถ้าไม่กระจายอ่ะ งบไม่พอ ธุรกิจไม่นิ่ง ทำไงดีวัยรุ่น
เคยเป็นแบบนี้เลย เจอชุมนุมการเมือง ก็หาsolutionไปเรื่อยๆ ออกevents ติดต่อนู้นนี่ ขายสินค้าใน IG FACEBOOK ก็พอถูไถ มีเข้ามาหมุนบ้าง แต่หน้าร้านค่าเช่าดุเดือดมาก กรีดเลือดเลยช่วงนั้น ติดลบอย่างแรงไปเลยจ้า


6.    เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่
บางคนเกิดมาพกegoมาด้วย ไม่มีทางก้มหัวให้ใครหรอก พูดเลยนะ อยู่ยาก เคยเป็นมาแล้ว ตอนนี้หรอ พบสัจธรรมข้อนึง การเข้าหาผู้ใหญ่ (ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามนับว่าเป็น Connectionหมด) ควรนอบน้อมถ่อมตน และทำตัวให้คนอื่นเมตตา ตราบใดที่คุณไม่เอาเปรียบ และเป็นคนซื่อสัตย์ ทำไปเถอะ ธุรกิจคุณจะไปได้ดีเพราะโลกนี้ต้องพึ่งพาอาศัยกัน


7.    ถ้าไม่ไหวก็วาง
รู้ไหมว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้จากกำลังใจ ไม่สำคัญว่าวันๆนึงคุณจะเจออะไร แต่การให้กำลังใจตัวเองเป็น สำคัญมาก เป็นสิ่งขับเคลื่อนธุรกิจที่ดีอย่างนึงเลย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมัวแต่โทษนู้น โทษนี่ เช่น ฝนตกอีกละ จะตกทำไมนักหนา หรือโทษคนข้างร้าน เอาของมาวาง ทำให้ร้านคุณถูกบัง หรือโทษหุ้นส่วน โทษคนขาย ฯลฯ หลายคำพูดเหล่านี้ดูดพลังคุณไปไม่รู้ตัว กำลังใจหายสิงี้ ถ้าคิดกำลังใจให้ตัวเองไม่ออก คุณไม่ต้องทำอะไร คุณออกไป Relax ไปที่ๆคุณอยากไป ไปซะ รีบๆเลย ก่อนที่คุณไป คุณวางทุกอย่างไว้ที่ประตูนั่นแหละ แบกไปด้วยก็หนักดิ


8.    ทำตามสัญชาตญาณบอก
เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีเซ้นส์นะ เชื่อว่าเซ้นส์จะไกด์อะไรเราได้ (ไม่มากนัก) สิ่งนึงที่ จขกท พลาดไปคือเซ้นส์ที่คิดว่าทำคนเดียวน่าจะดี แต่พอมีเพื่อนมาร่วมหุ้นแล้วติดเกรงใจ เลยสานต่อมาจนเจ๊ง (เหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่มันเจ๊ง แต่หลายครั้งไม่เชื่อตัวเอง แค่เกรงใจ มันเลยเสียความตั้งใจ) การหัดปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ควรฝึกไว้ๆ เดี๋ยวได้ใช้แน่


9.    ทำในสิ่งที่รัก
คนทุกคนไม่มีใครเหมือนใครในโลกนี้เลย ว่าไหม
ดังนั้น คนทุกคนสามารถครอบครอง License ของตัวเองได้นะ
นึกไม่ออก ให้นึกถึงอารมณ์แบบ แฟรนไชส์อ่ะ
บางอย่าง การค้นพบมันต้องใช้เวลา
ถ้าอยากรวยเร็ว ก็อาจจะเจ๊งเร็ว (เหมือนเรา)
แต่บทเรียนทั้งหลายก็นำไปสู่ สิ่งที่ดีกว่านะ

ทั้งหมดนี้ เท่าที่นึกออกตอนนี้ก็ประมาณนี้ เรื่องจริงคือมันเยอะ (ให้คนอื่นเล่าบ้าง น่าจะมันส์)

สุดท้ายอยากบอกว่า   รู้อะไรไม่สู้ รู้จักตัวเราเอง
เพื่อนๆที่มีประสบการณ์ที่เจ๊งๆมาร่วมแชร์กันนะ อยากอ่าน อยากเรียนรู้ประสบการณ์ที่มีค่าของทุกคน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่