เรื่องย่อ : อีธานและผองเพื่อนกำลังวิกฤตหนัก เมื่อองค์กรเงินกู้อย่าง IMF ถูกปิดตัวลงจากคำสั่งรัฐบาล อีกทั้งยังต้องไล่ล่า 'ซินดิเคท' ซึ่งเป็นองค์กรสายลับที่หวังจะทำลายโลกอีก ให้ตายสิ ภารกิจที่ 'เป็นไปไม่ได้' ก็เลยกำเนิดขึ้นอีกครั้ง

สารภาพว่าตอนดูตัวอย่างหนังผู้เขียนไม่ได้คาดหวังอะไรมากเท่าไหร่ แต่ใครจะไปรู้ว่าตัวหนังจริงๆจะแฝง 'ของดี' ไว้ขนาดนี้ .... เสน่ห์ที่น่าสนใจของ MI5 ก็คงหนีไม่พ้นทีมนักแสดงที่ลงตัวกับบทบาท ซึ่งตัวละครที่เด่นๆในภาคนี้จะคู่คี่กันมาสองตัวคือ อีธาน (Tom Cruise) และ เบนจี้ (Simon Pegg) ที่มีลูกรับ-ลูกส่งกันได้เข้าขากันอย่างที่สุด โดยตัวโทนหนังเองก็มีใส่มุกตลกเข้ามากขึ้นให้ร่วมสมัยเหมือนกับหนังสายลับหลายๆเรื่องของยุคนี้ (อาทิเช่น Kingsman) แต่ก็ยังอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับฉากแอคชั่นที่ตื่นเต้นเร้าใจผสมผสานกับเพลงประกอบที่เป็น signature ของตัวเองมากๆ ส่งผลให้โทนหนังคุมตัวเองได้ชัดเจน
สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกโอเคอีกอย่างคือการ 'เกลี่ยบท' ของหนังที่ไม่ประเคนตลอด 130 นาทีไปให้ทอมครูสเสียหมด แต่ตัวรองๆอย่างเจ้าหน้าที่แบรนด์ (Jeremy Renner) และแฮกเกอร์มือทองลูเธอร์ (Ving Rhames) ก็ได้มีส่วนร่วมกับหนังมากพอที่จะสร้างอารมณ์ที่แตกต่างและน่าสนใจเพิ่มขึ้นได้ รวมไปถึงนางเอก(?)อย่างอิลซ่า ที่ไม่ได้มาเย้วๆเป็นภาระให้พระเอกอย่างที่เราคุ้นเคยกัน ในทางกลับกันนางดูสวยปังเจ้าเสน่ห์เอาเรื่องเลยแหละ และเคมีของทั้งสองพระ-นาง ก็เป็นอะไรที่ดูเพลินๆได้เรื่อยเลย
ในส่วนของฉากแอคชั่นก็ยังคงเอกลักษณ์ที่จะสรรหา 'ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้' มาให้พ่อครูสของเราได้ทำกัน ซึ่งด้วยความยาวของหนังที่ยาวจนน่าแปลกใจก็ทำให้เราได้มีโอกาสรับชมฉากแอคชั่นใหญ่ๆอยู่หลายครั้ง (จนบางทีแอบคิดว่ามันเยอะไป) แต่ก็น่าเสียดายนิดหน่อยว่าในภาคนี้นั้น หลายๆภารกิจมันให้ความรู้สึก 'ลิเก' ไปนิดนึง จนอารมณ์หนังมันไปไม่สุดทางเท่าไหร่
แต่ก็ต้องยอมรับว่าโดยส่วนใหญ่นั้นฉากถูกออกแบบมาได้ดี ซึ่งยิ่งได้รู้ว่าฉากแอคชั่นเสี่ยงตายส่วนใหญ่ในหนังนั้น ทอม ครูซ เล่นด้วยตัวเองเกือบทั้งหมดโดยไม่ใช้สตันท์แมน (เหมือนภาคก่อนๆด้วย) ก็ช่วยเพิ่มดีกรีความลุ้นให้หนังไม่น้อยเลย ... ขอเสริมว่าฉากโปรดของผู้เขียนคือภารกิจในโรงโอเปร่า ซึ่งต้องนับถือในความลงตัวของจังหวะของงานภาพและเพลงประกอบ ที่ทำให้ฉากนี้ดูดีมีสกุลรุนชาติอย่างบอกไม่ถูก
ปัญหาที่น่าขัดข้องใจมีอยู่นิดหน่อย เกี่ยวกับตัวร้ายจอมโหดเหี้ยมแหบเสน่ห์ของเราอย่างเอเจนต์เลน (Sean Harris) และองค์กรสุดยอดลับ 'ซินดิเคต' ที่แลดูจะมีภาพลักษณ์คล้ายๆกับมาเฟียรัสเซียมากกว่าองค์กรสายลับเสียอีก อีกทั้งดูทั้งองค์กรแล้วเหมือนจะมีหัวหน้าคนเดียวที่เก่งจริงๆซะอีก แต่ถ้านับอิมเมจของแกก็ต้องยอมรับว่ามี 'บารมี' ของตัวร้ายครบถ้วนเลย
"Mission: Impossible - Rogue Nation เป็นหนังแอคชั่นที่ยังคงกลิ่นอายของตัวเองได้ชัดเจน และมีทีมนักแสดงนำที่มีเสน่ห์ลงตัวกับทบาท ผสมผสานกับภารกิจเสี่ยงตายทั้งหลายที่ชวนลุ้น ก็นับได้ว่าเป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 20 ของ MI:series ที่งดงามสมเกียรติตัวเอง ไม่ควรพลาดการดูในโรงด้วยประการใดใดนะจ๊ะ"
คะแนนความเห็น : 10/10
ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอก by Kanok Jayz Hunhaboon
ติดตามรีวิวย้อนหลังได้ที่ :
https://www.facebook.com/jayz.hunhaboon/media_set?set=a.560682527308058.1073741825.100000989470695&type=1
[เรื่องที่ 96]Movie Review : Mission: Impossible - Rogue Nation
สารภาพว่าตอนดูตัวอย่างหนังผู้เขียนไม่ได้คาดหวังอะไรมากเท่าไหร่ แต่ใครจะไปรู้ว่าตัวหนังจริงๆจะแฝง 'ของดี' ไว้ขนาดนี้ .... เสน่ห์ที่น่าสนใจของ MI5 ก็คงหนีไม่พ้นทีมนักแสดงที่ลงตัวกับบทบาท ซึ่งตัวละครที่เด่นๆในภาคนี้จะคู่คี่กันมาสองตัวคือ อีธาน (Tom Cruise) และ เบนจี้ (Simon Pegg) ที่มีลูกรับ-ลูกส่งกันได้เข้าขากันอย่างที่สุด โดยตัวโทนหนังเองก็มีใส่มุกตลกเข้ามากขึ้นให้ร่วมสมัยเหมือนกับหนังสายลับหลายๆเรื่องของยุคนี้ (อาทิเช่น Kingsman) แต่ก็ยังอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับฉากแอคชั่นที่ตื่นเต้นเร้าใจผสมผสานกับเพลงประกอบที่เป็น signature ของตัวเองมากๆ ส่งผลให้โทนหนังคุมตัวเองได้ชัดเจน
สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกโอเคอีกอย่างคือการ 'เกลี่ยบท' ของหนังที่ไม่ประเคนตลอด 130 นาทีไปให้ทอมครูสเสียหมด แต่ตัวรองๆอย่างเจ้าหน้าที่แบรนด์ (Jeremy Renner) และแฮกเกอร์มือทองลูเธอร์ (Ving Rhames) ก็ได้มีส่วนร่วมกับหนังมากพอที่จะสร้างอารมณ์ที่แตกต่างและน่าสนใจเพิ่มขึ้นได้ รวมไปถึงนางเอก(?)อย่างอิลซ่า ที่ไม่ได้มาเย้วๆเป็นภาระให้พระเอกอย่างที่เราคุ้นเคยกัน ในทางกลับกันนางดูสวยปังเจ้าเสน่ห์เอาเรื่องเลยแหละ และเคมีของทั้งสองพระ-นาง ก็เป็นอะไรที่ดูเพลินๆได้เรื่อยเลย
ในส่วนของฉากแอคชั่นก็ยังคงเอกลักษณ์ที่จะสรรหา 'ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้' มาให้พ่อครูสของเราได้ทำกัน ซึ่งด้วยความยาวของหนังที่ยาวจนน่าแปลกใจก็ทำให้เราได้มีโอกาสรับชมฉากแอคชั่นใหญ่ๆอยู่หลายครั้ง (จนบางทีแอบคิดว่ามันเยอะไป) แต่ก็น่าเสียดายนิดหน่อยว่าในภาคนี้นั้น หลายๆภารกิจมันให้ความรู้สึก 'ลิเก' ไปนิดนึง จนอารมณ์หนังมันไปไม่สุดทางเท่าไหร่
แต่ก็ต้องยอมรับว่าโดยส่วนใหญ่นั้นฉากถูกออกแบบมาได้ดี ซึ่งยิ่งได้รู้ว่าฉากแอคชั่นเสี่ยงตายส่วนใหญ่ในหนังนั้น ทอม ครูซ เล่นด้วยตัวเองเกือบทั้งหมดโดยไม่ใช้สตันท์แมน (เหมือนภาคก่อนๆด้วย) ก็ช่วยเพิ่มดีกรีความลุ้นให้หนังไม่น้อยเลย ... ขอเสริมว่าฉากโปรดของผู้เขียนคือภารกิจในโรงโอเปร่า ซึ่งต้องนับถือในความลงตัวของจังหวะของงานภาพและเพลงประกอบ ที่ทำให้ฉากนี้ดูดีมีสกุลรุนชาติอย่างบอกไม่ถูก
ปัญหาที่น่าขัดข้องใจมีอยู่นิดหน่อย เกี่ยวกับตัวร้ายจอมโหดเหี้ยมแหบเสน่ห์ของเราอย่างเอเจนต์เลน (Sean Harris) และองค์กรสุดยอดลับ 'ซินดิเคต' ที่แลดูจะมีภาพลักษณ์คล้ายๆกับมาเฟียรัสเซียมากกว่าองค์กรสายลับเสียอีก อีกทั้งดูทั้งองค์กรแล้วเหมือนจะมีหัวหน้าคนเดียวที่เก่งจริงๆซะอีก แต่ถ้านับอิมเมจของแกก็ต้องยอมรับว่ามี 'บารมี' ของตัวร้ายครบถ้วนเลย
"Mission: Impossible - Rogue Nation เป็นหนังแอคชั่นที่ยังคงกลิ่นอายของตัวเองได้ชัดเจน และมีทีมนักแสดงนำที่มีเสน่ห์ลงตัวกับทบาท ผสมผสานกับภารกิจเสี่ยงตายทั้งหลายที่ชวนลุ้น ก็นับได้ว่าเป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 20 ของ MI:series ที่งดงามสมเกียรติตัวเอง ไม่ควรพลาดการดูในโรงด้วยประการใดใดนะจ๊ะ"
คะแนนความเห็น : 10/10
ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอก by Kanok Jayz Hunhaboon
ติดตามรีวิวย้อนหลังได้ที่ : https://www.facebook.com/jayz.hunhaboon/media_set?set=a.560682527308058.1073741825.100000989470695&type=1